#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน 2565
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังปานกลางที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนอง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังอ่อน โดยอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมด้านตะวันตกของประเทศไทย ประกอบกับบริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมบริเวณภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังอ่อน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน แต่ยังคงมีอากาศเย็นในตอนเช้าบริเวณภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในระยะนี้ ในขณะที่ลมตะวันตกในระดับบนพัดปกคลุมภาคเหนือ ทำให้ภาคเหนือมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองที่จะเกิดขึ้นไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆเป็นส่วนมาก โดยมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-15 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 6 - 7 เม.ย. 65 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น โดยมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ในขณะที่มีลมฝ่ายตะวันตกในระดับบนพัดปกคลุมภาคเหนือ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง สำหรับลมตะวันออกกำลังปานกลางที่พัดปกคลุมบริเวณอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณ อ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อน โดยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 8 - 12 เม.ย. 65 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ประกอบกับมีลมตะวันออกเฉียงใต้และลมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมบริเวณดังกล่าว ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีฝนเพิ่มขึ้น โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนลมตะวันออกที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ยังคงมีกำลังอ่อน ทำให้ภาคใต้มีฝนลดลง ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 6 - 7 เม.ย. 65 ประชาชนบริเวณภาคใต้ควรระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากที่จะเกิดขึ้น ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
แอฟริกาใต้ช็อก พบวันเดียว 2 ศพ โดนฉลามขาวกัดตายกลางทะเล (ภาพประกอบ) พบร่างชาย 2 ศพคาดถูกฉลามขาวกัดตายกลางทะเลที่เมืองตากอากาศชื่อดังในแอฟริกาใต้ ศพแรกโดนคลื่นซัดมาเกยชายหาด ส่วนอีกร่างโดนคลื่นซัดกลับไปกลางทะเล เมื่อ 6 เม.ย.65 เว็บไซต์เมโทร รายงานเกิดเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนขวัญ พบร่างของชายสองศพซึ่งคาดว่าถูกฉลามขาวตัวใหญ่กัดจนเสียชีวิตกลางทะเลในแอฟริกาใต้ โดยร่างของชายคนแรก ซึ่งอยู่ในสภาพแขนขวาและหน้าอกด้านขวาหายไป ได้ถูกคลื่นซัดมาเกยชายหาดลูเซีย ในเมืองตากอากาศเดอร์บัน ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และหลังจากนั้น เพียงไม่นาน ได้มีคนเห็นร่างชายคนที่ 2 ก่อนที่ร่างนั้นจะถูกคลื่นซัดพัดพาจนหายไปในกลางทะเล ศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินในแอฟริกา 'Netcare 911' แถลงว่าดูเหมือนชายทั้งสองรายที่เสียชีวิตถูกฉลามทำร้าย หลังจากมีคนที่เดินเล่นริมชายหาดได้เห็นร่างของชายคนหนึ่งบริเวณริมชายหาด และเมื่อแพทย์ได้ทำการตรวจสอบ พบว่าแขนขวา และหน้าอกด้านขวาของเขาได้หายไป ในขณะที่บาดแผลมีร่องรอยถูกฉลามกัดอย่างชัดเจน และหลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้มีคนเห็นร่างของผู้ชายคนที่สองแต่คลื่นได้ซัดร่างนั้น กลับไปยังท้องทะเล ก่อนที่หน่วยยามฝั่งจะมาถึง ทั้งนี้ ข่าวสะเทือนใจครั้งนี้ที่มีชายถึง 2 รายตกเป็นเหยื่อของฉลามขาวในแอฟริกาใต้ หลังจากเพิ่งเกิดเหตุเศร้าสลด นักท่องเที่ยวคนหนึ่งถูกฉลามเสือกัดที่เกาะแห่งหนึ่งในทะเลแคริบเบียน เมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา https://www.thairath.co.th/news/foreign/2361625 ********************************************************************************************************************************************************* กำจัดไมโครพลาสติก โดยใช้ "กระเจี๊ยบเขียว" ไมโครพลาสติก (microplastics) คืออนุภาคพลาสติกที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร มาจากการย่อยสลายหรือแตกหักจากขยะพลาสติกชิ้นใหญ่ กำลังเป็นปัญหาเรื้อรังของโลก บรรดาอนุภาคไมโครพลาสติกเดินทางไปแทบจะทุกพื้นที่ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ เข้าสู่วงจรชีวิต เช่น ปลาที่ได้รับอนุภาคพลาสติกเข้าไปก็จะมีอันตราย เช่น ถูกรบกวนระบบสืบพันธุ์ไปจนถึงการเจริญเติบโตที่ปลาอาจแคระแกร็น ตับถูกทำลาย นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากพยายามคิดหาวิธีจัดการกับไมโครพลาสติกมาอย่างต่อเนื่อง และก็พบวิธีการหลากหลาย ล่าสุดทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยทาร์ลตัน ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ได้ค้นพบวิธีหนึ่งที่น่าสนใจก็คือการกำจัดไมโครพลาสติกโดยใช้สารสกัดจากพืช เป็นทางเลือกแทนสารเคมีสังเคราะห์ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพได้ นักวิจัยมองไปที่สารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียวและพืชมีเมือกอื่นๆ เช่น ว่านหางจระเข้ กระบองเพชร ลูกซัด (fenugreek) มะขาม เทียนเกล็ดหอย ว่าจะสามารถช่วยกำจัดไมโครพลาสติกที่เป็น อันตรายออกจากน้ำเสียได้หรือไม่ ทีมจึงทดสอบ "กระเจี๊ยบเขียว" (okra) โดยตรวจสอบที่กลุ่มของคาร์โบไฮเดรต อย่าง โพลีแซ็กคาไรด์ (poly saccharides) จากพืชแต่ละชนิด แล้วก็พบว่าโพลีแซ็กคาไรด์จากกระเจี๊ยบเขียวที่จับคู่กับลูกซัด สามารถกำจัดไมโครพลาสติกออกจากน้ำทะเลได้ดีที่สุด ในขณะที่โพลีแซ็กคาไรด์จากกระเจี๊ยบเขียวที่จับคู่กับมะขามจะทำงานได้ดีที่สุดในตัวอย่างน้ำจืด นักวิจัยจึงคาดหวังว่ากระบวนการทดลองนี้จะขยายขนาดไปในเชิงพาณิชย์ ช่วยให้สามารถเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาดและปลอดภัยยิ่งขึ้นในอนาคต. https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2360620
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|