เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 14-03-2022
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่ ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นไว้ด้วย สำหรับภาคใต้และอ่าวไทยมีลมตะวันออกพัดปกคลุม ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่างใกล้กับชายฝั่งประเทศมาเลเซีย ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นในระยะนี้


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-38 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-15 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 14 - 15 มี.ค. 65 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อน กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับลมตะวันออกที่พัดปกคลุมภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง มีแนวโน้มเคลื่อนผ่านประเทศมาเลเซียและทะเลอันดามันตอนล่าง ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น

ส่วนในช่วงวันที่ 16 - 19 มี. ค. 65 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังอ่อนจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศเวียดนามตอนบนและทะเลจีนใต้ ส่งผลทำให้ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยและทะเลจีนใต้เข้ามาปกคลุมบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะมีกำลังแรงขึ้น ในขณะที่บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อน ทำให้บริเวณดังกล่าวเกิดพายุฤดูร้อนขึ้น โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ รวมทั้งอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 16 - 19 มี. ค. 65 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง รวมทั้งฟ้าผ่าที่จะเกิดขึ้นได้ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณาและสิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 14-03-2022
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ศวทล.ลงตรวจสอบกรณีเกิดน้ำทะเลเปลี่ยนสี บริเวณชายหาดชลาทัศน์ อ.เมืองสงขลา

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง (ศวทล.) ลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีเกิดน้ำทะเลเปลี่ยนสี บริเวณชายหาดชลาทัศน์ อ.เมืองสงขลา



วานนี้ (12 มี.ค.) ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง ได้รับแจ้งเหตุน้ำทะเลเปลี่ยนสี เจ้าหน้าที่ ศวทล. จึงลงตรวจสอบพื้นที่บริเวณชายหาดชลาทัศน์ อ.เมือง จ.สงขลา จากการสำรวจเบื้องต้นพบพื้นที่มีน้ำทะเลสีเขียวเข้มตลอดแนวชายฝั่งระยะทางประมาณ 2.5 กิโลเมตร และมีกลิ่นเหม็น แต่ไม่พบสัตว์น้ำตาย จึงดำเนินการเก็บตัวอย่างน้ำทะเลเพื่อนำไปวิเคราะห์ปริมาณสารอาหาร และตัวอย่างเพื่อจำแนกชนิด และความหนาแน่นของแพลงก์ตอนพืช ตรวจวัดคุณภาพน้ำทะเลเบื้องต้น มีค่าเฉลี่ยดังนี้ อุณหภูมิ 32.0 องศาเซลเซียส ความเป็นกรด-ด่าง 7.44 ความเค็ม 28 ppt ปริมาณออกซิเจน 4.55 มิลลิกรัมต่อลิตร ตัวอย่างน้ำทะเลวิเคราะห์ปริมาณสารอาหาร ผลการจำแนกชนิด และความหนาแน่นของแพลงก์ตอนพืช อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ




https://mgronline.com/south/detail/9650000024700

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 14-03-2022
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก มติชน


รายงานการศึกษา : ลุยสำรวจ..ทะเลระยอง ส่อง 'ปะการัง' หลังวิกฤตน้ำมันรั่ว



รายงานการศึกษา : ลุยสำรวจ..ทะเลระยอง ส่อง 'ปะการัง' หลังวิกฤตน้ำมันรั่ว
จากเหตุการณ์ "น้ำมันรั่ว" ที่ จ.ระยอง เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ ร่วมกับภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ และศูนย์บริการวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกสำรวจเก็บตัวอย่าง เพื่อดูถึงผลกระทบของคราบน้ำมัน และสารขจัดคราบน้ำมันที่อาจจะมีผลต่อระบบนิเวศทางทะเล และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล โดยทางทีมสำรวจได้เก็บตัวอย่างดินตะกอน น้ำทะเล และสิ่งมีชีวิตทางทะเลชนิดต่างๆ เพื่อศึกษาการสะสมของสารไฮโดรคาร์บอนที่มาจากน้ำมันในตัวอย่างชนิดต่างๆ

จากที่ทีมวิจัยมีประสบการณ์ศึกษาผลกระทบของคราบน้ำมัน และสารขจัดคราบน้ำมันที่มีต่อสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น พบว่า ผลกระทบของคราบน้ำมันที่มีต่อสิ่งมีชีวิตทางทะเล อาจจะไม่เห็นทันทีใน 1-2 สัปดาห์ แต่อาจจะใช้เวลานาน อย่างน้อย 1 ปี จึงจะเห็นผลกระทบอย่างแบบรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นั้นๆ

ศ.ดร.วรณพ วิยกาญจน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาฯ และอาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ระบุว่า หลายครั้งที่เกิดอุบัติเหตุสารเคมีปริมาณมหาศาลปนเปื้อนในทะเล มักจะเห็นการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่ลงลึกในรายละเอียด และรอบด้านเท่าที่ควร โดยเฉพาะปะการังมักถูกประเมินว่าไม่ได้รับผลกระทบ เพราะดูจากภายนอกของปะการังเท่านั้น แท้ที่จริงแล้ว ภายในของปะการังได้รับผลกระทบมาก แต่ผู้คนในสังคมไม่ทราบ เพราะไม่ได้ดูอย่างละเอียด

"ไม่ว่าในน้ำมัน หรือสารขจัดคราบน้ำมัน ล้วนเป็นส่วนผสมของสารเคมีต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และใช้เวลานาน กว่าจะได้เห็นถึงผลเสียที่สะสม และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็ยังส่งผลกระทบต่อบริเวณใกล้เคียง ถึงแม้จะไม่พบคราบน้ำมัน หรือการปนเปื้อนก็ตาม เนื่องจากเป็นน้ำทะเลมวลเเดียวกัน ปะการัง และสิ่งมีชีวิตในบริเวณใกล้เคียง จึงได้รับผลกระทบเช่นกัน" ศ.ดร.วรณพ กล่าว



จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการ พบว่า น้ำมัน หรือคราบน้ำมัน รวมทั้ง สารขจัดคราบน้ำมัน อาจจะทำให้ปะการัง "เป็นหมัน" โดยปะการังไม่สามารถปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ไข่ และสเปิร์มได้ หรือถึงแม้ปะการังจะปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ไข่ และสเปิร์มได้ แต่คราบน้ำมัน และสารขจัดคราบน้ำมัน จะทำให้เซลล์สืบพันธุ์ที่ถูกปล่อยออกมามีรูปร่างที่ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถปฏิสนธิกันได้ จึงทำให้เกิดสถานการณ์ที่เรียกว่า ปะการังเป็นหมันเฉียบพลัน และมีผลกระทบต่อปะการังอย่างมาก เพราะการที่ปะการังจะเพิ่มจำนวนประชากรให้มีความหลากหลายทางพันธุกรรมนั้น จำเป็นต้องมีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ

ซึ่ง ศ.ดร.สุชนา ชวนิชย์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิจัยทรัพยากรทางน้ำ และศูนย์บริการวิชาการ จุฬาฯ เล่าว่า ปะการังเป็นหมันทำให้ไม่สามารถเพิ่มจำนวนประชากรออกลูกออกหลานได้ อาจส่งผลให้ปะการังลดลง และสูญพันธุ์ไปในที่สุด การเป็นหมันชั่วคราวนี้ ถึงแม้สิ่งแวดล้อมจะกลับมาเหมือนเดิม ก็อาจจะใช้เวลาอย่างน้อย 3-5 ปี กว่าปะการังจะกลับมาปล่อยไข่ และสเปิร์มได้เหมือนเดิมบางส่วน แต่ปะการังส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบ ก็ไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้ 100%

"เวลาที่เราดูผลกระทบของคราบน้ำมันที่มีต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล โดยเฉพาะผลกระทบที่มีต่อปะการัง ต้องใช้เวลาติดตามอย่างยาวนาน ไม่ใช่แค่ดูในระยะสั้น และจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องดูถึงผลกระทบต่อการสืบพันธุ์ และการเติบโตของสิ่งมีชีวิตด้วย แม้ว่าปัจจุบันจะมีวิธีฟื้นฟูปะการัง แต่วิธีการส่วนใหญ่ยังมีข้อจำกัด" รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยฯ กล่าว

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์น้ำมันรั่วนี้ เกิดขึ้นในช่วงระหว่างเดือนที่ปะการังกำลังจะปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ คือประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเมษายน ยิ่งทำให้น่าเป็นห่วงว่าอัตราการเป็นหมันของปะการังจะเกิดสูง ทำให้ทีมวิจัยจะต้องติดตามศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด เข้ามาร่วมมือกันป้องกันแก้ไขในระยะยาว เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


https://www.matichon.co.th/education/news_3225504

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 14-03-2022
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก คม ชัด ลึก


ปลัดฯ จตุพร นำคณะตรวจท่าเรืออ่าวมาหยา เตรียมรับนักท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่น

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำคณะตรวจท่าเทียบเรืออ่าวมาหยา เตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่น



วันนี้ (13 มีนาคม 2565) นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายสุพจน์ ภู่รัตนโอภา ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 (นครศรีธรรมราช) และ นายฑีฆาวุฒิ ศรีบุรินทร์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา - หมู่เกาะพีพี ลงพื้นที่ จ.กระบี่ ตรวจติดตามการเปิดให้บริการท่าเทียบเรือบริเวณอ่าวโล๊ะซามะ เกาะพีพีเล ซึ่งเป็นจุดจอดเรือสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้าไปชื่มชมธรรมชาติของอ่าวมาหยา ซึ่งทางอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา ? หมู่เกาะพีพี ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา หลังจากปิดพื้นที่เพื่อให้ทรัพยากรธรรมชาติได้พักฟื้นนานกว่า 3 ปี

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ในการลงพื้นที่ตรวจติดตามความเรียบร้อยของการให้บริการนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาชื่นชมความงามของอ่าวมาหยา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงไฮซีซั่น ของฝั่งทะเลอันดามัน ตามนโยบายเปิดประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวของ จ.กระบี่ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับประชาชนในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง โดยส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด ? 19 อย่างเคร่งครัด



จากการตรวจติดตามจุดให้บริการต่างๆ ของอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา - หมู่เกาะพีพี โดยเฉพาะบริเวณท่าเทียบเรืออ่าวโล๊ะซามะ ซึ่งเป็นจุดจอดเรือสำหรับให้นักท่องเที่ยวขึ้นจากเรือ พบว่ามีความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี มีจุดให้บริการต่างๆ เช่น ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ห้องสุขา ที่เหมาะสม ตามแผนการจัดทำเส้นทางใหม่ในการเข้าชมอ่าวมาหยา ทดแทนการจอดเรือบริเวณหน้าหาด เพื่อลดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ หลังจากที่ได้ปิดมากว่า 3 ปี นอกจากนี้ ต้องขอขอบคุณผู้ประกอบการท่องเที่ยว และนักท่องเที่ยว ที่ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ในการนำเรือมาเทียบส่งและไปจอดรอตามจุดที่กำหนดไว้ ตามมาตรการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว ตามขีดความสามารถในการรองรับของพื้นที่ ที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ไม่เกิน 4,125 คนต่อวัน จึงต้องจัดแบ่งให้เข้าชมเป็นรอบจำนวน 11 รอบต่อวัน ตั้งแต่เวลา 07.00 ? 18.00 น. รอบละ 1 ชั่วโมง แต่ละรอบให้มีนักท่องเที่ยวได้ไม่เกิน 375 คน และสามารถลงเล่นน้ำได้ในระยะไม่เกิน 50 เมตรจากชายฝั่ง

ดังนั้น เพื่อให้การท่องเที่ยวทางธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติเกิดความยั่งยืน สามารถช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับประเทศในช่วงสถานการณ์โควิด ? 19 นี้ได้ จึงขอฝากความร่วมมือไปยัง ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ตลอดจนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ ได้ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามมาตราการต่างๆ ที่อุทยานแห่งชาติแต่ละแห่งได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ตั้งแต่การตรวจคัดกรองนักท่องเที่ยว ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติ โดยการแสดงผลการฉีดวัคซีน หรือผลตรวจ ATK ก่อนเข้าพื้นที่ ซึ่งอุทยานแห่งชาติทุกแห่งทั่วประเทศ ได้ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน SHA และ SHA+ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมถึงการลงทะเบียนล่วงหน้าในการเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ผ่านแอปพลิเคชั่นคิวคิว (QueQ) และไม่ขีดเขียน ทำลาย หรือนำทรัพยากรใด ๆ ออกจากอุทยานแห่งชาติ เพื่อช่วยกันรักษาความสมบูรณ์ของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติให้คงความสวยงามต่อไปได้อย่างยั่งยืน


https://www.komchadluek.net/news/508276

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:38


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger