#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 8 เมษายน 2565
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ประกอบกับมีลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมประเทศไทย ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอากาศเย็นในตอนเช้า ในขณะที่ลมตะวันตกในระดับบนพัดปกคลุมภาคเหนือ ทำให้ภาคเหนือมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในระยะนี้ ส่วนภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนอง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆเป็นส่วนมาก โดยมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 36-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-15 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 7 - 8 เม.ย. 65 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ประกอบกับบริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังอ่อน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน แต่ยังคงมีอากาศเย็นในตอนเช้าในภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในขณะที่มีลมฝ่ายตะวันตกในระดับบนพัดปกคลุมภาคเหนือ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังปานกลางที่พัดปกคลุมบริเวณอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณตอนล่างของภาค ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อน โดยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 9 - 13 เม.ย. 65 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น โดยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ในขณะที่มีลมฝ่ายตะวันตกในระดับบนพัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวจะมีฝนเพิ่มขึ้น โดยมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ส่วนลมตะวันออกที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อน ทำให้ภาคใต้มีฝนลดลง ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
คนรักทะเล เฮ! กฎกระทรวงคุ้มครอง "เกาะโลซิน" ปัตตานี จ่อมีผล 28 ก.ค.นี้ คนรักทะเล เฮ! กฎกระทรวงคุ้มครองเกาะโลซิน อำเภอปะนาเระ จ.ปัตตานี เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 2565 มีผล 28 ก.ค.นี้ "วราวุธ" ย้ำ จิตสำนึกประชาชน ร่วมรักษาทรัพยากรธรรมชาติ อย่างยั่งยืน วันที่ 7 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเมื่อ วันที่ 31 มี.ค. 2565 ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศกฎกระทรวง กำหนดให้บริเวณเกาะโลซิน ตำบลบ้านน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2565 โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 28 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เผยถึงความสำคัญและความจำเป็นในการประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเล พร้อมยกบทเรียนที่ต้องสูญเสียปะการังในพื้นที่เกาะโลซิน และวอนทุกฝ่ายช่วยกันดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้คงความยั่งยืน ด้านกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ย้ำข้อห้ามในพื้นที่ที่ประกาศ และบทลงโทษหากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นายวราวุธ กล่าวต่อว่า ตนในฐานะนักดำน้ำและผู้บริหารที่ให้ความสำคัญและเดินหน้าป้องกันและรักษาทรัพยากรปะการังของไทยมาโดยตลอด ครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่ตนได้พยายามเร่งรัด ผลักดัน ให้ประกาศกฎกระทรวงเพื่อคุ้มครองแนวปะการังบริเวณรอบเกาะโลซิน โดยได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ซึ่งมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบกฎกระทรวง กำหนดให้บริเวณเกาะโลซิน ตำบลบ้านน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2565 และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2565 โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 28 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป ซึ่งพื้นที่บริเวณเกาะโลซินเป็นพื้นที่ที่ความสำคัญและเปราะบางมาก อย่างช่วงกลางปี 2564 เราได้มีบทเรียนกรณีพบอวนประมงขนาดยักษ์ ติดบริเวณแนวปะการังที่เกาะโลซิน รวมน้ำหนักอวนกว่า 800 กิโลกรัม ปกคลุมแนวปะการังกว่า 2,750 ตารางเมตร สร้างความเสียหายรุนแรงกว่า 550 ตารางเมตร จนเกิดปะการังฟอกขาว ปะการังซีดจางบางส่วน เหตุการณ์เหล่านี้ ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกไม่ว่า จะเป็นที่เกาะโลซิน หรือพื้นที่อื่น ๆ ก็ตาม พื้นที่เกาะโลซิน นับเป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลแห่งที่ 2 ต่อจากพื้นที่เกาะกระ จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ประกาศไปแล้วตั้งแต่ปี 2564 อย่างไรก็ตาม ตนได้เร่งรัดกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้ดำเนินการประกาศพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลที่สำคัญแห่งอื่นๆ โดยเร็ว อีกทั้ง ได้ฝากให้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำกับการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด และต้องผ่านความเห็นชอบจากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้วย ทั้งนี้ ตนอยากจะฝากบอกพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยวว่า "มาตรการทางกฎหมาย เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่ง ในการกำกับและบังคับใช้เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ในช่วงระยะเวลาที่กำหนด แต่จิตสำนึกและความร่วมมือของทุกคน คือ หัวใจสำคัญและเป็นหนทางที่จะทำให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคงอยู่อย่างสมดุลและยั่งยืน ต่อไป ตราบใดที่เรายังขาดจิตสำนึกไม่ว่าเราจะมีกฎหมายที่มีบทลงโทษรุนแรงแค่ไหน หรือมีเครื่องไม้เครื่องมือในการตรวจกำกับที่ดีเพียงใด ก็จะไม่สามารถรักษาทรัพยากรของชาติ ให้สมบูรณ์ยั่งยืนได้ ตลอดไป" นายวราวุธ กล่าว ด้านนายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวเสริมว่า พื้นที่โดยรอบเกาะโลซิน พบปะการัง หลากหลายชนิด ทั้งปะการังแข็ง ปะการังอ่อนและกัลปังหา เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของฉลามวาฬ รวมทั้งปลาน้อยใหญ่ อีกกว่า 116 ชนิด และหอยกว่า 54 ชนิด อย่างไรก็ตาม ตามกฎกระทรวงดังกล่าว ได้กำหนดบริเวณพื้นที่บังคับไว้ 2 บริเวณ โดยมีกิจกรรมที่ห้ามดำเนินการที่แตกต่างกัน ดังนี้ บริเวณที่ 1 บริเวณแผ่นดินบนเกาะโลซินและพื้นที่ทะเลรอบเกาะเนื้อที่ประมาณ 1 ตารางกิโลเมตร ระยะทางห่างรอบเกาะจากฝั่งประมาณ 500 เมตร ห้ามก่อมลพิษ ห้ามกระทำความเสียหายต่อปะการัง สัตว์น้ำ ซากปะการัง กัลปังหา ห้ามทอดสมอเรือ ห้ามประกอบการประมง ห้ามก่อสร้าง ห้ามนำสัตว์หรือพืชจากที่อื่นเข้าไปในบริเวณ และห้ามขุดเจาะและทำเหมืองแร่ เป็นต้น "สำหรับบริเวณที่ 2 เป็นพื้นที่ในทะเล ห่างจากเกาะประมาณ 6 กิโลเมตร เนื้อที่รวมประมาณ 143 ตารางกิโลเมตร ห้ามก่อมลพิษ ห้ามกระทำการที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อแนวปะการัง สัตว์ทะเล และซากปะการัง ห้ามขุดเจาะและทำเหมืองแร่ ห้ามถมทะเลและขุดลอกร่องน้ำ และทำประมงยกเว้นการใช้เบ็ดมือ อย่างไรก็ตาม สำหรับกิจกรรมอื่น เช่น การดำน้ำ และการท่องเที่ยว กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จะได้กำหนดแนวทางและมาตรการ รวมถึง แผนการบริหารจัดการในพื้นที่ ต่อไป และจะได้ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนชายฝั่ง เพื่อร่วมดำเนินการตามมาตรการที่ได้บังคับด้วย ทั้งนี้ ได้กำหนดบทลงโทษหากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตาม กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จะได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยวทราบโดยทั่วกัน ต่อไป นายโสภณ กล่าว https://www.thairath.co.th/news/local/south/2362675
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|