![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
เห็นแล้วหิว "ไอโซพอด" ใต้ทะเลญี่ปุ่น เหมือนแซลมอนซูชิเปี๊ยบ ![]() ![]() ไอโซพอด ปรสิตใต้ทะเล หน้าตาเหมือนแซลมอนซูชิ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำฟูกุชิมะเผยภาพสัตว์ทะเลหน้าตาเหมือนแซลมอนซูชิ เผยเป็นตัว "ไอโซพอด" ปรสิตใต้ทะเล ชาวเน็ตต่างชอบใจในความน่ารัก ผู้ใช้ทวิตเตอร์ @aquamarinestaff ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำฟูกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ได้โพสต์ภาพสัตว์ใต้น้ำที่ดูยังไงก็คล้ายแซลมอนซูชิ อาหารญี่ปุ่นยอดฮิต แต่แท้จริงแล้วมันคือตัวไอโซพอด (Isopod) ในสกุล Rocinela สัตว์จำพวกกุ้ง กั้ง ปู (ครัสเตเชียน) ซึ่งเป็นปรสิตที่อยู่ตามร่างกายและอวัยวะภายในของสัตว์ใต้น้ำ พบในระดับความลึก 800-1,200 เมตร ปกติแล้วไอโซพอดตัวนี้จะมีสีซีดๆ แต่ตัวนี้มีสีส้มสดใส ส่วนบริเวณใต้ท้องและขามีสีขาว จึงดูเหมือนแซลมอนซูชิแบบสุดๆ บ้างก็ว่าเหมือนซูชิหน้ากุ้ง โดยหลังจากภาพที่ถูกเผยแพร่บนโลกออนไลน์ ทำให้ผู้คนให้ความสนใจไอโซพอดตัวนี้เป็นจำนวนมาก และต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เห็นแล้วหิวซูชิขึ้นมาเลย http://www.saveoursea.net/forums/new...uote=1&p=62037
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก อสมท.
นักวิจัยไทย พบซากหอยจิ๋วโบราณชนิดใหม่ของโลก ![]() 9 ต.ค.64 - นักวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ ม.เกษตรศาสตร์ ค้นพบซากหอยทะเลจิ๋วชนิดใหม่ของโลก อยู่ในโครงกระดูกวาฬที่มีอายุกว่า 3,380 ปี ในชั้นดินลึกลงไป 8 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ตั้งชื่อ "หอยอำแพง" ตามสถานที่พบ ดร. ฉัตรเฉลิม เกษเวชสุริยา อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนายชาติชาย สุขเสริม นายวงศ์เวชช เชาวน์ชูเวชช และนางสาวธนพร จิตรพันธ์ นิสิตภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับผู้ช่วยศาสตราจารย์พงษ์รัตน์ ดำรงโรจน์วัฒนา นักวิจัยจากภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ ดร.ดวงฤทัย แสแสงสีรุ้ง คุณพรรณิภาแซ่เทียน และคุณอดุลย์วิทย์ กาวีระ นักธรณีวิทยาจากกองคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ กรมทรัพยากรธรณี ค้นพบหอยทะเลจิ๋วชนิดใหม่ของโลก ตั้งชื่อว่า "หอยอำแพง" โดยมีชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Orbitestella amphaengensis Ketwetsuriya & Dumrongrojwattana, 2021 โดยชื่อวิทยาศาสตร์มีที่มาจากสถานที่ค้นพบตัวอย่างหอยทะเลจิ๋วนี้ คือตำบลอำแพง จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่พบซากโครงการดูกวาฬอำแพง นั่นเอง ดร. ฉัตรเฉลิม เกษเวชสุริยา กล่าวว่า หอยอำแพงเป็นหอยฝาเดียวที่มีเปลือกขนาดเล็ก ประมาณ 1 มิลลิเมตรเท่านั้น มีการขดในแนวระนาบ รูปร่างแบน โดยมีลักษณะเด่นคือการเรียงตัวของสัน เป็นลวดลายอยู่บนผิวเปลือกที่มีความสวยงาม ซึ่งเป็นลักษณะที่มีความแตกต่างจากหอยชนิดอื่นๆในสกุลเดียวกันอย่างชัดเจน นอกจากนี้หอยอำแพงยังเป็นหอยในสกุล Orbitestella ซึ่งพบเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและยังเป็นหอยฝาเดียวในวงศ์ Orbitestellidae ที่ถูกรายงานว่าเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย ![]() ซากหอยอำแพงนี้ไม่ใช่หอยที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากพบในชั้นดินที่มีความลึกลงไปประมาณ 8 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ในพื้นที่ตำบลอำแพง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร โดยอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลสมุทรสาครประมาณ 12 กิโลเมตร ซึ่งพบร่วมกับโครงกระดูกวาฬที่มีอายุกว่า 3,380 ปี รวมทั้งซากฟันฉลาม ซากปลากระเบน ซากปู ซากไรน้ำกาบหอย พืชพรรณต่างๆ และซากหอยอื่นๆอีกมากกว่า 30 ชนิด ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแนวชายฝั่งและทะเล ดังนั้นการค้นพบซากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ในชั้นดินจึงเป็นหลักฐานสำคัญทางธรณีวิทยาที่สามารถบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลของประเทศไทยในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศโบราณของพื้นที่ที่ราบลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง และยังสามารถเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ถึงความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลและชายฝั่งของประเทศไทยในอดีตอีกด้วย จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสำรวจ วิเคราะห์ และวิจัย เพื่อเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศตลอดจนความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทยในอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต ต่อไป https://www.mcot.net/view/VdtFZ4NF
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
ติดดาบกฎหมายสิ่งแวดล้อม ปิดช่องโหว่ปัญหามลพิษ ![]() ความล่าช้าในการแก้ปัญหามลพิษ ทั้งเรื่องการเร่งฟื้นฟูพื้นที่เพื่อหยุดการปนเปื้อนให้เร็วที่สุด และการเร่งสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิด ด้านหนึ่งเป็นผลจากจุดอ่อนของพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 ที่ใช้บังคับมานาน ทำให้หลายฝ่ายเสนอให้เร่งแก้ไขและติดดาบให้กับกฎหมายสิ่งแวดล้อมเพื่อปิดช่องโหว่นี้ ผ่านมาแล้วกว่า 3 สัปดาห์ ที่มีการพบขยะอุตสาหกรรมถูกลักลอบทิ้งที่บ้านดีลัง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี แม้ปัญหานี้จะตกเป็นข่าวซึ่งหมายความว่าจะต้องถูกจับตาจากสาธารณะ แต่ก็ไม่อาจการันตีว่า การแก้ไขปัญหาจะดำเนินการได้รวดเร็ว โดยเฉพาะการเร่งเคลื่อนย้ายกองขยะพิษออกจากพื้นที่เพื่อไม่ให้เกิดการปนเปื้อนต่อสิ่งแวดล้อมไปมากกว่านี้ และเร่งฟื้นฟูผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วโดยเร็ว เพราะจนถึงขณะนี้ (9 ต.ค.) ขยะพิษนี้ก็ยังถูกกองไว้ที่เดิม กรณีปัญหาที่ จ.ลพบุรี สะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า การเร่งขนย้ายแหล่งกำเนิดมลพิษออกจากพื้นที่หรือดำเนินการใดๆ เพื่อหยุดการปนเปื้อนลงสู่สิ่งแวดล้อม เป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปกับโจทย์การสอบสวนหาผู้กระทำผิด แต่หลายกรณีการเร่งแก้โจทย์แรกกลับเป็นไปอย่างล่าช้า จนทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ต้องออกมาร้องเรียนหลายครั้ง ไม่นับมูลค่าความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มมากขึ้นตามระยะเวลา การพยายามหากลไกทางกฎหมายเพื่ออุดช่องโหว่ในเรื่องนี้ จึงเป็นหนึ่งเรื่องสำคัญที่ถูกพูดถึงในเวทีเสวนาออนไลน์เรื่อง "ถึงเวลาติดดาบกฎหมายสิ่งแวดล้อมหรือยัง?" (8 ต.ค.) โดยเนื้อหาในเวทีเป็นการวิพากษ์จุดอ่อนของระบบกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงข้อเสนอต่อการแก้ไขพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 ที่ปัจจุบันร่างฯ ฉบับแก้ไขยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพิ่มอำนาจ ติดดาบให้หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม ศ.ดร.อำนาจ วงศ์บัณฑิต อาจารย์ประจำสาขากฎหมายสิ่งแวดล้อม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า แม้ พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม 2535 จะกำหนดให้มีเจ้าภาพดำเนินการซึ่งทำให้ดูเหมือนจะมีความหวัง เช่น มีคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กกวล.) ในฐานะเจ้าภาพกำกับด้านนโยบาย หรือกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ที่มีหน้าที่ดูแลปัญหาด้านมลพิษสิ่งแวดล้อม แต่กลับไม่มีอำนาจที่แท้จริง และทำให้ไม่มีใครเกรงกลัวหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม "อย่างเมื่อเกิดปัญหามลพิษจากโรงงาน กฎหมายฉบับนี้ก็บอกว่ากรมโรงงานแก้ปัญหา เว้นแต่กรมโรงงานไม่ทำงานกรมควบคุมมลพิษค่อยไปดำเนินการต่อ ทำให้ในทางปฏิบัติ กรมควบคุมมลพิษเป็นเหมือนผู้ประสานงานมากกว่า ไม่มีอำนาจที่จะบังคับใช้กฎหมายอย่างแท้จริง อำนาจสั่งปิดสถานประกอบการก็ไม่มี" การเพิ่มอำนาจบังคับให้กับมาตรฐานมลพิษที่ออกตาม พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม 2535 เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ ศ.ดร.อำนาจ เห็นว่าควรเกิดขึ้น เพราะแม้จะถูกกำหนดให้เป็นมาตรฐานกลาง แต่หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมที่กำกับดูแลตามมาตรฐานนี้กลับไม่มีทั้งอำนาจบังคับและบทลงโทษหากผู้ประกอบการไม่ปฏิบัติตาม ขณะที่มาตรฐานที่ออกตามกฎหมายของหน่วยงานอื่น เช่น กฎหมายโรงงาน หรือกฎหมายควบคุมอาคาร ล้วนมีบทลงโทษหากฝ่าฝืน ขณะที่ ดร.วิจารณ์ สิมาฉายา อดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ชี้ว่า ไม่ควรให้หน่วยงานอนุญาตเป็นผู้กำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การให้อำนาจกรมโรงงานดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมในโรงงานที่กรมโรงงานเป็นผู้ออกใบอนุญาตประกอบกิจการเอง แต่ควรให้หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมสามารถเข้าไปดำเนินการได้หากพบแหล่งกำเนิดมลพิษภายในพื้นที่โรงงาน "เป็นปัญหาเรื่อง Check and balance เพราะหลายเรื่องที่เกิดปัญหาแล้วหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมไม่สามารถเข้าไปแก้ปัญหาได้เบ็ดเสร็จ" ![]() ภาพ : กานต์ ทัศนภักดิ์ และมูลนิธิบูรณะนิเวศ ปัญหาประสิทธิภาพและความล่าช้าการฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อนมลพิษ ด้านนายสุรชัย ตรงงาม เลขาธิการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากการติดตามคดีการปนเปื้อนสารตะกั่วในลำห้วยคลิตี้ ปัจจุบันการแก้ปัญหากำลังจะเข้าสู่แผนการฟื้นฟูลำห้วยระยะที่ 2 โดยการฟื้นฟูในระยะที่ 1 ใช้งบประมาณไปแล้ว 400 กว่าล้านบาท ซึ่งการใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมากขนาดนี้ นายสุรชัย มองว่า สะท้อนถึงการไม่มีประสิทธิภาพในด้านการฟื้นฟูมลพิษ โดยจากการศึกษาเปรียบเทียบกับเหตุการรั่วไหลของสารพิษจากเหมืองแร่สู่สิ่งแวดล้อม ที่รัฐบริติชโคลัมเบียประเทศแคนาดา พบว่า ที่นั่นให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูเป็นเรื่องแรก โดยมีการสั่งการให้ผู้ประกอบการดำเนินการตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ และใช้เวลาเพียง 5 ปีก็สามารถฟื้นฟูพื้นที่ได้สำเร็จ ขณะที่กรณีคลิตี้ของประเทศไทย ผ่านมา 24 ปี ก็ยังฟื้นฟูไม่สำเร็จ "มันสะท้อนว่าเราไม่มีระบบการบริหารจัดการ ไม่มีกฎหมายที่เข้าไปแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนมลพิษขนาดใหญ่อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเอกภาพ ไม่มีหน่วยงานที่มีบทบาทภารกิจสามารถเข้ามาดำเนินการได้โดยไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือขัดแย้งกับการปฏิบัติงาน" รวมถึงไม่มีกองทุนที่เข้าไปช่วยฟื้นฟูในกรณีที่ยังไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากเอกชนผู้ก่อมลพิษ ก็สามารถเอาเงินจากกองทุนนี้มาใช้ไปพลางก่อน แล้วค่อยเรียกคืนเอาจากผู้ก่อมลพิษ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ต้องเร่งแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ ขณะที่นางดาวัลย์ จันทรหัสดี เจ้าหน้าที่อาวุโสมูลนิธิบูรณะนิเวศ สะท้อนว่า กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่ใช้อยู่ในปัจจุบันยังไปไม่ถึงการป้องกัน ทำได้แค่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และหลายพื้นที่ที่เข้าไปทำงาน พบว่าชาวบ้านที่อยู่รอบโรงงานต้องสูญเสียที่ดินทำกินจากการถูกทำลายด้วยมลพิษ ซึ่งเป็นการทำลายความมั่นคงในชีวิตและสุขภาพ "การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ต้องถือเป็นอาชญากรรมด้านสิ่งแวดล้อม และผู้กระทำต้องถือเป็นอาชญากร ทำยังไงให้กฎหมายเป็นอย่างนั้นให้ได้ ผู้ถูกกระทำต้องมีต้นทุนชีวิตที่เพิ่มขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคตไม่รู้จบ" นางดาวัลย์ เห็นว่า ถ้ากฎหมายสิ่งแวดล้อมยังอ่อนแอแบบนี้ สังคมไทยก็จะยิ่งป่วย ดังนั้น เมื่อจะติดดาบแล้ว ดาบนี้ก็ต้องคมพอ ใช้ประโยชน์ได้จริง และต้องพาสังคมไทยไปข้างหน้าได้อย่างแท้จริง เปิดข้อแก้ไข ร่าง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม เพิ่มสัดส่วนโทษอาญา ส่วนเนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ฉบับแก้ไขที่กำลังอยู่ในการชั้นการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น นายพิทยา ปราโมทย์วรพันธุ์ ผู้อำนวยการกองกฎหมาย กรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่า มีการเสนอแก้ไขในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ ได้แก่ การเพิ่มอำนาจให้พนักงานอัยการสามารถฟ้องคดีแทนประชาชนได้ ซึ่งฎหมายปัจจุบันไม่มีอำนาจนี้ การปรับปรุงมาตรฐานควบคุมมลพิษให้มีมาตรการทางเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น จากเดิมที่มีแค่ตัวเลข การปรับปรุงระบบการระบายมลพิษ การกำหนดความผิดสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานโดยการเพิ่มโทษทางอาญาจากเดิมที่ไม่มีบทลงโทษ การเพิ่มมาตรการในเขตควบคุมมลพิษให้มีทั้งบทลงโทษและงบประมาณดำเนินการ การมีระบบอนุญาตให้ระบายมลพิษ และมีระบบค่าธรรมเนียมการปล่อยมลพิษ ในเรื่องกองทุนฟื้นฟูได้กำหนดให้มีการวางหลักประกันความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม เมื่อเกิดเหตุการณ์ก็สามารถใช้เงินจากกองทุนนี้ได้ทันที การสงวนสิทธิเรียกค่าเสียหายในอนาคตโดยขยายเวลาถึง 10 ปี จากเดิมที่กำหนดไว้ 2 ปี และการเพิ่มโทษทางอาญาให้ได้สัดส่วนการกระทำความผิดที่เกิดขึ้น https://news.thaipbs.or.th/content/308488
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
|
|