เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 02-05-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม 2566

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อนลง ประกอบกับลมตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงบางแห่งเกิดขึ้นได้ ขอให้ประชาชนในบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงที่อาจจะเกิดขึ้นไว้ด้วย

สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักในระยะนี้ไว้ด้วย ส่วนบริเวณอ่าวไทยทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือขนาดเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 3 พ.ค. 2566

ฝุ่นละอองในระยะนี้ : ประเทศไทยมีการสะสมฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์น้อยถึงปานกลาง เนื่องจากยังคงมีฝนตกในบริเวณดังกล่าวและมีการระบายอากาศดี ยกเว้นภาคเหนือในบางพื้นที่ มีการสะสมฝุ่นละออง/หมอกควันในเกณฑ์ค่อนข้างมาก


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 25-29 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 1 ? 2 พ.ค. 66 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังแรงขึ้น ในขณะที่บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง

ส่วนในช่วงวันที่ 3 - 7 พ.ค. 66 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อน กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่ ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงบางแห่งเกิดขึ้นได้

สำหรับภาคใต้ ในช่วงวันที่ 1 - 3 พ.ค. 66 ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนอ่าวไทยทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ช่วงวันที่ 4 ? 5 พ.ค. 66 ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน มีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนอ่าวไทยทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 6 - 7 พ.ค. 66 มีลมฝ่ายตะวันตกพัดปกคลุมบริเวณทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมบริเวณอ่าวเบงกอลตอนล่าง และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยดูแลรักษาสุขภาพ และระวังโรคลมแดดเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนตลอดช่วง ในช่วงวันที่ 1 - 2 พ.ค. 66 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบน ระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง ไม่ควรสวมใส่โลหะ และหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือขณะเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงไว้ด้วย ส่วนในช่วงวันที่ 1 ? 2 พ.ค. 2566 ขอให้ประชาชนในบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนักบางแห่ง ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือขนาดเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่ง












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 02-05-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ประมงพื้นบ้านสตูล ออกจับแมงกะพรุนส่งขาย ทำรายได้งามช่วยในพื้นที่เงินสะพัด

ประมงพื้นบ้านสตูลทิ้งอวนทิ้งลอบ หันมาออกเรือไปตักแมงกะพรุนขาย เพราะมีคนมารับซื้อตัวละ 5 บาท สร้างรายได้วันละ 2-6 พันบาท แต่ถ้าเรือเล็กก็จะตักได้น้อย อีกทั้งยังเกิดการจ้างงานในพื้นที่ด้วย



เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่แพปลาบังเส็น หมู่ที่ 7 ต.แหลมสน อ.ละงู จ.สตูล ชาวประมงพื้นบ้านเร่งนำเรือเข้าเทียบท่าเพื่อขนถ่ายแมงกะพรุนที่ออกไปตักมาจากทะเล และนำมาขายให้กับพ่อค้าที่รับซื้อ โดยในช่วงนี้แมงกะพรุนในทะเลสตูลมีมากทำให้ชาวประมงพื้นบ้านเช่นอวนปูอวนปลา ลอบ ต่างทิ้งอาชีพประมง หันมาตักแมงกะพรุนขาย เพราะต้นทุนน้อยราคาดี โดยราคารับซื้อตัวละ 5 บาท ชาวบ้านนำเรือออกไปตักใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงสร้างรายได้อย่างงาม

นายสาดล ท้ามวล ชาวประมงพื้นบ้าน กล่าวว่า เดิมตนทำประมงพื้นบ้านวางลอบและวางอวน รายได้ก็ได้ไม่มากพอเลี้ยงปากท้อง แต่ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีแมงกะพรุนลอดช่องเข้ามาเยอะ และมีแพรับซื้อไม่ต่ำกว่า 10 แห่ง ตนจึงเปลี่ยนอาชีพจากทำประมงพื้นบ้านมาออกตักแมงกระพรุนในทะเลขาย เพราะทำอวนปูอวนปลามีต้นทุนหลายอย่าง ออกไปแต่ละครั้งก็ไม่แน่ว่าจะได้ปลาปูหรือไม่ แต่สำหรับแมงกะพรุนลอยอยู่เต็มทะเล เราเพียงแค่ออกแรงตักเท่านั้น ขึ้นอยู่กับความขยันและกำลังที่มี ต้นทุนแค่น้ำมันที่วิ่งเรือออกไปเท่านั้น ตนเรือประมงขนาดเล็กตักได้ไม่มากนัก มีรายได้เพียงวันละ 1,700-2,000 บาท ส่วนคนมีเรือขนาดใหญ่มีรายได้เที่ยวละ 2,000-6,000 บาท ขึ้นอยู่ที่เขาจะออกไปตักวันละกี่รอบ

ด้าน นายอูเส็น สูลสละ เจ้าของแพผู้รับซื้อ กล่าวว่า โดยปกติในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม และเมษายนจะมีแมงกะพรุนขึ้นเยอะ แต่ 2 ปีที่ผ่านมาแมงกะพรุนกลับมีมาเกือบทั้งปี จึงทำให้ชาวประมงพื้นบ้านที่ประกอบอาชีพดักลอบวางอวนต่างๆ หันมาตักแมงกะพรุนขาย เนื่องจากสามารถทำรายได้ให้ชาวประมงได้เป็นกอบเป็นกำ เรือเล็กก็ได้น้อยแต่ก็ไม่ต่ำจาก 2,000 บาทต่อวัน เรือใหญ่ก็ได้มากสูงสุดถึงวันละ 6,000 บาทต่อวัน สำหรับต้นทุนที่ใช้ก็แค่ค่าน้ำมันไม่เกิน 300 บาทต่อวันเท่านั้น โดยชาวประมงพื้นบ้านหันมาตักแมงกะพรุนขายมีถึง 90% ของพื้นที่ใน ต.แหลมสน และยังมีแพที่รับซื้อถึง 12 แห่ง ทำให้เกิดการจ้างงานสร้างรายได้ให้ชุมชนได้เป็นอย่างดี

เจ้าของแพผู้รับซื้อแมงกะพรุน กล่าวด้วยว่า ขณะที่กลุ่มแม่บ้านที่ไม่ได้ออกเรือ ก็สามารถมารับจ้างคัดแยกและดองแมงกะพรุนที่แพรับซื้อได้ นอกจากนี้ตนเตรียมตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนรับซื้อและจำหน่ายแมงกะพรุน เพื่อไว้เป็นการต่อรองราคากับผู้รับซื้อและกระจายรายได้ให้กับชุมชน ซึ่งช่วงฤดูแมงกะพรุนนั้นทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ภาพรวมคึกคักมีเงินสะพัดในพื้นที่ไม่ต่ำกว่าวันละ 1 ล้านบาทเลยทีเดียว สำหรับแมงกะพรุนส่งขายไปยัง กทม.และต่างประเทศ แมงกะพรุนเหล่านี้นิยมนำไปทำอาหารประเภทลวกจิ้ม ยำ ใส่ในเย็นตาโฟ เนื้อกรุบกรับคล้ายเห็ดหูหนูขาว.


https://www.thairath.co.th/news/local/south/2690457

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 02-05-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


ตื่นตา! โลมาสีชมพูสองตัว โผล่อวดโฉมที่ อช.หมู่เกาะระนอง



วันนี้ (1 พ.ค.2566) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะระนอง เผยภาพ ?โลมาหลังโหนก หรือโลมาสีชมพู? ที่พบบริเวณปากคลองทรายดำ ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะระนอง จำนวน 2 ตัว กำลังหาอาหารตามแนวชายฝั่ง

โลมาสีชมพู ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sousa chinensis จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม พรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ลักษณะทั่วไปมีรูปร่างหัวกลมมนมีปากเรียวยาว เมื่อโตเต็มวัยมีขนาดประมาณ 2.2-2.8 เมตร ตัวเมียจะเล็กกว่าตัวผู้เล็กน้อย หนักประมาณ 150-230 กิโลกรัม อายุเฉลี่ยประมาณ 40 ปี

ทั้งนี้การลักลอบค้าสัตว์ป่าคุ้มครอง มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อ่านเพิ่มเติม https://portal.dnp.go.th/Content?contentId=22022

อาหารที่ชอบกินของโลมาสีชมพู ได้แก่ ปลาเล็ก ปลาหมึก และสัตว์พวกกุ้ง เคย ปู เป็นต้น เมื่อพวกมันออกหาอาหาร จะใช้สัญญาณเอคโค และออกล่าเป็นกลุ่ม ถึงแม้ว่าจะเป็นสัตว์ที่รวมกลุ่ม แต่โลมาสีชมพูก็จะดุร้ายได้เหมือนกัน และมักจะแยกตัวเองออกไปจากตัวอื่นพอสมควรเมื่อต้องการหาอาหาร หรือต้องกินอาหาร

ในช่วงที่ผ่านมา โลมาสีชมพู ถือว่าเป็นพระเอกแห่งทะเลขนอม นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนทะเลขนอม จ.นครศรีธรรมราช ว่ากันว่าถ้าจะให้ได้ชื่อว่าไปถึงทะเลขนอมอย่างแท้จริง ก็ต้องไม่พลาดกิจกรรมชมโลมาสีชมพู ซึ่งเป็นโลมาประจำถิ่นที่อาศัยอยู่ที่ทะเลแห่งนี้ซึ่งมักจะออกมาโชว์ตัวให้นักท่องเที่ยวได้ชมความน่ารักเกือบทุกวัน

ดังนั้นการมาโผล่หากินตามแนวชายฝั่งในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะระนอง คาดว่าต่อไปที่นี่อาจเป็นที่อยู่อาศัยประจำอีกแห่งหนึ่ง และนั่นแสดงถึงความสมบูรณ์ของท้องทะเลแห่งนี้อีกด้วย


สีชมพูมาจากไหน

ลักษณะเด่นคือส่วนหลังโหนกเป็นแนวยาว 1 ใน 3 ของความยาวลำตัว จึงเรียกชื่อว่า โลมาหลังโหนก ส่วนสีชมพูที่ส่วนงามบริเวณลำตัว ที่จริงแล้วมีสีต่างกันมากตามอายุ ตอนวัยเด็กจะมีสีเทาดำ และจางลงเมื่อโตขึ้นตัวเต็มวัย บางตัวมีสีเทาประขาว แต่พออายุมากขึ้นจะมีสีออกขาวเผือก หรือชมพู

ช่วงวัยเด็กจะเห็นว่ามีสีเข้มกว่าตัวเต็มวัย พอเป็นวัยรุ่นจะเริ่มมีจุดสีเทาปนชมพูเกิดขึ้น ยิ่งแก่เท่าไหร่สีผิวจะยิ่งเป็นสีชมพูมากขึ้น บริเวณผิวด้านล่างจะเป็นจุดๆ และมีสีที่สว่างกว่าด้านบน ?สีชมพูของโลมาไม่ได้มาจากเซลเม็ดสี แต่มาจากสีของหลอดเลือดที่ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะที่อุณหภูมิของร่างกายสูงเกินไป?

สำหรับพฤติกรรมโดยทั่วไป ชอบอยู่บริเวณชายฝั่ง หรือบริเวณที่มีความลึกไม่เกิน 20 เมตร บริเวณที่โลมาอาศัยอยู่มักจะพบว่า ชายฝั่งทะเลนั้นจะมีป่าชายเลนอยู่ด้วยเสมอๆ แต่จะต้องอยู่ในบริเวณน้ำตื้นเท่านั้น โลมาสายพันธุ์นี้ชอบอาศัยประจำที่หรือมีการย้ายที่อพยพน้อยมากและอาศัยไม่ห่างจากชายฝั่งเกินระยะ 1 กิโลเมตร ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถพบเห็นได้โดยง่าย โดยมักจะพบเห็นตั้งแต่ตอนเช้า ซึ่งจะอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 10 ตัว ว่ายน้ำช้า ประมาณ 4.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจะดำน้ำประมาณ 40-60 วินาที ก่อนจะโผล่ขึ้นมาหายใจ บางครั้งมีพฤติกรรมดุร้าย โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ล่าเข้ามา


https://mgronline.com/greeninnovatio.../9660000040090

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 02-05-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


สะพานเชื่อมระบบนิเวศน์ แห่งแรกในประเทศไทย



ข้อมูลจากกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ระบุว่ากระทรวงคมนาคมได้ดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานบนถนนทางหลวงชนบทสาย รย.4060 อำเภอเขาชะเมาและแก่งหางแมว จังหวัดระยองและจันทบุรี

"สะพานเชื่อมระบบนิเวศน์แห่งแรกในประเทศไทย" เพื่อความปลอดภัยในการดำรงชีวิตของสัตว์ป่า และเพิ่มศักยภาพในการเดินทางให้กับประชาชน รวมถึงขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวภายในประเทศอย่างยั่งยืน

ทช. ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างสะพาน จำนวน 2 แห่ง บริเวณ ช่วง กม. ที่ 4+525 - 5+155 และ กม. ที่ 9+517.25 - 9+937.25 เพื่อเชื่อมต่อระบบนิเวศน์ระหว่างเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน และอุทยานแห่งชาติเขาชะเมา - เขาวง จากเดิมที่มีถนนคั่นกลางมาเป็นสะพานเพื่อให้รถยนต์สามารถสัญจรผ่านได้ มีการรื้อถนนเดิมบางส่วนเพื่อให้สัตว์ป่าสามารถเดินลอดใต้สะพานได้อย่างสะดวกปลอดภัย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์สัตว์ป่าและพรรณพืช ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันระหว่างคนและสัตว์ป่าอย่างยั่งยืน

สามารถให้เจ้าหน้าที่และประชาชนผู้ที่สนใจสังเกตพฤติกรรมของสัตว์ป่าที่เดินผ่านหรืออาศัยอยู่ในบริเวณสะพานเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในประเทศอีกทางหนึ่ง ใช้งบประมาณก่อสร้างรวม 587.516 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2568


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1065858

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 02-05-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


พักใบอนุญาต "ครูสอนดำน้ำ" ฆ่าปลาวัวไททัน-เอาผิดไม่ได้ไม่ใช่สัตว์คุ้มครอง



สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวชุมพร สั่งพักใบอนุญาต ครูสอนดำน้ำ "ฆ่าปลาวัวไททัน" เหตุไม่ได้จดทะเบียนในพื้นที่ ส่วน ทช.เอาผิดไม่ได้ เหตุไม่ใช่สัตว์คุ้มครอง และอยู่นอกพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม เตือนนักดำน้ำ ระวังฤดูนี้จะหวงอาณาเขต

กรณีครูสอนดำน้ำรายหนึ่ง โพสต์ลงโซเชียลว่าปลาวัวไททันกัดขา บริเวณเกาะร้านเป็ด และจากนั้นได้ฆ่าปลาตัวดังกล่าว โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ปลาไปกัดผู้อื่นอีก เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

วันนี้ (30 เม.ย.2566) นายนฤพล สังเกตุ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดชุมพร พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดชุมพร และสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดชุมพร เข้าพบกับครูสอนดำน้ำ โดยครูสอนดำน้ำได้ขอโทษ สำนึกผิดและขอรับผิดกับสิ่งที่ทำขึ้น

จากการตรวจสอบบริษัทของนักดำน้ำที่โพสต์ข้อความ พบว่าได้จดทะเบียนที่จังหวัดอื่น ทำให้ไม่สามารถดำเนินการใน จ.ชุมพรได้จึงขอให้หยุดทำธุรกิจไว้ก่อน

"ตามพ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยว ถ้าการประกอบอาชีพในพื้นที่ชุมพร ต้องจดในจังหวัดนี้ เบื้องต้นให้หยุดธุรกิจและไปยื่นทะเบียนหลักฐานจดทะเบียนให้ถูกต้อง"


ทช.เตือน "ปลาวัวไททัน" หวงอาณาเขต

ด้านนายอภิชัย เอกวนากุล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า มอบหมายให้นายวิชัย สมรูป ผอ.สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 4 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นตรวจสอบข้อเท็จจริง และพบว่าปลาชนิดนี้ไม่ได้เป็นสัตว์น้ำคุ้มครอง อีกทั้งพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้อยู่ในเขตประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เรื่องกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม

"เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ และจะเรียกตัวผู้ประกอบการ มารับทราบกฎระเบียบในการดำน้ำ และการท่องเที่ยวในทะเลที่ถูกต้อง ภายหลังหากตรวจสอบแล้วว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป"

นอกจากนี้ ทช.ได้ร่างประกาศ ทส.เรื่องมาตรการคุ้มครองทรัพยากรปะการังจากกิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำ พ.ศ...โดยระบุข้อกำหนด และเงื่อนไขเกี่ยวกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวดำน้ำ กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนวิธีปฏิบัติที่ดีในการดำน้ำโดยไม่กระทบกระเทือนต่อปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล


รู้จักปลาวัวไททัน ไม่ใช่สัตว์คุ้มครอง

สำหรับ "ปลาวัวไททัน? (Titan triggerfish) Balistoides viridescens เป็นปลาที่พบได้ทั่วไปในแนวปะการังในมหาสมุทรเขตร้อน และเขตอบอุ่น ของอินโด-แปซิฟิก ในน่านน้ำไทยเป็นปลาที่พบได้บ่อย และพบได้ทั้ง 2 ฝั่ง คือ ฝั่งอันดามัน และอ่าวไทย กินสัตว์น้ำหน้าดินและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กเป็นอาหาร

จากการวิจัยพบว่ามีขนาดใหญ่สุดประมาณ 75 cm. ส่วนแหล่งที่อยู่อาศัย ชอบอาศัยอยู่บริเวณขอบแนวปะการังและกองหินใต้น้ำ และจะทำรังตามพื้นทรายใกล้กับแนวปะการังหรือกองหินใต้น้ำ ลักษณะของรังจะทำเป็นหลุมคล้ายๆ กับแอ่งกระทะ (ลักษณะเหมือนหลุมปลานิล)

"ส่วนพฤติกรรม เป็นปลาที่มีนิสัยหวงถิ่น และจะมีนิสัยก้าวร้าวเมื่อเข้าใกล้บริเวณที่เป็นอาณาเขตของมัน"

ปลาวัวไททัน มีประโยชน์ต่อระบบนิเวศ เนื่องจากเป็นปลาที่กินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง รวมถึงตัวอ่อนของเม่นทะเลและตัวอ่อนของดาวมงกุฎหนาม ซึ่งเป็นผู้ล่าของปะการัง ปลาวัวไททันจึงมีประโยชน์ในแง่ของการควบคุมสัตว์ในกลุ่มนี้ให้อยู่ในภาวะสมดุล รวมถึงการควบคุมสัตว์จำพวกหอย และหนอนท่อที่เจาะตามก้อนปะการัง ที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยคุกคามสุขภาพปะการังได้อีกด้วย

"หากระบบนิเวศแนวปะการังขาดปลาวัวไททัน อาจทำให้มีศัตรูคุกคามปะการังมากขึ้นจนขาดภาวะสมดุล ฝากถึงนักดำน้ำ นักท่องเที่ยว ปฏิบัติตนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาจากสัตว์ทะเล ควรปฏิบัติต่อสัตว์น้ำด้วยเมตตา อย่ารังแก อย่ารบกวนโดยไม่จำเป็น"

นอกจากนี้ยังแนะนำให้ระมัดระวังอย่างยิ่งขณะดำน้ำ ในบริเวณที่น้ำขุ่นมาก ในการวางมือ วางเท้า หลีกเลี่ยงการใส่เครื่องประดับที่ห้อย และสะท้อนแสง ควรใส่ถุงมือ หรือชุดดำน้ำเพื่อป้องกันการทิ่มแทง และบาดเจ็บปรับการลอยตัวให้เป็นกลาง หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับพื้นใต้ทะเลเคลื่อนไหวช้าๆ ระมัดระวัง และดูให้ดีในพื้นที่ที่จะไป

รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ และสัมผัสกับสัตว์ที่ไม่คุ้นเคยทุกชนิด อย่างกลุ่มปลาวัวนี้ จะมีการวางไข่ไว้บนพื้นทราย และช่วงนี้ปลาวัวไททัน จะคอยเฝ้าระวังรัง คอยพ่นน้ำบริเวณรังที่มีไข่ถูกทรายกลบทับ และป้องกันการบุกรุกจากปลาหรือสัตว์อื่นๆ ที่จะเข้ามากินไข่

ช่วงเวลานี้ปลาวัวจึงมีพฤติกรรมหวงกันอาณาเขต และก้าวร้าว หากนักดำน้ำเรียนรู้พฤติกรรม และพบเห็นว่าปลาวัวไททัน แสดงพฤติกรรมพ่นน้ำลงพื้น หรือคอยไล่ปลาที่หากินออกจากพื้นที่ ก็ควรออกห่างจากอาณาบริเวณอาณาเขตของปลา ก็จะเป็นการป้องกันไม่ให้ถูกปลากัด


https://www.thaipbs.or.th/news/content/327161

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:26


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger