#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ ที่ 12 กันยายน 2565
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออก เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนใต้ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันออก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มในระยะนี้ไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 12 - 13 ก.ย. 65 ร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนใต้ ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ สำหรับบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 17 ก.ย. 65 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศลาว และเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทย ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสมที่จะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก สำหรับในช่วงวันที่ 14 - 17 ก.ย. 65 ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
จับเรือเวียดนามรุกน่านน้ำ ดันเกิดไฟไหม้ จนท.ไทยติดอยู่ รุดช่วยระทึก "เรือหลวงศรีราชา" จับกุมเรือประมงเวียดนาม 1 ลำ รุกน่านน้ำ-รวบลูกเรือ 5 คน ส่งเจ้าหน้าที่ไทย 3 นาย ไว้ตรวจเรือ จากนั้นแล่นต่อไปจับเรืออีกลำที่ยังหลบหนี แต่ดันเกิดไฟไหม้กับเรือเวียดนามลำแรก จึงรีบหันหัวเรือกลับรุดมาช่วยชีวิต จนท.ทั้ง 3 เมื่อวันที่ 11 ก.ย.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เรือหลวงศรีราชา ซึ่งมี นาวาตรี ภูมิธรรม จุนเจือจาน ผู้บังคับการเรือหลวงศรีราชา ออกปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนตามเส้นทาง จ.นราธิวาส-เกาะโลซิน-จ.สงขลา เมื่อช่วงเวลา 08.00 น.วันนี้ (11 ก.ย.) และพบเรือประมงต่างชาติต้องสงสัย จำนวน 2 ลำ มีทิศทางวิ่งห่างออกจากกัน จึงได้ทำการติดตาม จนเรือดังกล่าวยอมมอบตัวและให้เข้าจับกุมจำนวน 1 ลำ ส่วนอีกลำยังหลบหนีอยู่ จากนั้น เจ้าหน้าที่จึงนำตัวลูกเรือทั้งหมด 5 คน ขึ้นจากเรือและส่งชุดตรวจค้น จำนวน 3 นาย ลงไปตรวจสอบภายเรือดังกล่าว และทดลองข่ายวิทยุมดดำ จนสามารถติดต่อประสานงานกันได้ โดยจากการตรวจสอบพบว่าเป็นเรือสัญชาติเวียดนาม จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงทำการไล่ติดตามเรืออีกลำ แต่ภายเดินเรือไปได้ไม่นานนัก เจ้าหน้าที่บนเรือก็ได้รับแจ้งจากชุดตรวจค้นบนเรือประมงเวียดนามว่า พบควันสีขาวออกมาจากเครื่องจักรใหญ่ภายในห้องเครื่อง และเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นในเวลาต่อมา จากนั้น เรือหลวงศรีราชาจึงตัดสินใจกลับเข้าไปช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 นาย ที่ยังติดอยู่บนเรือประมงเวียดนามลำแรก โดยนำเรือยางออกไปรับกลับขึ้นมาบนเรือได้อย่างปลอดภัย แต่เนื่องจากในเรือประมงเวียดนามมีถังแก๊สอยู่ในเรือ 3 ถัง รวมทั้งถังน้ำมันด้วย เรือหลวงศรีราชาจึงไม่กล้าเสี่ยงที่จะนำเรือเข้าไปใกล้ๆ ขณะที่ไฟกำลังลุกไหม้ เพราะกลัวว่าถังแก๊สอาจจะระเบิด และสร้างความเสียหายให้กับเรือหลวงศรีราชา จนเวลาผ่านไปกระทั่งเวลา 11.40 น. เรือประมงเวียดนามที่ถูกไฟไหม้ ก็ค่อยๆจมลงสู่ก้นทะเลในที่สุด ต่อมา พล.ร.ท.สุนทร คำคล้าย ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 ได้สั่งการให้เรือหลวงศรีราชา ทัพเรือภาคที่ 2 ควบคุมลูกเรือทั้งหมดกลับเข้าฝั่ง และเข้าเทียบท่าที่ท่าเทียบเรือฐานทัพเรือสงขลา ทัพเรือภาคที่ 2 เมื่อเวลา 18.00 น.ได้อย่างปลอดภัย ส่วนลูกเรือประมงเวียดนามทั้ง 5 คนนั้น เจ้าหน้าได้นำตัว ส่งให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสงขลา ดำเนินคดีใน 3 ข้อหาคือ "ใช้เรือประมงไร้สัญชาติทำการประมงในเขตการประมงไทย, และร่วมกันทำการประมงพาณิชย์โดยไม่มีใบรับอนุญาตทำการประมงและทำการประมงในเขตการประมงไทยโดยทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมเรือโดยไม่ได้รับอนุญาต" ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสถิติการจับกุมเรือประมงต่างชาติ โดยเฉพาะเรือเวียดนามในพื้นที่ทัพเรือภาคที่ 2 ในปี 2565 ครั้งนี้เป็นการจับกุมครั้งที่ 16 รวมเรือทั้งหมด 22 ลำ จับผู้ควบคุมเรือพร้อมลูกเรือรวม จำนวน 104 คน https://www.thairath.co.th/news/local/south/2497686
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
น่าเศร้า! พบ "ลูกเต่าทะเล" นับ 20 ตัว เกยตื้นมาพร้อมขยะ ที่หาดบ้านอำเภอ กรม ทช. เผยภาพของกองขยะทะเลจำนวนมากที่ลอยมากองอยู่บริเวณหาดบ้านอำเภอ จ.ชลบุรี หลังเข้าสำรวจได้พบ "ลูกเต่าทะเล" จำนวนนับ 20 ตัว และคาดว่าจะมีอีก จึงเร่งเข้าค้นหาและเตรียมอนุบาลลูกเต่าต่อไป เฟซบุ๊กเพจกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เผยภาพกองขยะเกยตื้นที่ลอยมาเข้าฝั่ง พร้อมมีลูกเต่าทะเลติดมาด้วยจำนวนมาก พร้อมข้อความว่า วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๕ กรม ทช. โดยสำนักงาน ทช.ที่๒ (ชลบุรี) ตรวจสอบพบขยะจำนวนมากถูกคลื่นลมพัดขึ้นเกยตลอดแนวชายหาดบ้านอำเภอ ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ระยะทางประมาณ ๗๐๐ เมตร จึงร่วมกับเทศบาลตำบลนาจอมเทียน จัดเก็บขยะออกจากพื้นที่ เมื่อตรวจสอบพบลูกเต่ากระและเต่าตนุ อายุประมาณ ๑ เดือน ติดมากับขยะจำนวนมาก จึงเร่งค้นหาโดยรอบพื้นที่เพื่อช่วยชีวิตเต่าที่อาจมีหลงเหลืออีก ผลการตรวจสอบเบื้องต้นสามารถช่วยชีวิตเต่าได้ประมาณ ๒๐ ตัว และยังเร่งค้นหาต่อไป คาดว่ายังมีเต่าจำนวนมากที่ยังติดค้างอยู่ในกองขยะดังกล่าว ทั้งนี้ได้ประสานศูนย์วิจัย ทช. อ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันออก เพื่อตรวจสอบพื้นที่ ค้นหา และนำลูกเต่าไปอนุบาลต่อไป https://mgronline.com/travel/detail/9650000087183
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
รู้จัก "ปลิงทะเล" เทศบาลใต้ทะเลที่กำลังหายไป "ศักดิ์อนันต์ " อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ ชี้ "ปลิงทะเล" น่าห่วงประชากรลด 50% ถูกคุกคามจากการจับกิน ส่งขายต่างประเทศ ทำอาหารและยา อนาคตกระทบวงจรทำความสะอาดใต้ทะเลระบบนิเวศพัง กรณีกองทัพเรือ จับเรือประมงสัญชาติเวียดนาม เข้ามาคราดปลิง ทะเลในเขตน่านน้ำไทย แถวพื้นที่ จ.สงขลา ภายในเรือมีลูกเรือ 5 คน และถังขนาดใหญ่หลายใบ มีปลิงทะเลอัดแน่นทั้งแบบแช่น้ำ และแบบใส่เกลือ ไทยพีบีเอสออนไลน์ สัมภาษณ์นายศักดิ์อนันต์ ปลาทอง อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ว่า ปลิงทะเล เป็นสัตว์น้ำที่ยังไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ทำให้ชาวประมงยังจับปลิงทะเลได้โดยไม่มีความผิด ยกเว้นไปจับในเขตอนุรักษ์ รวมทั้งกรณีที่เรือประมงจากประเทศอื่นเข้ามาจับในน่านไทย "ปลิงทะเลมีความสำคัญต่อระบบนิเวศ เพราะทำหน้าที่เป็นเทศบาลประจำท้องทะเล" ศักดิ์อนันต์ ขยายความต่อว่า ปลิงทะเล จะกินแพลงก์ตอน ตะกอนดิน เศษซากสารอินทรี ในแนวปะการัง ถ้าไม่มีปลิงมาคอยกำจัด จะเป็นแหล่งแบคทีเรีย ทำให้คุณภาพน้ำเสื่อมโทรมลง ซึ่งสังเกตว่าตะกอนดินที่เคยขาวเป็นทราย จะมีสภาพเป็นตะกอนดินสีดำ หรือแนวปะการังก็จะเสื่อมโทรมลง "ถ้านำปลิงออกไปเยอะ จะทำให้วงจรความสะอาดในระบบนิเวศทางทะเลเสียหาย" ประชากรลด 50% บางแห่งเจอตัวน้อยลง นักวิชาการ บอกว่า ตัวอย่างที่พบการลดลงของปลิงทะเลชัดเจนที่สุด คือแถวหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา เมื่อ 20-30 ปีก่อน ถ้าไปถึงหน้าหาด แค่มองลงไปผิวน้ำทะเล จะเห็นปลิงขาว ปลิงดำตัวใหญ่ๆ เยอะมากเต็มพื้นทราย แต่ตอนนี้ถือว่าน้อยลงกว่า 50% รวมทั้ง จ.สตูล ที่มีธุรกิจจับปลิงทะเลมาต้ม และขูดหนัง เอาพวกหนามออก และน้ำต้มปลิงทะเล จะส่งขายมาเลเซียทำยา เพราะมีคุณสมบัติในการรักษาบาดแผลให้สมานได้ ส่วนตัวปลิง จะนำไปตากแห้ง ปิ้งหรือรมควัน และส่งขายเมืองจีน "ประชากรปลิงทะเล 50% ลดลงในช่วง 20-30 ปี หลายพื้นที่ไม่ค่อยเจอ เช่น หมู่เกาะสุรินทร์ เคยมีปลิงเต็มหน้าหาด ตอนนี้เหลือน้อยมาก และแนวปะการังบางพื้นที่ลดมากกว่า 70% ระยะยาวจะมีปัญหาหนัก" นายศักดิ์อนันต์ กล่าวอีกว่า การลดลงของปลิงทะเล มาจากการถูกจับไปขาย กลุ่มประเทศที่นิยมคือ จีน เวียดนาม ในอดีตราคาเพียงแค่ 200-300 บาทที่เป็นตัวปลิงสด และถ้าราคาตากแห้ง น่าจะหลายพันบาท ราคาขึ้นกับชนิดของปลิง ปลิงดำจะถูกกว่าปลิงขาว ทั้งนี้แม้ว่าปลิงทะเล จะสามารถงอกส่วนที่ขาดเป็น 2 ท่อนได้ภายในระยะเวลา 2 เดือน แต่ก็ไม่ทำให้ประชากรเพิ่มได้เร็ว "น่าเป็นห่วงในเชิงนิเวศทางทะเล ตอนนี้เรายังไม่ไหวตัวว่าเกิดอะไรขึ้นใต้ทะเล บางแห่งตะกอนดินใต้ท้องทะเลเคยขาวสะอาด และกลายเป็นตะกอนสีดำ" ราคาจูงใจตากแห้ง 3,000-7,000 บาท ข้อมูลนี้ สอดคล้องกับข้อมูลปี 2564 กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กรมประมง รายงานว่า มีการจับปลิงทะเลขึ้นมาใช้ประโยชน์ในปริมาณมาก ทั้งเพื่อการบริโภคภายในประเทศ และส่งออกต่างประเทศ โดยเฉพาะปลิงทะเลชนิด Holothuria scabra ที่มีความต้องการของตลาดสูง ราคาขายปลิงทะเลสด จากชาวประมงน้ำหนัก 400-500 กรัมต่อตัว ราคา 500 บาทต่อกิโลกรัม "ปลิงทะเลตากแห้ง ราคา 3,000-7,000 บาทต่อกิโลกรัม จากการที่เป็นสัตว์น้ำมีมูลค่าสูง ทําให้ถูกจับจํานวนมากจนไม่สามารถเกิดทดแทนตามธรรมชาติได้ทัน" สรรพคุณอาหาร-ยาจากปลิงทะเล ข้อมูลจากศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรมสัตว์น้ำชายฝั่ง (สถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง สงขลา) กรมประมง เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวปลิงทะเลของไทย ระบุว่า คุณค่าทางอาหารของปลิงทะเล มีโปรตีนประมาณ 10-12% ความชื้น 70-80% ไขมัน 0.002-0.04% นอกจากนี้ เนื้อปลิงทะเล ยังมีสารมิวโคโปรตีนที่มี Chondroitin sulfurie acid คาดว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้สูงอายุ โดยการช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดี จากการศึกษา ปลิงทะเลที่ต้มแล้ว วางขายในตลาดสดตามจังหวัดใหญ่ ๆ เช่น จ.ภูเก็ต ส่วนใหญ่นำไปประกอบอาหาร ประเภทซุป และยำในภัตคารอาหารจีน ใน จ.กระบี่ ปลิงขาวมีราคา กิโลกรัมละประมาณ 270 บาท ส่วนชนิดอื่นมีราคากิโลกรัมละประมาณ 90 บาท ส่วนน้ำในตัวปลิงทะเล ซึ่งมักนำไปเป็นส่วนผสมของยา จะขายในราคา 100 บาท ต่อ 1 แกลลอน (20 ลิตร) ที่หมู่เกาะสุรินทร์ ชาวเลจะนำปลิงตากแห้งมาขายที่ฝั่งจ.ระนอง ในราคากิโลกรัมละ 200-400 บาท ขณะที่ปลิงทะเลตากแห้ง นับว่าเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อในประเทศทางตะวันออก โดยเฉพาะทางหมู่เกาะทะเลใต้ (South Pacific) ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น ซึ่งมีผู้นิยมกินปลิงทะเลกันมาก โดยที่นิยมกินมี 2 ปลิงขาว ปลิงดำ ส่วนที่มีขายตามท้องตลาด ปลิงทะเลตากแห้ง คือ Holuthuria scabra อย่างไรก็ตาม ปลิงทะเลในธรรมชาติที่ลดลงอย่างมาก กรมประมง ได้เริ่มศึกษาสถานภาพปลิงทะเลในไทย และอนุกรมวิธาน ชีววิทยา และนิเวศวิทยา เพื่อที่จะประเมินทรัพยากรปลิงทะเล และวางแผนฟื้นฟูอนุรักษ์ https://www.thaipbs.or.th/news/content/319052
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|