เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

 
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
Prev คำตอบที่แล้วมา   คำตอบถัดไป Next
  #3  
เก่า 29-09-2022
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


สถาบันวิจัยชั้นนำโลกเรียกร้องทุกชาติเร่งลดมลพิษ ................. โดย ชมัยพร ศรีขยัน



สถาบันวิจัยชั้นนำโลกเรียกร้องทุกชาติเร่งลดมลพิษ ขณะผลศึกษาปี 2564 ระบุว่า ถ่านหินเป็นตัวปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ในปริมาณมากที่สุดในโลก รองลงมาเป็นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและปูนซีเมนต์

น้ำท่วมหนักปากีสถานช่วงที่ผ่านมา เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่บอกว่าแม้ประเทศเล็กๆอย่างปากีสถานที่ไม่ได้ปล่อยควันพิษ หรือก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ในชั้นบรรยากาศมากเท่าประเทศอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ แต่ก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาโลกร้อนขึ้น และปัญหามลพิษในระดับที่รุนแรงเกินคาด

ล่าสุด "บ็อบ วอร์ด" ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบาย จากสถาบันวิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ?แกรนแธม? (Grantham) ได้ร่วมแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ในฐานะเป็นวิทยากรร่วมในงานสัมมนา Sustainability Expo (SX) ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายใต้หัวข้อ ?Is the world on track to avoid dangerous climate change?? หรือ ?โลกของเรา หนีพ้นจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงได้ตามเป้าหมายหรือไม่? เมื่อวันอังคาร(27 ก.ย.)

วอร์ด ได้นำเสนอข้อมูลอ้างอิงจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) ที่เผยแพร่เมื่อปี 2564 ว่า การทำให้โลกร้อนขึ้น หรือการสร้างมลพิษโดยน้ำมือมนุษย์ ส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศหลายรูปแบบ เช่น เกิดคลื่นความร้อน ฝนตกหนัก เกิดพายุไซโคลนเขตร้อน เป็นต้น และพบว่า อุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2393-2565 เพิ่มขึ้น 0.9-1.2 องศา

ส่วนไทย ตั้งแต่ปี 2493-2563 มีอุณหภูมิสูงโดยเฉลี่ยตั้งแต่ 25-27 องศาเซียลเซียส ขณะที่การใช้เชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ยังคงมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก

จากสมมติฐานการปล่อยมลพิษคาดว่า อุณหภูมิพื้นผิวโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเกินกว่า 1.5-2 องศาเซลเซียส ในช่วงศตวรรษที่ 21 หากไม่เร่งลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจก โดยครั้งล่าสุดที่โลกมีอุณหภูมิคงที่มากที่สุดคือ 3 ล้านปีก่อน

หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส มีโอกาสสูงว่าอาจทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงและถี่มากขึ้นในทวีปแอฟริกาและเอเชีย รองลงมาคือภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรป หรือบางภูมิภาคอาจเกิดความแห้งแล้งในภาคเกษตรและระบบนิเวศ ยกเว้นทวีปเอเชีย และหากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส จะทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงรุนแรงมากขึ้น

บ็อบ ระบุว่าผลการศึกษาปี 2564 บ่งชี้ว่า ถ่านหินเป็นตัวปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์มากที่สุด รองลงมาเป็นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและปูนซีเมนต์

ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เผยว่า เมื่อสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไป ย่อมส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในราคาอาหารและราคาพลังงาน รวมถึงระบบห่วงโซ่อุปทานต่าง ๆ จะเกิดความไม่สมดุลด้วย

เมื่อทั่วโลกเกิดการตระหนักรู้ถึงผลกระทบของสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง จึงจัดทำ 'ความตกลงปารีส' (Paris Agreement) ให้เป็นตัวกำหนดมาตรการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อให้อุณหภูมิโลกต่ำกว่าอุณภูมิช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม 2 องศาเซลเซียส และควบคุมให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียส ด้วยการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืนที่สุด รวมถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้มากที่สุด 45% ภายในปี 2573 เพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยมีผู้ร่วมความตกลงปารีสแล้วทั้งสิ้น 197 ประเทศ รวมถึงไทย

ขณะที่ข้อมูลช่วงปี 2553-2562 บ่งชี้ว่า ต้นทุนของเทคโนโลยีที่ปล่อยมลพิษต่ำเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่น ต้นทุนพลังงานจากแสงอาทิตย์ลดลง 85% ต้นทุนพลังงานลมลดลง 55% แบตเตอรีลิเทียมลดลง 85%

ด้านองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) เห็นว่า พลังงานทดแทนไม่เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันในตลาด เนื่องจากราคาพลังงานเชื้อเพลิงและราคาไฟฟ้าสูงขึ้นสูงขึ้นอย่างอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ไตรมาสุดท้ายของปี 2564

พอสรุปได้ว่าโลกของเราจะไม่สามารถหลีกหนีสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างเลวร้ายมากขึ้นได้ หากทุกคนไม่ร่วมกันช่วยลดก๊าซเรือนกระจก และควรหันไปใช้พลังงานทดแทนมากขึ้นและให้ไวที่สุด รวมถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้มากที่สุด เพื่อบรรเทาการเกิดภัยพิบัติ และรักษาโลกของเราให้ปลอดภัยและมีความยั่งยืนต่อไป

ข้อเรียกร้องของวอร์ด มีขึ้นหลังจากหลายประเทศเผชิญคลื่นความร้อนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะประเทศในยุโรป ส่งผลให้ผู้คนเจ็บป่วย และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต และไม่ใช่แค่ผลกระทบต่อผู้คนเท่านั้น คลื่นความร้อนยังทำให้ปริมาณธารน้ำแข็งบนเทือกเขาแอลป์ลดต่ำลงเป็นประวัติการณ์ด้วย

"แอนเดรียส ลินส์บาวเออร์"นักธรณีวิทยาชาวสวิส กล่าวว่า ปกติแล้วจะมีการวัดปริมาณน้ำแข็งบริเวณธารน้ำแข็งมอเทอราท (Morteratsch Glacier) ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ช่วงปลายฤดูร้อน หรือช่วงปลายเดือนก.ย. เพื่อพิจารณาจากความแตกต่างของปริมาณหิมะที่ตกลงมาในฤดูหนาว และปริมาณน้ำแข็งที่ละลายในฤดูร้อน แต่เนื่องจากการละลายของธารน้ำแข็งที่รวดเร็วขึ้น ทำให้ต้องตรวจเช็คปริมาณธารน้ำแข็งล่วงหน้าสองเดือน และพบว่าน้ำแข็งลดลงไปมาก

การละลายของธารน้ำแข็งมอเทอราทมีขึ้นในขณะที่ธารน้ำแข็งบนภูเขาส่วนใหญ่ทั่วโลกกกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่เทือกเขาแอลป์ในยุโรปมีความเสี่ยงสูงกว่าที่อื่นๆ เพราะมีน้ำแข็งปกคลุมค่อนข้างน้อย

ขณะที่อุณหภูมิในเทือกเขาแอลป์สูงขึ้นประมาณ 0.3 องศาฯ ทุกๆ 10 ปี ซึ่งเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกประมาณสองเท่าจึงเห็นได้ว่าในช่วง 60 ปี ปริมาณน้ำแข็งลดต่ำลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ฤดูหนาวปีที่แล้ว มีปริมาณหิมะตกค่อนข้างน้อย และเทือกเขาแอลป์ก็เผชิญคลื่นความร้อนอย่างรุนแรงในช่วงต้นฤดูร้อน ในเดือนก.ค. อุณหภูมิบริเวณภูเขาเซอร์แมท (Zermatt)สูงเกือบ 30 องศาเซลเซียส


https://www.bangkokbiznews.com/world/1029537
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
 


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:50


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger