#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2564
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศเวียดนามตอนบน ในขณะที่มีลมตะวันออกวันพัดปกคลุมทะเลจีนใต้และอ่าวไทยตอนล่าง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก และฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากไว้ด้วย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 14 - 16 ส.ค. 64 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีลมตะวันออกพัดเข้าปกคลุมภาคใต้และภาคตะวันอออก ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น กับมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 17 - 19 ส.ค. 64 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังออนลง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนลดลง โดยมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคใต้ฝั่งตะวันตก สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ตลอดช่วง บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 14 - 16 ส.ค. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
โดนจวกยับ! หนุ่มประมงเล่นพิเรนทร์ ใช้ฟันฉลาม เจาะกระป๋องเบียร์ ชาวโซเชียลรุมประณาม หนุ่มประมงมะกันเล่นพิเรนทร์จับฉลามเกยตื้น ก่อนถ่ายวิดีโอเจาะกระป๋องเบียร์ด้วยฟันฉลามอย่างทารุณ เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะที่ไวแอตต์ ดัลลิสัน โคดี สก็อตต์ และเพื่อนของพวกเขากำลังตกปลาที่ชายหาดฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมาพวกเขาถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอความตื่นเต้นของการจับฉลามเสือทรายได้ แต่ทว่าส่วนหนึ่งของวิดีโอแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายและทารุณ โดยชายคนหนึ่งกำลังปากระป๋องใส่ฟันอันแหลมคมของเจ้าฉลามเสือทราย ฉลามดิ้นรนไปมาก่อนจะสะบัดกระป๋องออกจากฟัน ซึ่งเขาหยิบกระป๋องเบียร์มาดื่มต่อพร้อมหัวเราะอย่างสนุกสนาน จากนั้นพวกเขาจึงปล่อยฉลามคืนสู่ทะเล คลิปเหตุการณ์ดังกล่าวถูกนำมาโพสต์ลงยูทูปและติ๊กต็อกที่มีผู้ติดตามถึง 58,000 คน จนกลายเป็นไวรัลและได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างล้นหลาม โดยผู้คนจำนวนมากเข้ามารุมประณามพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะ "เขาถ่ายวิดีโอตนเองทำผิดกฎหมาย ยอดเยี่ยมจริง ๆ" "ฉันชอบตกปลานะ แต่ทำแบบนี้มันเกินไป" "คนที่ไม่เคารพธรรมชาติและไร้คุณธรรมแบบนี้ ไม่สมควรที่จะได้รับอนุญาตตกปลาอีกต่อไป" "แค่สนุก? พวกเขาควรโดนลงโทษมากกว่านี้!!" ซึ่งไวแอตต์ยอมรับกับสื่อท้องถิ่นว่า "การกระทำนี้อาจไม่ใช่ความคิดที่ดี พวกเราก็ทำเพื่อความสนุกเท่านั้น" ส่วนทางด้านโคดีกล่าวว่า "พวกเรามิได้ทำร้ายฉลามและฉลามก็ไม่ได้รับบาดแผลใด ๆ ทั้งสิ้น" และเขาเสริมว่า "ผมไม่ทราบว่าการจับฉลามขึ้นจากน้ำทะเลนั้นผิดกฎหมาย ซึ่งผมก็ได้รับคำเตือนจากเจ้าหน้าที่และจะไม่กระทำพฤติกรรมเช่นนี้อีกแล้ว" อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการอนุรักษ์ปลาและสัตว์ป่าแห่งฟลอริดาออกมาประกาศให้ทราบอีกครั้งว่า "กฎหมายของเมืองฟลอริดากำหนดว่าฉลามทุกสายพันธุ์ต้องได้รับการคุ้มครองและห้ามจับฉลามขึ้นจากทะเลโดยเด็ดขาด" ส่วนทางด้านกรมการประมงแห่งชาติ (NMFS) กล่าวว่า "ไม่ว่าฉลามสายพันธุ์ไหนก็ตามที่ถูกจับขณะตกปลาจะต้องปล่อยลงสู่ทะเล โดยมีอันตรายน้อยที่สุด โดยหากมีผู้ใดไม่กระทำตามจะต้องถูกลงโทษตามกฎหมายของ NOAA" https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_6560652
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย
พบฝูงโลมาเผือกว่ายน้ำเล่นที่อ่าวท้องหยี นครศรีธรรมราช 13 ส.ค. ? เจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พบฝูงโลมาเผือกกำลังว่ายน้ำเล่นบริเวณอ่าวท้องหยี แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลไทย เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดขนอม-หมู่เกาะทะเลใต้ จ.นครศรีธรรมราชสำรวจพบฝูงโลมาหลังโหนกกำลังว่ายน้ำเล่นบริเวณอ่าวท้องหยี ต. อ่าวขนอม อ. ขนอม จ. นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ในสถานะ "สัตว์คุ้มครอง" ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครอง พ.ศ.2535 และอยู่ในบัญชี 1 ของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ ทั้งนี้ โลมาเผือก มีชื่อเรียกโดยทั่วไปว่า โลมาหลังโหนก (Humpback dolphin, Sousa chinensis) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ โลมาสีชมพู เป็นโลมาประจำถิ่นที่อาศัยบริเวณแนวชายฝั่ง โดยเฉพาะบริเวณปากแม่น้ำ กินปลาและหมึกเป็นอาหาร อยู่รวมกันเป็นฝูง 10-20 ตัว อาจพบอยู่เป็นคู่หรือเดี่ยว แรกเกิดจะลำตัวสีเทาความยาวประมาณ 1 เมตร เมื่ออายุมากขึ้นจะมีประขาวเพิ่มมากขึ้นและเมื่อโตเต็มที่จะมีความยาวมากถึง 3.2 เมตร หนัก 250 กิโลกรัม โดยลำตัวจะมีสีขาวเทาหรือขาวอมชมพู จึงเป็นที่มาของชื่อ โลมาเผือก สำหรับโลมาชนิดนี้อาศัยอยู่บริเวณปากแม่น้ำ ซึ่งหากระบบนิเวศอุดมสมบูรณ์ มีทั้งปะการัง หญ้าทะเล และป่าชายเลน จะเป็นแหล่งเลี้ยงดูที่สำคัญของสัตว์วัยอ่อนที่สำคัญ โดยจะมีโอกาสพบสัตว์ทะเลหายากชนิดอื่นได้แก่ โลมาอิรวดี โลมาหัวบาตรหลังเรียบ และพะยูนด้วย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวชมโลมาและวาฬในประเทศไทย เช่น โลมาอิรวดีที่ปากแม่น้ำบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา โลมาอิรวดีที่อ่าวตราด จ.ตราด โลมาหลังโหนกหรือโลมาเผือกที่อ่าวขนอม จ.นครศรีธรรมราช โลมาหลังโหนกที่บ้านตะเสะ จ.ตรัง และวาฬบรูด้าบริเวณอ่าวไทยตอนบน นอกชายฝั่งของ จ.สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และเพชรบุรี โดยย้ำว่า การชมโลมาและวาฬโดยทางเรือนั้น ต้องปฏิบัติตามคู่มือการชม และจำกัดจำนวนเรือเพื่อไม่ให้รบกวนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของโลมาและวาฬได้แก่ การกินอาหาร เลี้ยงดูลูก หรือผสมพันธุ์ ตลอดจนอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสัตว์เหล่านี้ ทำให้บาดเจ็บ หรืออาจเป็นสาเหตุทำให้สัตว์เกิดการเจ็บป่วยเรื้อรังเช่น ผลกระทบจากเรื่องเสียงใต้น้ำ (Under water sounds) การเฉี่ยวชนจากเรือ (Vessel strike) เป็นต้น ผลกระทบของเสียง (Noise as a stressor) จะไปรบกวนการสื่อสารระหว่างกันในฝูง ลดความสามารถในการได้ยินเสียงระหว่างกัน ทำให้สูญเสียความสามารถในการกำหนดทิศทางการเดินทางและการหาเหยื่อ รบกวนการพักผ่อน หรือปฏิกิริยาของสัตว์ต่อสังคมในฝูงเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจเปลี่ยนไปทั้งในระยะสั้นหรือระยะยาว นอกจากนี้ยังแนะนำได้การชมโลมาและวาฬในต่างประเทศซึ่งมี 3 วิธี คือ 1) ทางเรือขนาดกลางถึงใหญ่ 2) เรือแคนู (Sea kayak) และ 3) ทางบก โดยการปีนขึ้นไปดูบนที่สูงบริเวณชายฝั่ง (Hiking) การท่องเที่ยวเพื่อชมวาฬครั้งแรกคือการดูวาฬสีน้ำเงิน (Blue whale) เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1955 ที่ซานดิเอโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1985 ที่ประเทศอังกฤษ นักท่องเที่ยวนิยมไปชมวาฬหลังค่อม (Humpback whale) กันมาก เพราะวาฬหลังค่อมมีพฤติกรรมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น การโผล่ขึ้นกินอาหาร (Lunge feeding) การกระโดดขึ้นเหนือผิวน้ำทะเล (Breaching) การโบกสะบัดหาง (Tail-slapping) และหลังจากปี ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา ธุรกิจการท่องเที่ยวชมโลมาและวาฬมีการแพร่กระจายไปในประเทศต่างๆ ทั่วโลก มากกว่า 87 ประเทศ มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 9 ล้านคนต่อปี ประมาณรายได้จากธุรกิจนี้ทั่วโลกในปี ค.ศ. 2000 จากนักท่องเที่ยวจำนวน 11.3 ล้านคน ประมาณ 1.475 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ. https://tna.mcot.net/latest-news-757514
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
สัญญาณเตือนภัย 5 ประการ จากรายงานภูมิอากาศฉบับเขย่าโลกของสหประชาชาติ สัญญาณเตือนภัย 5 ประการ จากรายงานวิกฤตภูมิอากาศฉบับเขย่าโลก เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ของสหประชาชาติ ได้เผยแพร่รายงานฉบับประวัติศาสตร์ ซึ่งเผยผลการศึกษาที่น่าพรั่นพรึงในเรื่องความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกที่ผ่านมาและแนวโน้มของการเผชิญวิกฤตในอนาคต รายงานดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงสัญญาณเตือนภัยร้ายแรง 5 ประการ ที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์อย่างแน่นอนในไม่ช้านี้ หากทุกประเทศทั่วโลกไม่ร่วมมือกันเร่งขวนขวาย เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างสุดกำลังในทันที 1. การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าเดิมทั่วโลก รายงานฉบับนี้ชี้ว่า สภาพการณ์ปัจจุบันของภูมิอากาศโลกที่กำลังเลวร้ายลงในหลายด้าน เป็นผลจากการกระทำของมนุษย์ "อย่างไม่ต้องสงสัย" ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้น หลายเรื่องไม่อาจจะแก้ไขให้หวนคืนสู่สภาพเดิมได้อีกต่อไป รายงานได้คาดการณ์ถึงอนาคตที่น่าหวาดหวั่นของสภาพภูมิอากาศโลก โดยใช้ถ้อยคำรุนแรงหนักแน่นเน้นย้ำถึงความมั่นใจในระดับสูง เห็นได้จากการที่รายงานความยาวกว่า 40 หน้ากระดาษนี้ใช้คำว่า "เป็นไปได้อย่างยิ่ง" ถึง 42 ครั้ง ซึ่งคำนี้ในทางวิทยาศาสตร์แล้วเทียบเท่ากับการแสดงความมั่นใจในระดับ 90-100% เลยทีเดียว 2. อุณหภูมิโลกจะร้อนขึ้นอีก 1.5 องศาเซลเซียสอย่างแน่นอน ในอีก 2 ทศวรรษ ภายในเวลาไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2040 อุณหภูมิโลกจะร้อนขึ้นเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม 1.5 องศาเซลเซียสอย่างแน่นอน ซึ่งเท่ากับว่าเป้าหมายการควบคุมอุณหภูมิโลกในระยะยาวตามความตกลงปารีส จะไม่เป็นผลสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ดร. อะแมนดา เมย์ค็อก จากมหาวิทยาลัยลีดส์ของสหราชอาณาจักร หนึ่งในคณะนักวิทยาศาสตร์ผู้จัดทำรายงานฉบับนี้บอกว่า ยังคงมีความหวังอยู่บ้างเล็กน้อย เนื่องจากหายนะจะยังไม่เกิดขึ้นทันทีเมื่อโลกร้อนขึ้นอีก 1.5 องศาเซลเซียส "หากเราตัดลดการปล่อยคาร์บอนจากระดับปัจจุบันลงได้ครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 และหยุดปล่อยคาร์บอนได้อย่างสมบูรณ์ภายในช่วงกลางศตวรรษนี้ มีความเป็นไปได้ว่าเมื่อถึงจุดดังกล่าว อุณหภูมิโลกจะไม่เพิ่มสูงขึ้นอีกต่อไป และมีโอกาสจะทำให้กลับคืนสู่ระดับที่เย็นลงได้" ดร. เมย์ค็อกกล่าว (มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 14-08-2021 เมื่อ 04:51 |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
สัญญาณเตือนภัย 5 ประการ จากรายงานภูมิอากาศฉบับเขย่าโลกของสหประชาชาติ .......... ต่อ 3. ไม่ว่าเราจะทำอย่างไร ระดับน้ำทะเลก็จะยังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ หากมนุษย์ไม่ตัดลดการปล่อยคาร์บอนลงต่ำกว่าระดับปัจจุบัน โดยยังคงโหมกระหน่ำเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลกันอย่างหนักมือ มีความเป็นไปได้ว่าระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 2 เมตร ก่อนสิ้นศตวรรษนี้ และเพิ่มขึ้นถึง 5 เมตร ภายในปี 2150 ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่จะมีประชาชนผู้อยู่อาศัยตามแนวชายฝั่งได้รับความเดือดร้อนหลายล้านคน แม้นักวิทยาศาสตร์บางส่วนจะมองโลกในแง่ดี โดยพวกเขาเห็นว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดขั้วดังข้างต้นนั้นยากที่จะเกิดขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอนเมื่อโลกร้อนขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส ภายในปี 2100 ก็คือการที่ระดับน้ำทะเลจะค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยไปไม่สิ้นสุด โดยที่มนุษย์ไม่อาจยับยั้งเอาไว้ได้อีกแล้ว โดยอาจเพิ่มสูงขึ้น 2-3 เมตรในช่วงศตวรรษหน้า 4. ก๊าซมีเทนคือสิ่งที่เรามองข้ามมาโดยตลอด ในอดีตนักวิทยาศาสตร์ให้ความสำคัญกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมากในการศึกษาเรื่องภาวะโลกร้อน โดยพยายามจำลองสถานการณ์เพื่อทำนายว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะมีความอ่อนไหวต่อการเพิ่มขึ้นของคาร์บอนชนิดนี้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งรายงานในอดีตได้คาดการณ์ว่า อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นราว 1.5 - 4.5 องศาเซลเซียส หากปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นสองเท่า อย่างไรก็ตาม รายงานของ IPCC ฉบับล่าสุด ได้ปรับปรุงการคาดการณ์ในเรื่องนี้ให้มีความแน่นอนแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยทำนายว่าอุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นราว 3 องศาเซลเซียสในสถานการณ์ดังกล่าว สำหรับโลกยุคปัจจุบันที่ร้อนขึ้นกว่าช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมไปแล้ว 1.1 องศาเซลเซียสนั้น รายงานระบุว่าก๊าซมีเทนมีส่วนในการทำให้โลกร้อนขึ้นในขณะนี้ถึง 0.3 องศาเซลเซียส หรือเกือบ 1 ใน 3 เลยทีเดียว ซึ่งหากเราเร่งจัดการกับก๊าซมีเทนที่มาจากอุตสาหกรรมด้านพลังงานและเกษตรกรรมได้ ก็เท่ากับว่าเป็นทางลัดในการลดโลกร้อนลงอย่างรวดเร็วโดยใช้ต้นทุนต่ำ 5. นักอนุรักษ์จะฟ้องร้องต่อศาลและชนะคดีบ่อยขึ้น หากนักการเมืองไม่แก้ปัญหาโลกร้อน รายงานของ IPCC ฉบับล่าสุดนั้น เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่นและเชื่อถือได้มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งชี้ชัดว่ากิจกรรมของมนุษย์และการทำอุตสาหกรรมในภาคต่าง ๆ นำไปสู่วิกฤตของภูมิอากาศโลกได้อย่างไร หากบรรดานักการเมืองที่เป็นผู้นำและผู้กำหนดนโยบายของชาติต่าง ๆ ยังคงเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำในรายงานฉบับนี้ เหล่าองค์กรอนุรักษ์ต่าง ๆ อาจยื่นฟ้องร้องต่อศาล เพื่อบังคับให้ภาครัฐดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างเร่งด่วนได้ โดยจะมีโอกาสชนะคดีเพิ่มสูงขึ้นมาก ดังที่องค์กรเพื่อสิ่งแวดล้อมในไอร์แลนด์และเนเธอร์แลนด์ได้ทำสำเร็จมาแล้วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|