เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 19-05-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2566

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ลมตะวันตกและลมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัดไว้ด้วย สำหรับลมตะวันตกและลมตะวันตกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันตก ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้ไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้ : ประเทศไทยมีการสะสมฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์น้อยถึงปานกลาง เนื่องจากยังคงมีฝนตกในบางพืนที่ และมีการระบายอากาศดี


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อนโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน
อุณหภูมิต่ำสุด 27-28 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 36-39 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 19 - 20 พ.ค. 66 ลมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 21 - 24 พ.ค. 66 ลมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบนจะมีกำลังแรงขึ้น ในขณะที่หย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบน จะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง

ในช่วงวันที่ 19 ? 24 พ.ค. 66 ลมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้นโดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมที่จะเกิดขึ้น ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง






__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 19-05-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


อากาศเปลี่ยนแปลงเพิ่มโอกาสเกิดคลื่นความร้อนในเอเชีย 30 เท่า

ผลการศึกษาใหม่พบว่า ภาวะความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เพิ่มโอกาสเกิดคลื่นความร้อนในเอเชียถึง 30 เท่า และทำให้อากาศร้อนขึ้นอย่างน้อย 2 องศาด้วย



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 18 พ.ค. 2566 ว่า องค์กร World Weather Attribution (WWA) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยอิสระ เผยผลการศึกษาใหม่พบว่า หลายพื้นที่ในอินเดียมีอุณหภูมิสูงกว่า 44 องศาเซลเซียสในช่วงกลางเดือนเมษายน โดยมีผู้เสียชีวิตจากอาการฮีทสโตรกในนครมุมไบถึง 11 ศพในวันเดียว ส่วนที่กรุงธากา ของบังกลาเทศ เผชิญวันที่ร้อนที่สุดในรอบเกือบ 60 ปี

ที่จังหวัดตากของไทย ทำอุณหภูมิสูงที่สุดตลอดกาลที่ 45.4 องศาเซลเซียส ชณะที่จังหวัดไซยะบุลี ของ สปป.ลาว ก็มีอุณหภูมิถึง 42.9 องศาเซลเซียส ทำลายสถิติแห่งชาติ โดยมีรายงานพบผู้เสียชีวิตเพราะฮีทสโตรกในไทย 2 ศพ แต่จำนวนที่แท้จริงอาจสูงกว่านี้ และมีผู้ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลจำนวนมาก

ตามรายงานขององค์กร World Weather Attribution ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยอิสระ พบว่า อากาศร้อนทุบสถิติในประเทศไทยรุนแรงขึ้นเพราะอัตราความชื้นสูง รวมถึงเหตุไฟป่าหลายจุดที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ส่วนที่ฟิลิปปินส์ มีอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส 5 วันติดต่อกัน ทำให้เด็กนักเรียนป่วยเป็นลมแดดร่วม 150 คน

ทั้งนี้ WWA ทำการศึกษาอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยในภูมิภาคเอเชีย และดัชนีความร้อนสูงสุด ซึ่งรวมถึงค่าความชื้นด้วย และพบว่า ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศทำให้โอกาสเกิดคลื่นความร้อนที่รุนแรงขึ้นด้วยความชื้น สูงขึ้นถึง 30 เท่า และคลื่นความร้อนนี้จะทำให้อากาศร้อนขึ้นกว่าตอนไม่มีปัจจัยจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างน้อย 2 องศาเซลเซียสด้วย

ผลการวิเคราะห์ยังพบว่า สภาพอากาศสุดขั้วเช่นนี้ในอินเดียกับบังกลาเทศ ซึ่งเมื่อก่อนจะเกิด 1 ครั้งในรอบ 100 ปี ตอนนี้คาดว่าจะเกิดทุกๆ 5 ปี เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศฝีมือมนุษย์

สำหรับประเทศไทยและลาว หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นถึง 2 องศาเซลเซียส ซึ่งจะเกิดขึ้นภายใน 30 ปีนี้ หากชาติต่างๆ ไม่รีบลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งสองประเทศอาจเผชิญสภาพอากาศสุดขั้วในทุกๆ 20 ปี แทนที่จะเป็นทุกๆ 2 ศตวรรษอย่างทุกวันนี้

"อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นต่อไป และเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น จนกว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะถูกหยุด" ทีมนักวิทยาศาสตร์ระบุในแถลงการณ์


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2695153


******************************************************************************************************


นักวิจัยไทย พบหอยกาบน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดใหม่ของโลกในแม่น้ำชีที่

นักวิจัยคณะวิทยาศาสตร์ มมส. ค้นพบ "หอยกาบน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดใหม่ของโลก" จากแม่น้ำชี ที่บ้านท่าขอนยาง และบ้านท่าสองคอน จ.มหาสารคาม แต่กลับใกล้สูญพันธุ์ โดยเล็งขยายพันธุ์เพิ่มให้ชาวบ้านเลี้ยง



เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2566 รศ.ดร.บังอร กองอิ้ม ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ทุนอุดหนุนการวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า หอยกาบน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดใหม่ของโลกนี้มีความยาวของเปลือกถึง 21 เซนติเมตร เป็นหอยกาบน้ำจืดสกุลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาหอยกาบน้ำจืดด้วยกัน สามารถเรียกว่า หอยกาบใหญ่แม่น้ำชี หรือ หอยกาบใหญ่ลุ่มน้ำโขง ซึ่งเป็นหอยกาบน้ำจืดชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในลุ่มน้ำโขง หรือเรียกว่า หอยกาบใหญ่ศาสตราจารย์สมศักดิ์ ปัญหา ดังชื่อวิทยาศาสตร์คือ Kongim, Sutcharit & Jeratthitikul, 2023 ซึ่งตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ ศาสตราจารย์ ดร. สมศักดิ์ ปัญหา ผู้จุดประกายให้ทำวิจัยสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังกลุ่มหอย

รศ.ดร.บังอร กองอิ้ม กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันหอยกาบชนิดนี้อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ เนื่องจากจำนวนลดลงมากจนแทบไม่พบตัวเป็น ทั้งนี้ รศ.ดร.บังอร กองอิ้ม และคณะ ได้สำรวจหอยชนิดนี้มาเป็นเวลาเกือบ 10 ปี พบตัวเป็นเพียง 2 ตัว เราโชคดีที่เมื่อปีที่แล้วได้พบ 1 ตัวเป็นช่วงหน้าแล้ง มีความยาวของเปลือก 21 ซม. น้ำหนัก 2.5 กก. จากนั้นเราก็ได้นำมาศึกษาค้นคว้าจนสามารถชี้ชัดว่าเป็นหอยกาบน้ำจืดชนิดใหม่ของโลกแน่นอน แต่ตอนนี้กลับพบว่ามีสถานะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มาก

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวด้วยว่า ตลอด 10 ปีนี้เราเจอตัวเป็นแค่ 2 ตัวเอง เพราะชาวบ้านใช้ประโยชน์จากหอยกาบด้วยการนำตัวมาประกอบอาหาร เป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญ หรือนำมาเลี้ยงสัตว์ ส่วนเปลือกหอยจะนำมาทำเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องประดับ ภาชนะใส่อาหาร เป็นต้น หรือเผาเปลือกเพื่อผลิตแคลเซียมคาร์บอเนต หรือ ปูนขาว ในธรรมชาติหอยกาบน้ำจืดจะทำหน้าที่กรองตะกอนในแหล่งน้ำทำให้น้ำใส เปลือกเมื่อถูกย่อยสลายจะช่วยหมุนเวียนแร่ธาตุคืนสู่ระบบนิเวศแหล่งน้ำ เรามองว่าอยากจะเพาะพันธุ์และขยายพันธุ์เพื่อให้ชาวบ้านเลี้ยงต่อไป.


https://www.thairath.co.th/news/local/northeast/2695085


******************************************************************************************************


"กรมทะเลและชายฝั่ง" สั่งสอบปมโพสต์ขาย ฉลามหนาม-ปลานกแก้ว วอนหยุดสนับสนุน

"กรมทะเลและชายฝั่ง" สั่งตรวจสอบกรณีโพสต์ขาย "ฉลามหนาม" กับ "ปลานกแก้ว" พร้อมวอนหยุดสนับสนุน การซื้อ-ขาย เพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศทางทะเล



จากกรณีตามที่มีข่าวการซื้อขายฉลามหนาม Echinorhinus brucus ผ่านเพจเฟซบุ๊ก "แพปลาลุงนิล ภูเก็ต" ซึ่งจับได้จากบริเวณห่างฝั่งของเกาะราชาน้อยไปทางทิศใต้ 40 ไมล์ทะเล งานนี้ทำเอาคนในโซเชียลและสังคมนักอนุรักษ์ออกมาปกป้องพร้อมแสดงความเป็นห่วง เมื่อสัตว์ทะเลหายากถูกจับมาขาย แทนที่จะอวดความสวยงามอยู่ในท้องทะเล และสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศ

ล่าสุด วันที่ 18 พ.ค. 2566 นายอภิชัย เอกวนากุล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (รรท.อทช.) เผยว่า หลังจากทราบข่าวว่ามีการประกาศซื้อขายฉลามหนามในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ตนรู้สึกเป็นกังวลใจอย่างมาก จึงมอบหมายให้สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 10 เร่งดำเนินการตรวจสอบข้อมูล จากการประสานเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม พบว่าชาวประมงได้มีการจับฉลามหนามในเขตทะเลที่ห่างฝั่งไป 40 ไมล์ทะเล จึงไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทั้งเชิงพื้นที่และชนิดพันธุ์

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์ฉลามดังกล่าว กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้เร่งประชาสัมพันธ์ไปยังชาวประมง นักตกปลา นักท่องเที่ยว และประชาชนทั่วไป หากท่านจับฉลามชนิดนี้ได้ ขอให้ปล่อยฉลาม และไม่ควรนำเนื้อฉลามหนามมาบริโภค เพราะอาจทำให้ได้รับสารพิษ ได้แก่ ปรอท แคดเมียม สารหนู ซึ่งหากร่างกายสะสมสารเหล่านี้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง โรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด และโรคเกี่ยวกับระบบประสาทได้

สำหรับฉลามหนามนั้น จะหากินบริเวณพื้นทะเลน้ำลึก 400-900 เมตร แต่อาจพบเข้ามาหากินบริเวณน้ำตื้นเป็นครั้งคราว พบแพร่กระจายทั่วโลกในเขตร้อนถึงเขตอบอุ่น บริเวณลำตัวมีสีม่วงน้ำตาลหรือดำ ขนาดโตเต็มวัยยาว 3.1 เมตร ในระดับโลกพบประชากรฉลามชนิดนี้มีจำนวนลดลงจนใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง จึงจัดเป็นสัตว์ทะเลหายากที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ เป็นนักล่าสัตว์น้ำในอันดับต้นๆ จะกินสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ที่กินสัตว์น้ำขนาดเล็ก ซึ่งทำให้เกิดความสมดุลของความหลากหลายในระบบนิเวศในบริเวณนั้นๆ การมีอยู่ของฉลามจึงเป็นตัวบ่งชี้ความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำในบริเวณนั้น

อย่างไรก็ดี กรมฯ พร้อมจะร่วมมือกับกรมประมงในการหาแนวทางการดำเนินงาน เพื่อการอนุรักษ์ฉลามหนาม พร้อมทั้งเร่งศึกษาสถานภาพของฉลามชนิดนี้ เพื่อเสนอเป็นสัตว์คุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ตลอดจนออกแบบมาตรการในการอนุรักษ์ในเชิงพื้นที่ โดยปัจจุบันกรมฯ อยู่ระหว่างการจัดทำพื้นที่คุ้มครองทางทะเล บริเวณไหล่ทวีปทางฝั่งตะวันตกของจังหวัดภูเก็ตและอันดามันตอนบน ซึ่งหากแล้วเสร็จจะมีส่วนช่วยรักษาแหล่งที่อยู่อาศัยของฉลามหนาม และชนิดพันธุ์สัตว์น้ำที่หายากอื่นๆ ได้เป็นจำนวนมาก

ขณะเดียวกัน ได้มีการร้องเรียนจากประชาชนมายังเพจเฟซบุ๊กกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ว่าพบการจำหน่ายปลานกแก้ว บริเวณตลาดเงินวิจิตร แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ตนได้สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 8 ร่วมกับกองป้องกันและปราบปราม ลงพื้นที่ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว จากการตรวจสอบในตลาด พบมีการจำหน่ายปลานกแก้ว จำนวน 5 ร้าน จึงได้เข้าไปพูดคุยกับเจ้าของร้าน และทำความเข้าใจเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ รณรงค์ร่วมกันไม่สนับสนุน ไม่ซื้อ ไม่รับประทานปลานกแก้ว เนื่องจากปลานกแก้วมีประโยชน์ในการสร้างสมดุลของระบบนิเวศแนวปะการัง

สำหรับปลานกแก้ว เป็นปลาทะเลที่มีปากคล้ายนกแก้ว สีสันสวยงาม จึงมีผู้นิยมจับมาดูเล่นและนำมาเป็นอาหาร ทำให้ประชากรปลานกแก้วลดลง ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรวมเสียสมดุล ปะการังตายมากขึ้น ฟื้นตัวช้า เพราะปลานกแก้วมีหน้าที่สำคัญคือการกินสาหร่ายที่มักขึ้นคลุมแนวปะการังหลังปะการังตายจากเหตุปะการังฟอกขาว ถ้าไม่มีปลานกแก้ว สาหร่ายจะขึ้นคลุมพื้นที่ ทำให้ตัวอ่อนปะการังไม่มีที่ลงเกาะ แล้วก็จะไม่มีปะการังตัวอ่อนมาทดแทนตัวเก่า จึงทำให้ปลานกแก้วเป็นสัตว์ทะเลที่ต้องอนุรักษ์ และมีการรณรงค์ให้หยุดกิน

อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ยังไม่มีกฎหมายออกมาคุ้มครองฉลามหนามและปลานกแก้ว แต่สัตว์ทะเลทั้งสองชนิดนี้ ถือเป็นสัตว์ทะเลที่หายาก ควรคู่แก่การอนุรักษ์ หากจับมาขายหรือซื้อมาเพื่อรับประทาน อาจจะสร้างความเสียหายให้แก่ความสมดุลของระบบนิเวศทางทะเล ดังนั้น ขอความร่วมมือจากชาวประมงที่ใช้เครื่องมือประมงต่างๆ โดยเฉพาะเรือตกเบ็ด หากตกได้ อยากให้ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติดังเดิม และประชาชนไม่ควรสนับสนุนการซื้อขายมารับประทาน.


https://www.thairath.co.th/news/local/2694924

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 19-05-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจ


เปิดภาพ 3 มิติซากเรือไททานิคเต็มลำ ครั้งแรกหลังจมสู่ก้นทะเลในปี 1912


ภาพจาก BBC

เปิดภาพสแกน 3 มิติ ซากเรือ "ไททานิค" เต็มลำครั้งแรก หลังจมสู่ก้นทะเลตั้งแต่ปี 1912 จากภาพถ่ายทุกมุมกว่า 700,000 ภาพโดนยานสำรวจ ทุ่งของเศษซาก ขวดแชมเปญที่ยังไม่เปิด ทรัพย์สินส่วนตัว และรองเท้าหลายสิบคู่บนพื้นทะเล ยังคงสะท้อนค่ำคืนอันน่าเศร้าแห่งโศกนาฏกรรม

วันที่ 18 พฤษภาคม 2566 เปิดภาพสแกน 3 มิติของซากเรือ "ไททานิค" ครั้งแรก หลังชนกับภูเขาน้ำแข็งและอับปางลงในช่วงเช้ามืดของวันที่ 15 เมษายน ปี 1912 เป็นโศกนาฏกรรมทางทะเลครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งโดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 1,500 คน

"พาร์ค สตีเฟนสัน" นักวิเคราะห์เกี่ยวกับเรือไททานิค กล่าวกับ BBC ว่า ภาพ 3 มิติของเรือไททานิคที่นอนสงบนิ่งลึกลงไปกว่า 3,800 เมตร (12,500 ฟุต) ใต้มหาสมุทรแอตแลนติก ถูกสร้างขึ้นจากการทำแผนที่ใต้ทะเลลึกและการสแกนดิจิทัลเต็มขนาดครั้งแรก โดยภาพดังกล่าวจะช่วยให้เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรือสำราญลำนี้ซึ่งจมลงในปี 1912 หรือกว่า 111 ปีมาแล้ว โดยมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,500 คน จากโศกนาฏกรรมที่เรือชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็งในการเดินทางครั้งแรกจากเซาแธมป์ตัน ประเทศอังกฤษ ไปยัง นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

แบบจำลองนี้เป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญอันดับแรก ๆ ในการขับเคลื่อนเรื่องราวของเรือไททานิคไปสู่การศึกษาวิจัยไม่ใช่เรื่องของการค้า เรือไททานิคได้รับการสำรวจหลายครั้ง ตั้งแต่ถูกค้นพบซากในปี 1985 แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่มากประกอบกับความมืดมิดก้นมหาสมุทร การสำรวจที่ผ่านมาจึงทำให้เห็นภาพเรือได้เพียงบางส่วนเท่านั้น

แต่การสแกนครั้งใหม่นี้สามารถจับภาพของซากเรือได้ทั้งหมด และเผยให้เห็นถึงมุมมองที่สมบูรณ์ของเรือไททานิค ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ หัวเรือ และ ท้ายเรือ ที่แยกออกจากกันประมาณ 800 เมตร (2,600 ฟุต) พร้อมทุ่งของเศษซากขนาดใหญ่ที่รายล้อมอยู่รอบ ๆ

การสำรวจครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นในฤดูร้อนปี 2022 โดย "Magellan Ltd" บริษัททำแผนที่ใต้ทะเลลึกและ "Atlantic Productions" ที่กำลังสร้างสารคดีเกี่ยวกับโครงการนี้ ภาพของเรือที่ปรากฏ เกิดจากเรือดำน้ำที่ถูกควบคุมระยะไกลจากทีมงานบนเรือผิวน้ำ โดยใช้เวลารวมกว่า 200 ชั่วโมงในการสำรวจความยาวและความกว้างของซากเรือ

"Gerhard Seiffert" จาก Magellan ผู้นำในการวางแผนสำรวจ กล่าวว่า พวกเขาถ่ายภาพมากกว่า 700,000 ภาพจากทุกมุมและสร้างโครงสร้าง 3 มิติ นี่เป็นโครงการสแกนใต้น้ำที่ใหญ่ที่สุดที่เขาเคยทำมา

ความลึกเกือบ 4,000 เมตร และกระแสน้ำที่จุดสำรวจคือความท้าทาย ที่สำคัญเราไม่ได้แตะต้องสิ่งใดเพื่อไม่ให้ซากเรือเสียหาย อีกอย่างคือเราต้องสร้างแผนที่ทุกตารางเซนติเมตร แม้แต่ส่วนที่ไม่น่าสนใจ เช่น บนพื้นที่ของเศษซากที่กระจัดกระจาย เราต้องสร้างแผนที่โคลนเพื่อใช้เติมเต็มการสำรวจวัตถุที่สนใจ

แม้หัวเรือไททานิคตอนนี้จะถูกปกคลุมด้วยหินย้อยที่เป็นสนิม แต่ยังคงเป็นที่จดจำได้ทันทีแม้เรือจะอับปางไปมากกว่า 100 ปีก็ตาม ด้านบนเป็นดาดฟ้าเรือที่มีรูเปิดให้เห็นช่องว่างซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบันไดขนาดใหญ่ และท้ายเรือเป็นเศษโลหะที่กระจัดกระจายเนื่องจากส่วนนี้ของเรือพังทลายลงในขณะที่มันหมุนคว้างลงสู่พื้นทะเล

"ในทุ่งเศษซากโดยรอบปรากฏให้เห็นสิ่งของต่าง ๆ ที่กระจัดกระจาย ทั้งงานโลหะอันวิจิตรจากเรือ รูปปั้น และขวดแชมเปญที่ยังไม่เปิด นอกจากนี้ยังมีทรัพย์สินส่วนตัวรวมถึงรองเท้าหลายสิบคู่ที่วางอยู่บนตะกอน"

พาร์ค สตีเฟนสัน กล่าวต่อว่า รู้สึกทึ่งเมื่อได้เห็นภาพสแกนครั้งแรก มันช่วยให้เราเห็นซากเรืออย่างที่ไม่เคยเห็นได้อย่างครบถ้วน การสแกนภาพ 3 มิติ ครั้งนี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรือไททานิคในคืนแห่งโศกนาฏกรรมเมื่อปี 1912 นอกจากนี้การศึกษาท้ายเรือสามารถเปิดเผยวิธีที่เรือกระแทกพื้นทะเลด้วย

"เราไม่เข้าใจลักษณะของการชนกับภูเขาน้ำแข็ง จริง ๆ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอ (ไททานิค) ชนเข้าทางกราบขวาหรือไม่ดังที่แสดงในภาพยนตร์"

ปัจจุบันทะเลและจุลินทรีย์กำลังทำลายซากเรือ ชิ้นส่วนต่าง ๆ ถูกกัดกินและสลายตัวไป นักประวัติศาสตร์ต่างตระหนักดีว่าเวลาสำหรับการศึกษาและเข้าใจอุบัติเหตุทางทะเลของไททานิคกำลังจะหมดลง แต่การสแกนและภาพ 3 มิติในตอนนี้เหมือนทำให้ซากเรือหยุดนิ่งในกาลเวลา และจะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญเจาะลึกทุกรายละเอียดได้

"ยังมีคำถามมากมายเกี่ยวกับไททานิคที่ยังรอการค้นหาคำตอบอยู่ ภาพ 3 มิติในครั้งนี้อาจทำให้เรือเผยความลับบางอย่างออกมาก็เป็นได้"


https://www.prachachat.net/d-life/news-1295677

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 19-05-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก Nation TV


อุตุนิยมวิทยาโลกออกคำเตือนใหม่ เผย 98% ที่โลกมีโอกาสร้อนสุดในประวัติการณ์



องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ออกรายงานฉบับใหม่ล่าสุด เตือนอุณหภูมิโลกจะเพิ่มทะลุ 1.5 องศาเซลเซียสครั้งแรก สาเหตุเพราะ "เอลนีโญ" หวั่นมีโอกาสสูงถึง 98% ที่ 1-5 ปีข้างหน้าจะเป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์โลกเท่าที่เคยมีมา

เรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมนุษย์โลกมากขึ้น โดยเฉพาะคนไทยที่เริ่มบ่นถึงอากาศร้อนอบอ้าวในขณะนี้ ซึ่งล่าสุด World Meteorological Organization (WMO) หรือองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ได้ออกรายงานใหม่ ระบุว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่อุณหภูมิโลกมีโอกาสทะลุ 1.5 องศาเซลเซียส อันเนื่องมาจากสาเหตุใหญ่คือ ?เอลนีโญ? ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้

"นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีแนวโน้มว่าโลกเราจะร้อนเกิน 1.5 องศาเซลเซียส" Adam Scaife หัวหน้าฝ่ายคาดการณ์ระยะยาวของ WMO กล่าว

นอกจากนี้ Adam Scaife ยังบอกว่าเอลนีโญมีส่วนให้อุณหภูมิสูงขึ้นและจะผสานเข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เกิดจากมนุษย์ ทำให้เกิดอากาศแปรปรวนรุนแรงมากขึ้นไปอีก โดยผลที่ตามมาคือมันจะทำให้น้ำทะเลในมหาสมุทรอุ่นขึ้น เพิ่มความร้อนของอากาศด้านบน และไปเพิ่มอุณหภูมิโลกให้สูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยกล่าวว่าอุณหภูมิที่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสนี้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวภายในปี 2027 นี้ และอาจลดลงหลังจากนั้น ไม่ใช่เพิ่มขึ้นถาวร ทว่า ก็ไม่ใช่เรื่องที่หลายฝ่ายจะสบายใจได้

ทั้งนี้ การที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นทะลุ 1.5 องศาเซลเซียส แม้เพียงปีเดียวก็เป็นสัญญาณที่น่ากังวลว่า "ภาวะโลกร้อน" กำลังเร่งตัวขึ้น โดยการประเมินก่อนหน้านี้ในปี 2017 - 2021 ความคิดที่นักวิทยาศาสตร์คิดว่าโลกจะร้อนขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส มีเพียง 10% แต่ปรากฏว่าเมื่อปี 2022 นักวิทยาศาสตร์ต่างบอกว่ามีโอกาสถึง 50-50

ตัวเลขโอกาสในการเกิดยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้มากขึ้นอยู่ที่ 66% ในปัจจุบันถ้ามันเกิดขึ้น รายงานเชื่อว่ามีโอกาส 98% ที่ใน 1-5 ข้างหน้าจะเป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ สิ่งนี้จะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อทั้งสุขภาพ ความมั่นคงทางอาหาร การจัดการน้ำ และสิ่งแวดล้อม อาทิ อาร์กติกจะร้อนเร็วกว่าส่วนอื่นๆ ของโลก ปริมาณฝนจะน้อยลงในอเมซอน อเมริกากลาง ออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นข่าวร้ายอย่างยิ่งสำหรับอเมซอน ที่ผู้เชี่ยวชาญกำลังกังวลว่าความร้อนรุนแรงและการตัดไม้ทำลายป่าอาจทำให้อเมซอนเริ่มเปลี่ยนจากป่าฝนเป็นป่าแห้งแล้ง และมันจะมีผลกระทบต่อโลก เพราะป่าฝนเป็นหนึ่งในแหล่งกักเก็บคาร์บอนขนาดใหญ่

"รายงานนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะเกินระดับ 1.5 องศาเซลเซียสอย่างถาวรตามที่ระบุไว้ในข้อตกลงปารีส ซึ่งหมายถึงภาวะโลกร้อนในระยะยาวเป็นเวลาหลายปี" ศาสตราจารย์ Petteri Taalas เลขาธิการ WMO กล่าวย้ำ

อย่างไรก็ตาม WMO กำลังส่งสัญญาณเตือนว่า โลกเราจะร้อนขึ้นทะลุระดับ 1.5 องศาเซลเซียส เป็นการชั่วคราวด้วยความร้อนที่ถี่เพิ่มขึ้น ดังนั้น เราทุกคนจึงมีส่วนที่จะช่วยกันลดอัตราการเกิด หรือชะลอเวลาในการเกิดหายนะครั้งนี้


https://www.nationtv.tv/gogreen/378916215

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 19-05-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก Greennews


ผลสอบกรมทะเล "ขายเนื้อฉลามหนามออนไลน์ ภูเก็ต" ไม่ผิดกฏหมาย



เล็งหาทางออกด้วยการประกาศขึ้นบัญชีเป็นสัตว์หายากคุ้มครองตามกฎหมาย พร้อมสปีชีส์สัตว์หายากอื่นที่ รวมถึงปลานกแก้ว ที่ตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายกัน

ยอมรับ ตอนนี้กรมฯ ทำได้เพียง รณรงค์ขอความร่วมมือ "ปล่อยคืนทะเลหากจับได้" เพื่อระบบนิเวศทะเลไทย


ไม่ผิดกฎหมาย เตือนอาจอันตรายหากกิน

"ตามที่มีข่าวการซื้อขายปลาฉลามหนาม Echinorhinus brucus ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ?แพปลาลุงนิล ภูเก็ต? ซึ่งจับได้จากบริเวณห่างฝั่งของเกาะราชาน้อยไปทางทิศใต้ 40 ไมล์ทะเล งานนี้ทำเอาคนในโซเชียลและสังคมนักอนุรักษ์ออกมาปกป้องพร้อมแสดงความเป็นห่วงเมื่อสัตว์ทะเลหายากถูกจับมาขาย แทนที่จะอวดความสวยงามอยู่ในท้องทะเล และสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศ

ภายหลังจากที่ทราบข่าวว่ามีการประกาศซื้อขายปลาฉลามหนามในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตผ่านเพจเฟซบุ๊ก กรมฯ ได้มอบหมายให้สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 10 เร่งดำเนินการตรวจสอบข้อมูล

จากการประสานเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า ชาวประมงได้ มีการจับปลาฉลามหนาม ในเขตทะเลที่ห่างฝั่งไป 40 ไมล์ทะเล จึงไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทั้งเชิงพื้นที่และชนิดพันธุ์

อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์ฉลามดังกล่าว กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้เร่งประชาสัมพันธ์ไปยังชาวประมง นักตกปลา นักท่องเที่ยว และประชาชนทั่วไป หากท่านจับปลาฉลามชนิดนี้ได้ ขอให้ปล่อยฉลาม และไม่ควรนำเนื้อฉลามหนามมาบริโภค เพราะอาจทำให้ได้รับสารพิษได้แก่ ปรอท แคดเมียม สารหนู ซึ่งหากร่างกายสะสมสารเหล่านี้ต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง โรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด และโรคเกี่ยวกับระบบประสาทได้"

อภิชัย เอกวนากุล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (รรท.อทช.) แถลงผ่านรายงานข่าวกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เผยแพร่วันนี้ (18 พ.ค. 2566)


สปีชีส์หายาก เล็งหาทางขึ้นทะเบียน "สัตว์คุ้มครอง"

"ปลาฉลามหนามหากินบริเวณพื้นทะเลน้ำลึก 400-900 เมตร อาจพบเข้ามาหากินบริเวณน้ำตื้นเป็นครั้งคราว พบแพร่กระจายทั่วโลกในเขตร้อนถึงเขตอบอุ่น บริเวณลำตัวมีสีม่วงน้ำตาลหรือดำ ขนาดโตเต็มวัยยาว 3.1 เมตร

ในระดับโลกพบประชากรปลาฉลามชนิดนี้ มีจำนวนลดลงจนใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งจึงจัดเป็นสัตว์ทะเลหายากที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ เป็นนักล่าสัตว์น้ำในอันดับต้นๆ จะกินสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ที่กินสัตว์น้ำขนาดเล็กซึ่ง ทำให้เกิดความสมดุลของความหลากหลายในระบบนิเวศในบริเวณนั้นๆ การมีอยู่ของฉลามจึงเป็นตัวบ่งชี้ความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำในบริเวณนั้น

กรมฯ พร้อมจะร่วมมือกับกรมประมงในการหาแนวทางการดำเนินงานเพื่อการอนุรักษ์ปลาฉลามหนาม พร้อมทั้งเร่งศึกษาสถานภาพของฉลามชนิดนี้ เพื่อเสนอเป็นสัตว์คุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ตลอดจนออกแบบมาตรการในการอนุรักษ์ในเชิงพื้นที่

ปัจจุบันกรมฯ อยู่ระหว่างการจัดทำพื้นที่คุ้มครองทางทะเลบริเวณไหล่ทวีปทางฝั่งตะวันตกของจังหวัดภูเก็ตและอันดามันตอนบน ซึ่งหากแล้วเสร็จจะมีส่วนช่วยรักษาแหล่งที่อยู่อาศัยของปลาฉลามหนามและชนิดพันธุ์สัตว์น้ำที่หายากอื่นๆ ได้เป็นจำนวนมาก" รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าว


วางขายปลานกแก้ว กลางกรุง

"นอกจากนี้ ล่าสุดได้มีการร้องเรียนจากประชาชนมายังเพจเฟซบุ๊กกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ว่าพบการจำหน่ายปลานกแก้ว บริเวณตลาดเงินวิจิตร แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ตนได้สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 8 ร่วมกับกองป้องกันและปราบปราม ลงพื้นที่ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว

จากการตรวจสอบในตลาดพบมีการจำหน่ายปลานกแก้ว จำนวน 5 ร้าน จึงได้เข้าไปพูดคุยกับเจ้าของร้านและทำความเข้าใจเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ รณรงค์ร่วมกันไม่สนับสนุน ไม่ซื้อ ไม่รับประทานปลานกแก้ว เนื่องจากปลานกแก้วมีประโยชน์ในการสร้างสมดุลของระบบนิเวศแนวปะการัง

สำหรับปลานกแก้ว เป็นปลาทะเลที่มีปากคล้ายนกแก้ว สีสันสวยงาม จึงมีผู้นิยมจับมาดูเล่นและนำมาเป็นอาหาร ทำให้ประชากรปลานกแก้วลดลง ส่งผลกระทบระบบนิเวศโดยรวมเสียสมดุล ปะการังตายมากขึ้น ฟื้นตัวช้า เพราะปลานกแก้วมีหน้าที่สำคัญคือการกินสาหร่ายที่มักขึ้นคลุมแนวปะการังหลังปะการังตายจากเหตุปะการังฟอกขาว ถ้าไม่มีปลานกแก้ว สาหร่ายจะขึ้นคลุมพื้นที่ทำให้ตัวอ่อนปะการังไม่มีที่ลงเกาะ แล้วก็จะไม่มีปะการังตัวอ่อนมาทดแทนตัวเก่า จึงทำให้ปลานกแก้วเป็นสัตว์ทะเลที่ต้องอนุรักษ์ และมีการรณรงค์ให้หยุดกิน" รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าว


ทำได้เพียง "รณรงค์"

"จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ยังไม่มีกฎหมายออกมาคุ้มครองปลาฉลามหนาม และปลานกแก้ว แต่สัตว์ทะเลทั้งสองชนิดนี้ถือเป็นสัตว์ทะเลที่หายากควรคู่แก่การอนุรักษ์ หากจับมาขายหรือซื้อมาเพื่อรับประทาน อาจจะสร้างความเสียหายให้แก่ความสมดุลของระบบนิเวศทางทะเล

กรมฯ จึงขอความร่วมมือจากชาวประมงที่ใช้เครื่องมือประมงต่างๆ โดยเฉพาะเรือตกเบ็ด หากตกได้อยากให้ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติดังเดิม และประชาชนไม่ควรสนับสนุนการซื้อขายมารับประทาน เพราะฉะนั้น เราควรช่วยกันเป็นหูเป็นตา ช่วยเจ้าหน้าที่สอดส่องดูแลทรัพยากรทางทะเลและสัตว์ทะเลหายาก ไม่ให้ถูกกระทำด้วยผู้ที่หวังแต่ผลประโยชน์ ไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อระบบนิเวศทางทะเลในอนาคต หากพบเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก ให้รีบแจ้งเบาะแสมายังสายด่วนพิทักษ์ป่าและรักษาทะเล โทร. 1362 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเจ้าหน้าที่จะเร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบได้ทันท่วงที " รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผย


https://greennews.agency/?p=34649

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:54


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger