#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม 2564
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงระลอกใหม่จากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมบริเวณภาคเหนือด้านตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนบน และทะเลจีนใต้ตอนบนแล้ว ประกอบกับมีลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมบริเวณประเทศไทยตอนบนและอ่าวไทย ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีกำลังอ่อน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนลดลง แต่ยังมีฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ขอให้ประชาชนในบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในระยะนี้ไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 22 ? 23 ต.ค. 64 บริเวณความกดอากาศสูงระลอกใหม่อีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับมีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงเกิดขึ้นบางพื้นที่ในระยะแรก ส่วนภาคใต้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 24 - 28 ต.ค. 64 บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้จะมีกำลังอ่อนลง ประกอบกับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่ร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณภาคใต้ตอนกลาง ทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนลดลง ส่วนภาคใต้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง อนึ่ง ในช่วงวันที่ 25 - 26 ต.ค. 64 หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้น และเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนล่าง คาดว่า ในช่วงวันที่ 27 - 28 ต.ค. 64 จะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนล่าง ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 22 ? 23 ต.ค. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ส่วนประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในภาคใต้ควรระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
คนชุมพรเสียดาย ชี้สร้างเขื่อน 80 ล้านที่หาดทรายรีกระทบระบบนิเวศแน่ คนชุมพรฝากคำถาม สร้างเขื่อนกันตลิ่งตลอดแนวหาดทรายรีแหล่งท่องเที่ยว และแห่งประวัติศาสตร์ ชายหาดสวยงามอันดับหนึ่งของชุมพร งบประมาณ 80 ล้านบาท "ป้องกันหรือทำลาย" เชื่อสร้างเสร็จกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่งแน่นอน วันที่ 22 ต.ค. 64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่บริเวณริมหาดทรายรี ตำบลหาดทรายรี อ.เมือง จ.ชุมพร แหล่งท่องเที่ยวมีชายหาดสวยงามขึ้นชื่อของ จ.ชุมพร ในอดีตเป็นพระตำหนักที่ประทับของพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือเสด็จเตี่ย หรือหมอพร และเป็นแหล่งเรียนรู้ยาสมุนไพรตำหรับหมอพร มีการสร้างพระตำหนัก ประดิษฐานพระบรมรูปของพลเรือเอกเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดศักดิ์ มีประชาชนจากทั่วสารทิศมากราบไหว้สักการะอย่างไม่ขาดสาย ด้านหน้าชายหาดจะมีเกาะเล็กเกาะน้อยจำนวนมากมองดูสวยงามเหมาะแก่การท่องเที่ยวทางทะเลอย่างมาก ดังคำขวัญประจำจังหวัดที่ว่า "ชุมพร ประตูภาคใต้ ไหว้เสด็จในกรม ชมไร่กาแฟ แลหาดทรายรี ดีกล้วยเล็บมือ ขึ้นชื่อรังนก" วันนี้ ชายหาดที่สวยงามกำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อ กรมโยธิการและผังเมือง มีโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล ที่พื้นที่ชายฝั่ง หมู่ 6 ตำบลหาดรี อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร โดยบริษัท ช.ฐานเพชร เป็นคู่สัญญาในการก่อสร้าง ด้วยงบประมาณ 82 ล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้างกว่า 700 วัน สิ้นสุดสัญญาใน ปี 2565 ผู้รับเหมาได้ระดมเครื่องจักรหนักเบาเข้าไประดมการก่อสร้างบนชายหาดตามโครงการฯ จนนักท่องเที่ยวและประชนชนที่ไปพบเห็นต่างวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการป้องกันหรือทำลายสิ่งแวดล้อม และกำลังกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างอยู่ขณะนี้ ซึ่งหากการก่อสร้างแล้วเสร็จหาดทรายรีที่สวยงามจะไม่มีชายหาดให้เห็นและลงไปเดินเที่ยวเล่นอีกต่อไป นายหัสฆเนศ ไชยะคำ อายุ 24 ปี โฟร์แมนของบริษัท ช.ฐานเพชร ผู้คุมงานก่อสร้างโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล เปิดเผยว่าโครงการดังกล่าว มีความยาว 633 เมตร เรียกได้ว่าทำตลอดแนวชายหาด งบประมาณที่ใช้ประมาณ 82 ล้าน โดยโครงการมีการทำแนวกันคลื่นเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง จากเดิมพื้นที่จุดนี้มีแนวป้องกันการกัดเซาะอยู่แล้วเป็นลักษณะกำแพงแนวตั้ง แต่กำแพงเดิมได้รับความเสียหายจึงมีโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อปรับปรุงใหม่ จากเดิมที่เป็นแนวตั้งก็ปรับให้เป็นลักษณะลาดลงไปในชายหาด ความยาวของแนวกันคลื่นมีความยาวประมาณ 10 เมตร จากด้านบนไปจนถึงพื้นด้านล่างบริเวณชายหาด "การก่อสร้างเป็นลักษณะของขั้นบันได ประมาณ 10 ขั้น ยื่นลงไปบนชายหาด โดยขั้นบันไดประมาณ 2-3 ขั้นสุดท้าย เมื่อสร้างแนวเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเลเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีการปรับชายหาดให้เหมือนเดิม บันได 2-3 ขั้นก็จะถูกฝังลงในทราย เมื่อถึงฤดูกาลที่น้ำทะเลลงก็จะเห็นขั้นบันไดที่ถูกทรายฝั่งไว้ โครงการนี้นอกเหนือจากทำแนวกันคลื่นป้องกันตลิ่งพังแล้ว ยังเป็นการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณแนวชายหาดด้วย มีการปูตัวหนอนเป็นทางเดินให้นักท่องเที่ยวได้เดินเล่นให้ชาวบ้านได้ออกกำลังกาย เป็นความกว้างประมาณ 5 เมตร ตลอดแนวชายฝั่ง" เมื่อสอบถามในเรื่องของผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดจากการสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเลแห่งนี้ นายหัสฆเนศ กล่าวว่า จากที่มีการก่อสร้างในหลายๆ ที่ ซึ่งสร้างเขื่อนในลักษณะนี้ หากในช่วงที่น้ำทะเลขึ้น คลื่นจะพัดเอาทรายขึ้นมาปิดตัวบันไดที่ยื่นลงไปในชายหาด ความสวยงามหาดทรายก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้กระทบต่อความสวยงามหรือระบบนิเวศชายฝั่ง ด้าน นายจงรักษ์ พุทธศรี อายุ 73 ปี อยู่บ้านเลขที่ 62/2 หมู่ 7 ตำบลหาดทรายรี อำเภอเมืองชุมพร ชาวบ้านที่เห็นหาดทรายรีมาตั้งแต่เกิด เปิดเผยว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยมานานแล้ว ไม่ว่าจะมีการสร้างเขื่อนที่ไหน ที่จังหวัดใด โดยตนจะไปช่วยคัดค้านตลอด ถ้าไปไม่ได้ก็จะส่งใจส่งเงินไปช่วย แต่ครั้งนี้มาเกิดที่บ้านเรามันสะท้อนให้เห็นว่า ทำไมไม่มีใครมาช่วยคัดค้าน "เสียดายภาพบรรยากาศของเก่าริมชายหาดทรายรี นึกถึงช่วงเวลาที่สามารถเดินเล่นริมหาดได้ และในหลายๆ ที่ในจังหวัดชุมพร เช่น หาดทุ่งวัวแล่น หาดปะทิว ก็ไม่เห็นต้องมีเขื่อนแบบนี้ แต่ทำไมมาทำที่หาดทรายรีแห่งนี้ ซึ่งหากเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเลแห่งนี้ถูกสร้างเสร็จ เชื่อว่าระบบนิเวศจะเสียหายไปมากอย่างแน่นอน สิ่งแรกคือจะไม่มีหาดให้ดู ประมงจะหาปลา หาหอยเสียบ ตกปลาทรายชายฝั่ง ปูทะเล ปูลม จะหายไป ชาวประมงชายฝั่งก็จะหายไป เพราะไม่มีสัตว์น้ำมาอาศัย แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน ว่าระบบนิเวศจะเสียหายอย่างแน่นอน". https://www.thairath.co.th/news/local/south/2225700
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ไม่อยากเชื่อสายตา! ผู้เชี่ยวชาญอึ้ง 'ปลาแสงอาทิตย์มหึมา' ว่ายติดอวนเรือประมง นักชีววิทยาทางทะเลไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง หลังได้เห็นภาพปลาแสงอาทิตย์ขนาดมหึมาว่ายติดอวนเรือประมงปลาทูนาลำหนึ่งในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นอกชายฝั่งเซวตา ดินแดนของสเปนในแอฟริกาเหนือ เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ปลาแสงอาทิตย์ขนาดมหึมาตัวนี้มีความยาว 3.2 เมตร กว้าง 2.9 เมตร และคาดว่าน่าจะมีน้ำหนักมากว่า 1,814 กิโลกรัม (หนักเกินไปสำหรับตราชั่ง) ได้รับความช่วยเหลือออกจากอวนหาปลา นอกชายฝั่งเซวตา เชื่อกันว่ามันเป็นปลาแสงอาทิตย์ตัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบมาในภูมิภาคนี้ โดยชาวประมงถึงขั้นต้องใช้เครนยกมันขึ้นจากน้ำ ผู้เชี่ยวชาญได้มีการทำการศึกษามันช่วงสั้นๆ และเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ ก่อนปล่อยมันไป จากข้อมูลของสถานีชีววิทยาทางทะเลเอสเตรโช แห่งมหาวิทยาลัยเซบีญา ระบุว่า ปลาแสงอาทิตย์ตัวนี้ถูกพบว่ายเข้ามาติดอวนนอกชายเซวจา ทางเหนือของทวีปแอฟริกา เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม "เราพยายามนำมันวางบนตราชั่ง 1,000 กิโลกรัม แต่มันหนักเกินไป ตราชั่งอาจพังได้" เอ็นริเก ออสเทล นักชีววิทยาทางทะเลของทางสถานีบอกกับรอยเตอร์ โดยที่เขาและเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ถูกเรียกไปประเมินปลาตัวดังกล่าว "บนพื้นฐานของความอ้วนท้วนของมันและเปรียบเทียบกับตัวอื่นๆ ที่เคยถูกจับ มันน่าจะมีน้ำหนักราวๆ 2 ตัน" ออสเทล "ผมตกตะลึงเลยทีเดียว เราเคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับปลาชนิดนี้ แต่เราไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้สัมผัสกับมันจริงๆ" เขาระบุ "แต่มันเต็มไปด้วยความเครียดเช่นกัน คุณอยู่บนเรือกลางทะเล มีเครนตัวหนึ่งน้ำหนักมหาศาลเคลื่อนไหว มีสัตว์ขนาดใหญ่ตัวเป็นๆ เราต้องเร่งมือไม่ปล่อยให้เสียเวลาและจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ" ออสเทล เล่า เซวตา เป็นหนึ่งใน 9 ดินแดนของสเปนในแอฟริกา มีชายแดนติดกับโมร็อกโก อยู่ตามแนวพรมแดนระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและมหาสมุทรแอตแลนติก (ที่มา : ยูเอสเอทูเดย์) https://mgronline.com/around/detail/9640000104669
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า
ระทึก! ทัพเรือภาคที่ 1 ออกเรือด่วนช่วยนักดำน้ำหญิงหมดสติกลางทะเล วันนี้ (22 ต.ค.64) ทัพเรือภาคที่ 1 ได้รับการประสานจากมูลนิธิโรจนธรรมสถานสัตหีบว่าได้รับแจ้งจากคุณอนุวัฒน์ฯ เจ้าของเรือทัวร์ดำน้ำชื่อ "ม้าน้ำ" ว่านักดำน้ำหญิงเกิดเหตุขาดอากาศหายใจ จนหมดสติ จากการดำน้ำลึก บริเวณจุดจอดเรือทัวร์ดำน้ำเกาะคราม ทางเรือทัวร์รีบดำเนินการนำเรือกลับเข้าฝั่งเพื่อส่งนักดำน้ำหญิงเข้ารับการรักษา แต่ระหว่างการนำเรือเดินทางกลับนั้น เรือทัวร์เกิดเหตุเครื่องยนต์ขัดข้องไม่สามารถเดินเรือได้ เรือทัวร์ลอยลำอยู่บริเวณหน้าอ่าวเตยงาม จึงแจ้งมาเพื่อขอควรช่วยเหลือ พลเรือโทพิชัย ล้อชูสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 จึงสั่งการให้ เรือ ต.274 ซึ่งเป็นเรือพร้อมลำดับที่ 1 ของกองเรือปฏิบัติการ ทัพเรือภาคที่ 1 ออกเรือเข้าทำการช่วยเหลือ ซึ่งผลการช่วยเหลือเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถให้ความช่วยเหลือนักดำน้ำหญิงได้ทันต่อสถานการณ์และนำส่งขึ้นฝั่งที่ท่าเรือแหลมเทียนฐานทัพเรือสัตหีบประสานโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ รับนักดำน้ำหญิงเข้าทำการรักษาพยาบาลต่อไป https://www.naewna.com/local/610777
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก Nation TV
คนไทย 38 ล้านคนอยู่ในพื้นที่ฝุ่นพิษเกินมาตรฐาน WHO ชี้ มลพิษทางอากาศภัยคุกคามสุขภาพ ในปี 2560-2563 พบคนไทยป่วยจากโรคที่เกิดจากการกระตุ้นของมลพิษอากาศ โรคหัวใจหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง มะเร็งปอด ดร.อุมา ราชรัฐนาม ผู้แทนองค์การอนามัยโลก ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวในงานประชุมออนไลน์ หัวข้อ "ประเทศไทยไปทางไหน ต่อเกณฑ์แนะนำคุณภาพอากาศใหม่ของ WHO" ว่า มลพิษทางอากาศจากฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาใหญ่ที่สะสมมาเป็นเวลานานกว่า 15 ปี ถือเป็นภัยคุกคามทางสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชากรทั่วโลก ในเดือนตุลาคม ปี 2564 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดทำเกณฑ์แนะนำคุณภาพอากาศฉบับใหม่ในรอบ 15 ปี ให้ต่ำกว่าเกณฑ์เมื่อปี 2548 โดยระบุระดับคุณภาพอากาศสำหรับฝุ่น PM 2.5 ให้มีค่าเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จากเดิมที่ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และค่าเฉลี่ยราย 24 ชั่วโมงอยู่ที่ 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จากเดิม 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร กำหนดเป็นค่ามาตรฐานเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับกำหนดเป้าหมายทางนโยบาย รวมถึงเป็นเครื่องมือในการออกแบบมาตรการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดมลพิษทางอากาศ และปกป้องสุขภาพของประชาชน คนไทย 38 ล้านคนอยู่ในพื้นที่ฝุ่น ในจำนวนนี้ 15 ล้านคนเป็นกลุ่มเสี่ยง นพ.ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า คนไทย 38 ล้านคน อยู่ในพื้นที่ฝุ่นละอองขนาดเล็กเกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งในจำนวนนี้ 15 ล้านคน เป็นประชากรกลุ่มเสี่ยงได้รับผลกระทบรุนแรง ทั้งเด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคทางเดินหายใจ ในปี 2560-2563 พบคนไทยป่วยจากโรคที่เกิดจากการกระตุ้นของมลพิษอากาศ 4 โรค ได้แก่ 1. โรคหัวใจและหลอดเลือด 2. โรคหลอดเลือดสมอง 3. โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 4. มะเร็งปอด เมื่อคิดเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดมีมูลค่าสูงเกือบ 200,000 บาทต่อรายต่อเดือน ซึ่งหากคุณภาพอากาศดีขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มของค่าใช้จ่ายทางสุขภาพลดลงตามไปด้วย ค่าฝุ่น ไม่ควรเกิน 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร รศ.วงศ์พันธ์ ลิมปเสนีย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิชาการเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ กล่าวว่า ผลประโยชน์ด้านสุขภาพที่ได้จากการควบคุมมลพิษทางอากาศในประเทศไทย เมื่อทำการเปรียบเทียบค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศตามเกณฑ์แนะนำของ WHO ระหว่างค่ามาตรฐานเดิมในปี 2548 กับค่ามาตรฐานใหม่ปี 2564 พบว่า หากประเทศไทยใช้เกณฑ์แนะนำเดิม - ที่ค่าเฉลี่ยรายปี 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร - จะลดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 110,000 รายต่อปี - คิดเป็นมูลค่าผลประโยชน์ด้านสุขภาพ 3.75 ล้านล้านบาทต่อปี หากใช้เกณฑ์แนะนำปี 2564 - ที่ค่าเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร - จะลดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ถึง 170,000 รายต่อปี - คิดเป็นมูลค่าผลประโยชน์ด้านสุขภาพถึง 5.82 ล้านล้านบาทต่อปี มลพิษทางอากาศกระตุ้นเกิดโรคโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ปัญหามลพิษทางอากาศต้นเหตุสำคัญในการกระตุ้นให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งคิดเป็น 3 ใน 4 ของการเสียชีวิตจากทั้งหมดของประเทศ สอดคล้องกับในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ 73 ปี 2561 ประกาศที่ให้มลพิษทางอากาศเป็นปัจจัยความเสี่ยง 1 ใน 5 ร่วมกับพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และไม่มีกิจกรรมทางกาย สสส. ตระหนักถึงผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดขึ้น จึงมุ่งขับเคลื่อนการทำงานตั้งแต่ระดับพื้นที่ไปจนถึงระดับนโยบายเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน สสส. เน้นขยายผลจากระดับปัจเจกหรือระดับพื้นที่ นำไปสู่การผลักดันนโยบายเพื่อการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ผ่านมา สสส. ร่วมกับสภาลมหายใจ 8 จังหวัดภาคเหนือ ขับเคลื่อนการแก้ปัญหาวิกฤตฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงค่านิยมในระดับภูมิภาค เช่น ลดการเผาภาคเกษตร จัดทำแนวกันไฟชุมชน พร้อมจัดตั้งศูนย์วิชาการเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ เพื่อพัฒนางานวิชาการที่ตอบโจทย์บริบทของสังคม เพื่อนำองค์ความรู้ที่ได้ไปปรับใช้เป็นแนวทางการทำงานแต่ละพื้นที่ มุ่งผลักดันให้เกิดการมีส่วนร่วมของคนในสังคม ลดปัญหามลพิษอากาศที่ส่งผลกระทบสุขภาพคนในประเทศ https://www.nationtv.tv/news/378847969
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|