#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม 2564
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงอีกระลอกจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมประเทศจีนตอนใต้แล้วและจะแผ่เข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในช่วงวันที่ 8-12 ม.ค. 64 ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศหนาวเย็นลง 5-7 องศาเซลเซียสกับมีลมแรง โดยจะเริ่มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงนี้ไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรงดออกจากฝั่ง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆบางส่วน กับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 6 ? 7 ม.ค. 64 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง ทำให้บริเวณดังกล่าวอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวโดยทั่วไป กับมีหมอกในตอนเช้า สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อนลง ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศต่ำในทะเลจีนใต้ตอนล่างจะเคลื่อนเข้าปกคลุมบริเวณประเทศมาเลเซีย ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 8 - 12 ม.ค. 64 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงอีกระลอกจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวอุณหภูมิจะลดลง 5-7 องศาเซลเซียส กับมีอากาศหนาวเย็นลงและมีลมแรงโดยเริ่มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างจะมีกำลังแรงขึ้น โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 8-12 ม.ค. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย สำหรับชาวเรือบริเวณอ่าวไทยขอให้เดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรงดออกจากฝั่ง ********************************************************************************************************************************************************* ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "อากาศหนาวเย็นบริเวณประเทศไทยตอนบนและคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทย (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 8 - 12 มกราคม 2564)" ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 07 มกราคม 2564 ในช่วงวันที่ 8 ? 12 มกราคม 2564 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็นลง 5-7 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง โดยบริเวณพื้นราบของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิต่ำสุด 10-18 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 3-13 องศาเซลเซียส และมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ ส่วนภาคกลางและภาคตะวันออก อุณหภูมิต่ำสุด 19-22 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวดูแลสุขภาพ เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร อ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ขอให้ประชาชนบริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออก ระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่ง ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงเวลาดังกล่าว
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
โครงการแอตลาส พบสัตว์ทะเลใหม่ 12 ชนิด (ภาพจาก : IFREMER / ATLAS project) โครงการแอตลาส (ATLAS project) เป็นองค์กรทางทะเลที่ศึกษาแถบแอตแลนติกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นน้ำ พื้นทะเล กระแสน้ำ และสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ที่นั่น มีนักวิจัยจาก 13 ประเทศเข้าร่วมโครงการนี้ ซึ่งครอบคลุมความสนใจที่หลากหลายตั้งแต่ฟิสิกส์ เคมีไปจนถึงชีววิทยาของมหาสมุทร เป้าหมายเดิมของทีมวิจัยจากแอตลาส คือการทำแผนที่น่านน้ำลึกนอกชายฝั่งยุโรป สหรัฐอเมริกา และแคนาดา แต่เมื่อเร็วๆนี้นักวิจัยที่ทำงานร่วมกับโครงการแอตลาส ได้รายงานการค้นพบสัตว์ทะเลสายพันธุ์ใหม่ๆ 12 ชนิด มีทั้งปะการังชนิดใหม่ และสัตว์ที่ไม่เคลื่อนไหวมีลักษณะคล้ายคลึงไม้จำพวกตะไคร่น้ำอย่างมอสส์ นอกจากนี้ยังพบว่ามีสัตว์ 35 ชนิดอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่นักวิจัยไม่เคยรู้จักมาก่อนว่าพวกมันอาศัยอยู่ การค้นพบสัตว์ทะเลเหล่านี้ช่วยให้นักวิจัยเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีต่อมหาสมุทรของโลก ซึ่งงานวิจัยก่อนหน้านี้ชี้ว่านอกจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นเนื่องจากภาวะโลกร้อนแล้ว ก๊าซยังเพิ่มความเป็นกรดในมหาสมุทรด้วย ทีมวิจัยของแอตลาสพบว่าการเป็นกรดดังกล่าวกำลังโจมตีฐานรากของแนวปะการัง พร้อมคาดการณ์ว่าถิ่นอาศัยของสัตว์ในทะเลลึกจำนวนมากจะล่มสลายลงในศตวรรษหน้า และยังพบว่ากระแสน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติกชะลอตัว ส่งผลให้รูปแบบสภาพอากาศเปลี่ยนไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศที่เปราะบางต่อไป. https://www.thairath.co.th/news/foreign/2006788
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
หนุ่มประมงเก้าเส้งพบ "อำพันทะเล" หนัก 7 กก.ริมหาดสมิหลา หวังพิสูจน์ขายได้ราคาจริงหรือไม่ ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - หนุ่มประมงพื้นบ้านชุมชนเก้าเส้ง บังเอิญพบ "อำพันทะเล" น้ำหนัก 7 กก. ลอยมาเกยชายหาดสมิหลาในช่วงคลื่นลมแรง หวังพิสูจน์ความจริงขายได้ราคาตามที่เป็นข่าวหรือไม่ วันนี้ (6 ม.ค.) ที่ จ.สงขลา ชาวประมงพื้นบ้านได้พบ และเก็บก้อนประหลาดคล้าย "อำพันทะเล" หรือ "อ้วกวาฬ" ได้ 1 ก้อน บริเวณชายหาดแหลมสมิหลา มีน้ำหนัก 7.1 กิโลกรัม โดยคนที่พบคือ นายเฉลิมชัย หรือซัน มะหะพันธ์ วัย 20 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ในชุมชนเก้าเส้ง อ.เมือง จ.สงขลา ซึ่งพบอำพันทะเลก้อนนี้โดยความบังเอิญ ขณะกำลังลากอวนจับปลากระบอกอยู่ริมทะเลกับพ่อ และนำมาเก็บไว้ที่บ้าน ชาวบ้านที่เป็นชาวประมงพื้นบ้านในชุมชนเก้าเส้งต่างบอกว่าเป็นอำพันทะเล หรืออ้วกวาฬ และเมื่อนำมาทดลองเผาไฟ มันก็จะละลายเหมือนกับเทียนไข จึงเชื่อว่าเป็นอำพันทะเล และต้องการให้ผู้รู้ตรวจสอบว่าเป็นอำพันทะเลของแท้หรือไม่ และมีการรับซื้อกันในราคาสูงตามที่เป็นข่าวจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สำหรับอำพันทะเลที่พบในพื้นที่ของ จ.สงขลา และเคยตกเป็นข่าวมาก่อนหน้านี้นั้น ยังไม่มีการยืนยันว่าสามารถขายได้หรือไม่ เพียงแค่บอกกันปากต่อปากว่ามีราคาแพง ซึ่งมีราคากิโลกรัมละหลายหมื่นบาท แต่จากการตรวจสอบข้อมูลของผู้สื่อข่าว พบว่า อำพันทะเลที่พบตามชายหาดของประเทศไทย เป็นอำพันทะเลเกรดต่ำ มีไขมันปะปนบ้าง แต่ไม่ได้คุณภาพ เนื่องจากวาฬหัวทุยในฝั่งทะเลไทย อาศัยอยู่ในน้ำตื้น ไม่ได้กินแพลงก์ตอนในทะเลลึก จึงไม่มีการสังเคราะห์สารตั้งต้นในการสกัดน้ำหอม ข่าวการพบอำพันทะเลในไทยพักหลังจึงเงียบหายไป เพราะไม่มีใครยืนยันได้ว่ามีการรับซื้อจริงหรือไม่ https://mgronline.com/south/detail/9640000001029 ********************************************************************************************************************************************************* "หาดดังบาหลี" เจอคลื่นพัดขยะเข้าฝั่งจนกลายเป็น "ชายหาดขยะ" สะท้อนวิกฤติขยะในทะเล ภาพข่าวจากสำนักข่าว CNN สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาขยะในทะเล ซึ่งในช่วงที่มีลมมรสุม ทำให้คลื่นทะเลพัดพาขยะจากในทะเลเข้าหาชายฝั่ง จนทำให้ชายหาดชื่อดังหลายแห่งของบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เต็มไปด้วยขยะมากมาย ชายหาดชื่อดังของบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย กำลังเผชิญปัญหาขยะที่ถูกพัดพาจากในทะเลเข้ามายังชายฝั่ง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกปีช่วงมรสุม เนื่องจากปัญหาการจัดการขยะ และปัญหาวิกฤมลพิษขยะในทะเลทั่วโลก เจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นจากหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาลของพื้นที่ Badung กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ทำงานกันอย่างหนักในการทำความสะอาดชายหาด แต่ก็ยังคงมีขยะในจำนวนมากทุกวัน ทั้งที่ชายหาดกูตา เลเจียน และเซมินยัค ซึ่งเป็นชายหาดท่องเที่ยวชื่อดังของบาหลี ขยะจากท้องทะเลราว 70% เป็นขยะพลาสติก โดยขยะเหล่านี้จะถูกตัก และขนโดยรถบรรทุกไปยังสถานที่ฝังกลบ ทางรัฐบาลอินโดนีเซีย มีแผนการลดขยะพลาสติกในประเทศ ลดขยะพลาสติกในมหาสมุทรลง 70% ภายในปี 2568 และปลอดมลภาวะจากพลาสติกภายในปี 2583 แต่ทั้งนี้ ดร. เดนิส ฮาร์เดสตี้ นักวิจัยหลักของหน่วยงานวิทยาศาสตร์ CSIRO ของออสเตรเลียและผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษพลาสติกทั่วโลก ได้กล่าวว่า ปัจจุบันมีการเก็บพลาสติกจำนวนมหาศาลจากชายหาด และในแต่ละปีสถานการณ์ก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ สำหรับในอินโดนีเซีย มีหมู่เกาะจำนวนมากที่ประสบชะตากรรมคล้ายกัน และชายหาดของบาหลีทางตะวันตกเฉียงใต้มีแนวโน้มที่จะได้รับขยะจากทะเลมากกว่าเมื่ออยู่ในช่วงฤดูมรสุม ปริมาณขยะพลาสติกเพิ่มขึ้นตามการผลิตพลาสติกทั่วโลก และในประเทศที่อยู่ในเขตลมมรสุมนั้นจะได้รับผลกระทบจากขยะพลาสติกเหล่านี้รุนแรงมากกว่าในพื้นที่อื่น ทางด้านหัวหน้าศูนย์การสำรวจระยะไกลและวิทยาศาสตร์ในมหาสมุทรที่มหาวิทยาลัย Udayana ของบาหลี กล่าวว่าปัญหาสำคัญคือระบบการจัดการขยะที่ไม่มีประสิทธิภาพของอินโดนีเซีย สำหรับในบาหลีนั้นเพิ่งเริ่มมีการจัดการระบบใหม่ รวมถึงพื้นที่ชวาด้วย นอกจากชายหาดชื่อดังในบาหลีจะเผชิญผลกระทบจากปัญหาขยะชายหาดที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปีแล้ว ในปีที่ผ่านมานี้ก็ยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวน้อยลง เช่นเดียวกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในบาหลี ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของโควิด-19 ที่ประเทศอินโดนีเซียยังไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศ ซึ่งบาหลีพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก จึงทำให้เศรษฐกิจของบาหลีได้รับผลกระทบอย่างมาก จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำลายอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยปัจจุบันมีเพียงนักท่องเที่ยวภายในประเทศเท่านั้น https://mgronline.com/travel/detail/9640000000911
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า
ระลอกแรก! 'แมงกะพรุนไฟ' โผล่ 'เกาะห้อง' อุทยานธารโบกขรณี เผยพิษร้ายแรง 6 มกราคม 2564 นายจำเป็น ผอมผักดี หัวหน้าหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ธบ 1 (เกาะห้อง)อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี จ.กระบี่ พร้อมเจ้าหน้าที่ได้ทำการจัดเก็บแมงกะพรุนไฟ ที่ลอยยู่ตามแนวชายหาดเกาะห้อง หลังพบว่ามีแมงกะพรุนไฟถูกคลื่นซัดลอยเข้ามาบริเวณชายหาด ที่นักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำและเกรงว่านักท่องเที่ยวจะไปสัมผัสจนทำให้ได้รับอันตรายได้ เนื่องจากแมงกะพรุนชนิดดังกล่าวมีพิษร้ายแรง นายจำเป็น กล่าวว่า แมงกะพรุนที่พบในเขตอุทยานฯ เป็นแมงกะพรุนแดง หรือแมงกะพรุนไฟ มีพิษร้ายแรง หากสัมผัสโดยตรงก็จะปวดแสบปวดร้อน โดยสาเหตุที่พบมากในวันนี้เกิดจากกระแสลมเปลี่ยนทิศทาง และคลื่นพัดเข้ามาบริเวณหมู่เกาะห้อง ในพื้นที่หมู่ 3 ต.เขาทอง อ.เมือง จ.กระบี่ เขตอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี โดยตั้งแต่เช้าจนขณะนี้ได้มีแมงกะพรุนแดง ขนาด 3-4 เซนติเมตร ลอยเกลื่อนทะเล และบางส่วนถูกคลื่นซัดลอยติดอยู่ตามชายหาด เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ต้องใช้สวิงเร่งตักแมงกะพรุนในทะเล และเก็บกวาดตามชายหาดออก พร้อมแจ้งเตือนประชาสัมพันธ์โดยการบอกกล่าวของเจ้าหน้าที่ให้นักท่องเที่ยวระมัดระวังไม่ควรลงเล่นน้ำ และให้อยู่บนชายหาด อย่าสัมผัสแมงกะพรุนอย่างเด็ดขาด เนื่องจากจะมีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อน หากบางคนมีอาการแพ้ขั้นรุนแรงก็จะต้องไปพบแพทย์โดยทันที สำหรับการแก้พิษเบื้องต้นเมื่อถูกแพงกะพรุนไฟ โดยการใช้น้ำส้มสายชูราดบริเวณที่ถูกพิษ ซึ่งหลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการกำจัดแมงกะพรุนออก จึงได้อนุญาตให้นักท่องเที่ยว หรือกรุ๊ปทัวร์ลงเล่นน้ำได้ เนื่องจากมีปริมาณไม่มากนัก และเป็นระลอกแรกของปี ที่พบ คาดว่าประมาณ 1-2 วัน เมื่อคลื่นลมสงบแมงกะพรุนก็จะหมดไป https://www.naewna.com/likesara/543502
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|