#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 16 เมษายน 2565
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนหลายพื้นที่และมีอากาศร้อนจัดบางแห่งกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ในขณะที่มีลมตะวันออกเฉียงใต้ และมีลมใต้พัดปกคลุมบริเวณดังกล่าว ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นไว้ด้วย สำหรับลมตะวันตกที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังอ่อน ทำให้ภาคใต้มีฝนน้อยในระยะนี้ อนึ่ง บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางได้แผ่ลงมาปกคลุมถึงประเทศเวียดนามตอนบน ลาวตอนบน และทะเลจีนใต้แล้ว คาดว่าจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือในวันนี้ (16 เม.ย. 65) ในขณะที่ประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น ในช่วงวันที่ 16-18 เมษายน 2565 โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และมีลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยจะเริ่มได้รับผลกระทบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ตอนบน จะได้รับผลกระทบในระยะถัดไป กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 27-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-39 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-15 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 16 - 19 เม.ย. 65 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยจะเริ่มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ส่วนภาคอื่นๆจะได้รับผลกระทบในระยะถัดไป สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 20 - 21 เม.ย. 65 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อนลง ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 16 - 19 เม.ย. 65 ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ซากฟอสซิลอิกทิโอซอรัสที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในเยอรมนี (ภาพประกอบ Credit : Lene L Delsett) อิกทิโอซอรัส (ichthyosaurus) แปลว่า "กิ้งก่าปลา" ในภาษากรีกโบราณ เป็นสัตว์เลื้อยคลานทางทะเลขนาดใหญ่ในวงศ์อิกทิโอซอร์ (Ichthyosaur) อยู่ร่วมยุคไดโนเสาร์เมื่อ 251?65.5 ล้านปีก่อนและสูญพันธุ์ไปแล้ว ซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิลของพวกมันถูกพบทั่วโลก มีชื่อเสียงว่ารูปร่างเหมือนปลาซึ่งคล้ายโลมาในปัจจุบัน ล่าสุดมีทีมวิจัยนานาชาติได้อธิบายตัวอย่างของซากฟอสซิลอิกทิโอซอรัส 2 ตัวอย่างที่เป็นสมบัติในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติฌูว์ราในเยอรมนี ซากตัวอย่างแรกอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ในขณะที่อีกซากตัวอย่างคือส่วนของหาง ซากตัวอย่างเหล่านี้มีอายุประมาณ 150 ล้านปี ฟอสซิลของอิกทิโอซอรัส 2 ตัวอย่างนี้ได้มาจากพื้นที่โซล์นโฮเฟนทางตอนใต้ของเยอรมนี พื้นที่แห่งนี้มีชื่อเสียงด้านการค้นพบซากฟอสซิลจากยุคจูราสสิกตอนปลาย เช่น อาร์คีออปเทอริกซ์ (Archaeopteryx) จัดอยู่ในสกุลไดโนเสาร์สายพันธุ์เทอโรพอด โดยมีชีวิตอยู่เมื่อ 150 ปีที่แล้ว รวมถึงสัตว์อื่นๆอีกจำนวนมาก และฟอสซิลส่วนใหญ่ในพื้นที่แห่งนี้มักถูกเก็บรักษาไว้ด้วยเนื้อเยื่ออ่อน นอกเหนือไปจากโครงกระดูกและฟัน ซึ่งหาได้ยากในหลักฐานซากฟอสซิล การศึกษาฟอสซิลพบว่า อิกทิโอซอรัสตัวที่สมบูรณ์มีโครงกระดูกภายในและโครงร่างของเนื้อเยื่ออ่อนรอบๆร่างกายที่เก็บรักษาไว้อย่างสมบูรณ์ ขณะที่อีกตัวอย่างเป็นครีบหางที่สมบูรณ์ ซึ่งเก็บรักษาไว้ด้วยกระดูกสันหลังส่วนหางและเนื้อเยื่ออ่อนรอบๆ การค้นพบนี้ยืนยันว่าอิกทิโอซอรัสในกลุ่มนี้มีหางรูปวงพระจันทร์เช่นเดียวกับบรรพบุรุษของพวกมัน ที่น่าแปลกคืออิกทิโอซอรัสเป็นสัตว์ในทะเลเปิด แต่ที่โซล์นโฮเฟนในเวลานั้นค่อนข้างตื้น และมีเกาะมากมาย จึงสงสัยว่าอิกทิโอซอรัสเข้าไปได้อย่างไร จากการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆวิเคราะห์ นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าฟอสเฟตที่พบในเนื้อเยื่อของอิกทิโอซอรัสน่าจะมีส่วนช่วยในการถนอมรักษาซากของสัตว์ชนิดนี้ไว้. https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2367840
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก มติชน
?โลกร้อน? ใกล้สุดทาง ?ไอพีซีซี? ชี้หายนะ วันที่ 15 เมษายน 2565 - 07:29 น. FacebookTwitterLINECopy Link 'โลกร้อน' ใกล้สุดทาง 'ไอพีซีซี' ชี้หายนะ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือไอพีซีซี (IPCC: The Intergovernmental Panel on Climate Change) ขององค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น เพิ่งเผยแพร่รายงานเรื่อง "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศปี 2021: ข้อมูลพื้นฐานวิทยาศาสตร์ที่เป็นรูปธรรม" ในส่วนที่ 3 หลังจากมีการเปิดเผยรายงาน 2 ส่วนแรกไปเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2021 และเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2022 ที่ผ่านมา รายงานฉบับนี้มีความยาวรวม 10,000 หน้า นับเป็นการประเมินภาวะโลกร้อนที่ครอบคลุมมากที่สุดในโลกที่ไอพีซีซีทำมาเป็นครั้งที่ 6 แล้วนับตั้งแต่ปี 1990 และครั้งนี้นับเป็นการส่งสัญญาณอันตรายที่เป็นจริงเป็นจังมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ไอพีซีซี เป็นองค์กรที่มีนักวิทยาศาสตร์หลายร้อยคนจากทั่วโลกร่วมกันประเมินการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และเป็นการส่งคำเตือนให้มนุษยชาติหลีกเลี่ยงหายนะที่จะเกิดขึ้นจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นในอนาคต รายงานใน "ส่วนแรก" ไอพีซีซีออกมาเตือนว่า เวลานี้โลกมี "สัญญาณอันตราย" ที่โลกจะร้อนเกินกว่าที่จะควบคุมได้ ก่อนที่ "ส่วนที่ 2" จะชี้ให้เห็นว่า โลกที่ร้อนขึ้นอาจส่งผลให้อารยธรรมมนุษย์ล่มสลายแบบไม่อาจหวนคืนกลับ และรายงาน "ส่วนที่ 3" นี้ ที่มีจำนวน 2,800 หน้า เป็นการบอกวิธีการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้โลกใบนี้ "สามารถอยู่อาศัยได้" ในอนาคต และเน้นย้ำว่าต้อง "เริ่มทำทันที" เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะ รายงานฉบับนี้ของยูเอ็นยังเป็นรายงานอีกฉบับที่ตบหน้าบรรดาผู้นำประเทศและผู้นำธุรกิจ ที่เคยให้คำมั่นไว้อย่างตรงไปตรงมาด้วยเช่นกัน "ผู้นำรัฐบาลและผู้นำธุรกิจบางคนกำลังพูดอย่างทำอย่าง พูดง่ายๆ พวกเขากำลังโกหก และผลจากการกระทำนั้นคือหายนะใหญ่" อันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการยูเอ็น ระบุ ปัจจุบัน พื้นผิวโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นกว่ายุคมิดเซนจูรี (mid-century) หรือยุคก่อนอุตสาหกรรม มาแล้ว 1.1 องศาเซลเซียส และโลกก็ตั้งเป้าที่จะจำกัดอุณหภูมิโลกไม่สูงเกินกว่า 2 องศา หรือหากเป็นไปได้ไม่เกิน 1.5 องศา ภายใต้ข้อตกลงปารีสในปี 2015 ที่ผ่านมา และแน่นอนว่า รายงาน "ส่วนที่ 3" ของไอพีซีซี ก็ได้ประเมินสถานะของโลกใบนี้ในปัจจุบันที่เป็นสัญญาณเตือนเอาไว้ และก็บอกวิธีที่จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จเอาไว้ด้วยเช่นกัน ไอพีซีซีระบุว่า เวลานี้หากโลกไม่สามารถจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้มากกว่าที่แต่ละประเทศประกาศเอาไว้ภายในปี 2030 นั่นหมายความว่า เป้าหมายไม่เกิน 1.5 องศา เหนือยุคมิดเซนจูรีนั้น จะไม่สามารถเป็นไปได้แล้ว นโยบายตัดลดการปล่อยคาร์บอนได ออกไซด์ของแต่ละประเทศในปัจจุบันจะสามารถลดการปล่อยก๊าซได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นภายในปี 2050 และโลกจะร้อนขึ้นถึงระดับ 3.2 องศา เหนือยุคมิดเซนจูรี ในปี 2100 แม้แต่เป้าหมายไม่เกิน 2 องศาเองยังคงมีความยากลำบาก เนื่องจากโลกจำเป็นต้องลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในแต่ละปีลงถึง 1,500 ล้านตันทุกๆ ปี ตั้งแต่ปี 2030 ถึง 2050 หรือเท่าๆ กับปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดลงในปี 2020 ปีที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ต้องล็อกดาวน์ และส่งผลให้เศรษฐกิจชะงักงัน แบบนั้นทุกๆ ปี ไอพีซีซีแนะแนวทางในการไปสู่เป้าหมายเอาไว้ด้วย ก็คือการหาพลังงานทดแทนพลังงานจากฟอสซิลมาใช้ โดยไอพีซีซีระบุว่า หากโครงสร้างพื้นฐานในการผลิตน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน ไม่มีการดักจับก๊าซเรือนกระจกที่จะปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศ การควบคุมอุณหภูมิโลกให้ไม่เกิน 1.5 องศา จะเป็นไปไม่ได้เลย นอกจากนี้ยังระบุว่า หากจะจำกัดไม่ให้โลกอุณหภูมิสูงกว่าช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เกิน 2 องศาแล้วล่ะก็ โลกจะต้องไม่ใช้น้ำมันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์ ก๊าซสำรอง 50 เปอร์เซ็นต์ และถ่านหินสำรอง 80 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนไดออกไซด์แล้วก็ตาม และระบุด้วยว่าการยุติการอุดหนุนพลังงานฟอสซิลของรัฐบาลทั่วโลกจะสามารถลดการปล่อยก๊าซได้มากถึง 10 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2030 ไอพีซีซีระบุอีกแนวทางเอาไว้ด้วย นั่นก็คือการ "เปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด" โดยระบุว่า โลกจะต้องเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็น "ศูนย์" หรือ "เน็ตซีโร่" ให้ได้ภายในปี 2050 โดยจะต้องหันไปใช้ พลังงานไฟฟ้า และพลังงานไร้มลพิษอื่นๆ เพื่อให้เป้าหมายตามข้อตกลงปารีสยังมีความหวัง แม้ปัจจุบันโลกจะเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น เช่น พลังงานลมที่เพิ่มขึ้น 70 เปอร์เซ็นต์ และพลังงานแสงอาทิตย์ที่เพิ่มขึ้น 170 เปอร์เซ็นต์ ระหว่างปี 2015-2019 แต่พลังงานทั้งสองส่วนก็คิดเป็นเพียง 8 เปอร์เซ็นต์ จากการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในปี 2019 เท่านั้น ขณะที่ไฟฟ้าที่ผลิตจากเทคโนโลยีที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ หรืออยู่ในระดับต่ำอย่างเช่น พลังงานน้ำ หรือนิวเคลียร์นั้น ผลิตไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วนราว 37 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนที่เหลือนั้นเป็นไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานฟอสซิลที่สร้างก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด ไอพีซีซีระบุด้วยว่า มีวิธีลดความต้องการพลังงานลงจากฝั่งผู้บริโภคได้ด้วย เช่น การกินอาหารจากพืชเป็นหลัก การใช้รถยนต์ไฟฟ้า การคมนาคมโดยไม่ใช้รถยนต์ การสื่อสารทางไกล การสร้างอาคารที่ทนต่อสภาพอากาศ ลดเที่ยวบินระยะไกล รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ 40-70 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2050 นอกจากนี้ยังรวมไปถึงวิธีการแบบกำปั้นทุบดินแต่เป็นไปได้จริง ก็คือการดูดคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกป่า หรือการใช้เครื่องมือทางเคมีในการแยกคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ ที่จำเป็นต้องใช้เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมาย "เน็ตซีโร่" และ "ลดอุณหภูมิโลก" ลงได้ แน่นอนว่าการจะไปถึงเป้าหมายด้วยวิธีต่างๆ เหล่านี้ ย่อมต้องใช้งบประมาณสูง โดยไอพีซีซีระบุว่า การจะหยุดอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศา ตามเป้าหมายนั้นจำเป็นต้องลงทุนในอุตสาหกรรมไฟฟ้าสูงถึง 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 76 ล้านล้านบาทต่อปี ระหว่างปี 2023-2052 แต่หากเป้าหมายอยู่ที่ 2 องศา งบประมาณจะลดลงมาอยู่ที่ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 56.9 ล้านล้านบาทต่อปี เทียบกับงบประมาณที่โลกลงทุนกับพลังงานสะอาดในปี 2021 ที่ผ่านมา ที่ 750,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว ยังคงห่างเป้าหมายอีกไกลมากๆ เลยทีเดียว นั่นเป็นเพียงตัวอย่างแนวทางอย่างเป็นรูปธรรมที่ไอพีซีซีบอกให้โลกได้รู้ เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะที่จะเกิดขึ้น และแน่นอนว่าหายนะดังกล่าว ไอพีซีซีเคยเตือนมาแล้วในรายงาน 2 ส่วนก่อนหน้านี้ เช่น น้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกละลายจนหมดสิ้นอย่างน้อย 1 ครั้งในฤดูร้อน อัตราน้ำช่วยชายฝั่งเพิ่มขึ้น 2 เท่า คลื่นความร้อนจัดที่ปกติเกิดขึ้นทุก 50 ปี จะเกิดขึ้นทุก 10 ปี พายุหมุนเขตร้อนจะรุนแรงมากขึ้น ฝนและหิมะตกมากขึ้นในช่วง 1 ภาวะแห้งแล้งจะเกิดบ่อยขึ้นกว่าเดิม 1.7 เท่า และฤดูกาลไฟป่าจะยาวนานและรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แน่นอนว่าแนวทางเหล่านี้ที่ไอพีซีซีให้คำแนะนำ นอกจากจะไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ แล้ว ยังจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกๆ ประเทศทั่วโลกด้วย เวลานี้คงได้แต่หวังว่า รายงานฉบับนี้จะสามารถกระตุ้นเตือนให้โลกหันมาร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากที่สุด เพื่อให้โลกยังสามารถ "อยู่อาศัยได้" สำหรับลูกหลานในอนาคต https://www.matichon.co.th/article/news_3289925
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|