#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2565
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังอ่อนปกคลุมทะเลจีนใต้ ส่งผลทำให้มีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมบริเวณประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ โดยภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนล่าง ประกอบกับมีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ทำให้ภาคใต้ฝั่งตะวันออกมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 28 ? 29 พ.ย. 65 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังอ่อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ประกอบกับร่องมรสุมที่พาดผ่านบริเวณภาคใต้มีกำลังอ่อน ในขณะที่ลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 30 พ.ย. ? 3 ธันวาคม 2565 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 2 - 4 องศาเซลเซียสกับมีลมแรงบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลง 1 - 3 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนล่าง ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง อนึ่ง ในช่วงวันที่ 2 ? 3 ธ.ค. 65 หย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่างมีแนวโน้มจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศมาเลซียและภาคใต้ตอนล่าง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคใต้ตอนล่างจะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 30 พ.ย. ? 3 ธ.ค. 65 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
สลดใจ 'เต่าตนุ' อายุ 20 ปี กินหมุดกระทงเต็มท้อง สิ้นใจอนาถอ่าวสัตหีบ ซากเต่าตนุ อายุกว่า 20 ปี ขนาดใหญ่ลอยเกยตื้นหาดกินรี สัตหีบ ชลบุรี ผ่าพิสูจน์สุดเศร้าใจ พบเศษขยะทะเล แผ่นพลาสติก ใบตอง หมุด ตะปู จากกระทงอุดตันลำไส้ เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 65 ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ ( ศอพต. ) ได้รับแจ้งจาก พ.จ.อ.จุลทิตย์ ศรีอนันต์ เจ้าหน้าที่กองพันรถสะเทินน้ำสะเทินบก ว่าพบ ซากเต่าทะเลขนาดใหญ่ลอยเกยตื้น บริเวณริมชายหาดกินรี (หาดขลอด ) อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี จึงได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ไปทำการเก็บกู้ซากเต่า นำกลับมาผ่าชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่ โรงพยาบาลเต่าทะเล กองทัพเรือ เบื้องต้น น.สพ.กิริน สรพิพัฒน์เจริญ สัตวแพทย์ประจำศูนย์ฯ ได้ทำการตรวจสอบพบว่า ซากเต่าเป็น เต่าตนุ ( Chelonia mydas ) เพศเมีย ขนาดกระดองกว้าง 90 ซม. ยาว 96.5 ซม.อายุประมาณ 20 ปี พบเลขรหัสไมโครชิพ 116918551A โดยผลการชันสูตรพบว่า เต่ามีสภาพซากเน่ามาก ไม่พบบาดแผลภายนอก อวัยวะหลายส่วนเริ่มเน่าสลาย ภายในระบบทางเดินอาหารพบอาหารจำพวก สาหาร่ายทะเล แมงกระพรุน ไข่ปลา ขยะทะเล อาทิ อวน เชือกไนล่อน แผ่นพลาสติก และพบสิ่งแปลกปลอมภายในระบบทางเดินอาหารจำนวนมาก เช่น ใบตอง หมุด ตะปู จากกระทง อุดตันในลำไส้ https://www.dailynews.co.th/news/1728645/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
มทร.ศรีวิชัยวิทยาตรัง ต่อยอดหอยนางรมคอนโด พร้อมสร้างนวัตกรชุมชน พัฒนาโมเดลธุรกิจ เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ที่กระชังหอยนางรม พื้นที่ ม.7 บ้านทรายแก้ว ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง น.ส.กัตตินาฏ สกุลสวัสดิพันธ์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการประมง มทร.ศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง พร้อมคณะทำงานนำผู้สื่อข่าวลงไปตรวจสอบความคืบหน้า โครงการ ?ส่งเสริมการเลี้ยงหอยนางรมแก่เกษตรกรชุมชนชายฝั่งเพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในธุรกิจประมง? เพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชนชายฝั่ง และสร้างนวัตกรชุมชนให้มีความรู้ความสามารถถ่ายทอดส่งต่อไปยังเกษตรกรรายอื่น โครงการดังกล่าว เป็นการส่งเสริมเกษตรกรชุมชนชายฝั่งเลี้ยงหอยนางรมเป็นกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องจาก โครงการวิจัยการพัฒนาระบบการเลี้ยงหอยนางรมแบบความหนาแน่นสูง เพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชนลุ่มน้ำปะเหลียน ต.วังวน อ.กันตัง ด้วยการถ่ายทอดความรู้สู่เกษตรกรผู้เลี้ยงหอยนางรม บ้านแหลม ปัจจุบันได้ขยายผลโครงการ สร้างนวัตกรชุมชนชายฝั่งส่งเสริมการเลี้ยงหอยนางรม โดยส่งเสริมให้มีการเพาะเลี้ยงหอยนางรมจากโรงเพาะฟักและบ่อดินสำหรับขยายผล พัฒนาทักษะเกษตรกรรุ่นใหม่สำหรับเป็นผู้เพาะเลี้ยงหอยรางรม รวมถึงการพัฒนาโมเดลธุรกิจการเลี้ยงหอยนางรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถสำหรับเกษตรกร นายสะปีอี เทศนำ เกษตรกรผู้เลี้ยงหอยนางรม กล่าวว่าตน พูดคุยขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการเลี้ยงหอยนางรมแบบคอนโด จาก ผศ. ดร.สุพัชชา ชูเสียงแจ้ว หัวหน้าโครงการ เพื่อเริ่มทำการเลี้ยงหอยนางรม โดยนำพันธุ์หอยนางรม ที่มีขนาด 4 ซม. จากโรงเพาะฟักของมหาวิทยาลัย จากนั้นได้ทำการเลี้ยงหอยนางรมในกระชังขนาด 4*4 เมตร ปัจจุบันเลี้ยงหอยนางรมมีอายุประมาณ 8 เดือน ซึ่งได้ขนาดเป็นที่พึงพอใจ ซึ่งปกติ การเลี้ยงให้หอยนางรมมีขนาดโตเต็มที่ ก็จะใช้ระยะเวลา 1ปี จึงจะสามารถเก็บผลประโยชน์ จำหน่ายได้ในราคาตัวละ 20-25 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของตัวหอย และยังได้รสชาติที่มีความหวานนุ่ม สร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภค น.ส.กัตตินาฏ สกุลสวัสดิพันธ์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการประมง มทร.ศรีวิชัย กล่าวว่า โครงการนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) งบประมาณ 2565 ก่อนหน้านี้มีการส่งเสริมให้เกษตรกรในชุมชนบ้านแหลมที่ประสบความสำเร็จ ได้มีการเลี้ยงแบบนวัตกรรมตะกร้า 3 ชั้น การเลี้ยงแบบนี้มีอัตราการรอดที่สูงแล้วก็มีอัตราการเจริญเติบโตที่เพิ่มมากขึ้นตอนนี้ขยายผลไปแล้ว 5 ชุมชน ในตรัง กระบี่และสุราษฎร์ธานี เริ่มตั้งแต่ให้เกษตรกรคัดเลือกพันธุ์ จากนั้นนำมาอนุบาลในพื้นที่ธรรมชาติหรือว่าบ่อดิน เมื่อมีผลผลิตแล้วก็ส่งเสริมไปยังโมเดลทางธุรกิจพร้อมทั้งสร้างนวัตกรรมชุมชนค่ะเพื่อให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้นำไปสร้างเครือข่าย https://mgronline.com/science/detail/9650000112799
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
สหรัฐอนุมัติรื้อเขื่อนครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ เพื่ออนุรักษ์ แซลมอน ใกล้สูญพันธุ์ เขื่อน 4 แห่งซึ่งตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำ Klamath ในรัฐแคลิฟอร์เนียและโอเรกอนของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นแหล่งผสมพันธุ์ปลา แซลมอน กำลังจะถูกรื้อทิ้ง หน่วยงานอนุรักษ์แหล่งที่อยู่อาศัยปลาใกล้สูญพันธุ์ของสหรัฐอเมริกาอนุมัติการรื้อเขื่อน 4 แห่งซึ่งตั้งอยู่ระหว่างรัฐแคลิฟอร์เนียและโอเรกอน โดยนับเป็นการรื้อเขื่อนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา การรื้อเขื่อนในครั้งนี้หวังจะพัฒนาคุณภาพของแม่น้ำ Klamath ซึ่งเป็นเส้นทางที่แซลมอนชินูก และแซลมอนใกล้สูญพันธ์อย่างแซลมอนโคโฮ ว่ายผ่านจากมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อขึ้นไปยังแหล่งผสมพันธุ์ที่อยู่ต้นน้ำ และลูกปลาจะใช้เส้นทางเดียวกันนี้ว่ายกลับสู่ทะเลในเวลาต่อมา คณะกรรมการกำกับดูแลพลังงานแห่งชาติของสหรัฐฯ ได้ออกคำสั่งเรียกคืนใบอนุญาตดำเนินกิจการเขื่อน และยังเห็นชอบให้มีการรื้อถอนเขื่อนทั้ง 4 แห่ง การรื้อถอนเขื่อนในครั้งนี้เป็นสิ่งเป็นสิ่งที่ชนเผ่าพื้นเมืองซึ่งบรรพบุรุษพึ่งพาแซลมอนในการหาเลี้ยงชีพมาหลายศตวรรษต่างคาดหวัง หลังจากวิถีชีวิตของพวกเขาถูกรบกวนจากการตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรปและความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ชนบทในศตวรรษที่ 20 Joseph James หัวหน้าชนเผ่า Yurok ได้ให้ความเห็นถึงการรื้อถอนเขื่อนว่าถือเป็นชัยชนะของชนพื้นเมือง โดยหลังจากนี้พวกเขาจะกลับมาดำเนินภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ต่อปลาที่หล่อเลี้ยงชีวิตพวกเขามาแต่ครั้งอดีตกาลได้อีกครั้ง เขากล่าวว่า "แซลมอนแห่งแม่น้ำ Klamath กำลังจะได้กลับบ้านแล้ว" ภาวะโลกรวนและภัยแล้งได้เปลี่ยนแปลงสภาพแหล่งที่อยู่ของแซลมอน ทำให้แม่น้ำอุ่นเกินกว่าที่ปลาบางชนิดจะสามารถอยู่รอดได้ และยังมีพยาธิมากเกินไป บริษัทผลิตไฟฟ้า PacifiCorp ซึ่งอยู่ในเครือบริษัท Berkshire Hathaway ของมหาเศรษฐี Warren Buffet จะคืนใบอนุญาตดำเนินกิจการเขื่อนทั้ง 4 แห่ง ซึ่งมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าสำหรับการใช้งานของประชากร 7,000 หลังคาเรือน ก่อนหน้านี้ PacifiCorp ประสบค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่วจากกฎระเบียบใหม่ที่บังคับสร้างแผงกั้นและบันไดปลา บริษัทจึงทำข้อตกลงกับชนเผ่าพื้นเมืองและรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จะยุติการดำเนินกิจการเขื่อน ทั้งนี้โฆษกของ PacifiCorp กล่าวว่า บริษัทได้ให้เงินสมทบการรื้อถอนเขื่อนเป็นเงิน 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเงินที่มาจากค่าบริการที่เก็บจากผู้บริโภคในรัฐโอเรกอนและแคลิฟอร์เนีย โดยเงินอีกส่วนหนึ่งเป็นจำนวน 250 ล้านเหรียญมาจากการออกพันธบัตรซึ่งเห็นชอบโดยผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในรัฐแคลิฟอร์เนีย https://dxc.thaipbs.or.th/news_updat...8%ad%e0%b8%99/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|