เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 06-07-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


เข้าใจการเกิด "เอลนีโญ" เพื่อร่วมลดความรุนแรงปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ทุกคนช่วยได้



ด้วยปรากฏการณ์ "เอลนีโญ" ที่กำลังทวีความรุนแรง ทำให้ขณะนี้เมืองไทยเผชิญทั้งความร้อนและภัยแล้งจัด ไทยพีบีเอสขอนำข้อมูลมาให้ได้ทราบว่า อะไร ? คือสาเหตุปรากฏการณ์นี้ เพื่อร่วมลดความรุนแรงของการเกิด "เอลนีโญ" ที่ทุกคนช่วยได้


อะไร ? ทำให้เกิด "เอลนีโญ"

เอลนีโญ (El Ni?o) เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างการหมุนเวียนของกระแสอากาศกับกระแสน้ำในมหาสมุทร ซึ่งปกติแล้วในมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งกั้นระหว่างทวีปเอเชียและทวีปอเมริกา จะมีกระแสลมหรือเรียกว่าลมค้า (Trade winds) ซึ่งพัดจากด้านตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังด้านตะวันตก ซึ่งจะทำให้กระแสน้ำอุ่นไหลจากอเมริกาใต้มายังประเทศอินโดนีเซีย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดฝนตกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แต่หากกระแสลมมีกำลังอ่อนและเปลี่ยนทิศทางพัด จะทำให้กระแสน้ำอุ่นไหลไปยังทวีปอเมริกาใต้แทน ด้วยเหตุนี้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลียจึงขาดฝนและเกิดความแห้งแล้ง รวมถึงไฟป่าอย่างรุนแรง กลายเป็นที่มาของปรากฏการณ์ "เอลนีโญ"


รู้ได้ว่า "เอลนีโญ" จะเกิดขึ้นตอนไหน ? ด้วย "ดาวเทียม"

ในปี 66 นับตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ด้วยหลักฐานจากข้อมูลจากดาวเทียม แสดงให้เห็นถึงปรากฏการณ์ "เอลนีโญ" กำลังจะหวนกลับมาอีกครั้ง ซึ่งสามารถทราบได้โดยการวัดอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลด้วยการใช้เซนเซอร์ที่ติดตั้งบนดาวเทียม ควบคู่กับเซนเซอร์ที่ติดตั้งบนทุ่นลอยน้ำในมหาสมุทร เป็นหนึ่งในวิธีการที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ตรวจจับการมาของปรากฏการณ์ "เอลนีโญ" ได้อย่างแม่นยำ

โดยดาวเทียมสามารถตรวจวัดความสูงของระดับของผิวน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นจากน้ำทะเลโดยเฉลี่ยได้ เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้โมเลกุลของน้ำเกิดการขยายตัวทำให้ปริมาณของน้ำเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ประกอบกับกระแสลมที่พัดอย่างต่อเนื่องซึ่งมีผลต่อระดับผิวน้ำทะเลเช่นกัน

สำหรับสภาพระดับน้ำทะเลปกติ ข้อมูลภาพจะแสดงด้วยโทนสีขาว ส่วนโทนสีแดงหมายถึงบริเวณที่ระดับน้ำทะเลมีค่าสูงกว่าปกติ จะมาจากข้อมูลของดาวเทียม Sentinel-6 และ Sentinel-3B ซึ่งวิเคราะห์โดยนักวิทยาศาสตร์ที่ Jet Propulsion Laboratory (JPL) ของ NASA

จากรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 66 โดยศูนย์พยากรณ์อากาศขององค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NOAA) ประกาศว่า ได้เกิดปรากฏการณ์ ?เอลนีโญ? รายงานได้ชี้ไปที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในบริเวณ Ni?o 3.4 ของแปซิฟิกเขตร้อน (จากลองจิจูด 170? องศาตะวันตก ถึง 120? องศาตะวันตก) ในเดือน พ.ค. 66 แสดงให้เห็นว่าอุณหภูมิอยู่ที่ 0.8?C (1.4?F) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย

โดยนักพยากรณ์คาดการณ์ว่าสภาวะ "เอลนีโญ" จะค่อย ๆ รุนแรงขึ้นช่วงฤดูหนาวแถบซีกโลกเหนือในปี 66-67 ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น มีการคาดการณ์ว่ามีโอกาสถึง 60% ที่จะเกิดปรากฏการณ์ ?เอลนีโญ? แรงระดับปานกลาง และมีโอกาส 56% ที่จะเกิดอย่างรุนแรง

อย่างไรก็ตาม จากสถิติ ณ เดือน มิ.ย. 66 แสดงให้เห็นว่าปรากฏการณ์ "เอลนีโญ" ยังไม่ส่งผลกระทบรุนแรงเท่ากับปีที่เคยเกิดเอลนีโญมาแล้ว เมื่อเทียบในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีนักวิทยาศาสตร์ได้ให้ความเห็นไว้ว่า ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าปรากฏการณ์เอลนีโญที่กำลังเกิดขึ้นในรอบปีนี้จะส่งผลกระทบรุนแรงกว่าครั้งที่ผ่าน ๆ มา


ทำไม? "อุณหภูมิน้ำทะเลมหาสมุทรแปซิฟิก" ส่งผลกับสภาพอากาศทั่วโลก

ด้วยความที่ร้อยละ 70 ของพื้นผิวโลกถูกปกคลุมด้วยมหาสมุทร จึงมีผลอย่างมากต่อสภาพภูมิอากาศ เพราะมหาสมุทรสามารถกักเก็บความร้อนไว้ได้ดี แล้วจึงค่อย ๆ ปล่อยความร้อนออกมา ทำให้กระแสน้ำในมหาสมุทรสามารถไหลไปยังที่ต่าง ๆ ในระยะทางไกลได้ นอกจากนี้กระแสน้ำทำให้อุณหภูมิผิวน้ำเปลี่ยนแปลงไปซึ่งส่งผลต่อสภาพอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณชายฝั่งทะเล

และเนื่องจากอากาศเหนือกระแสน้ำอุ่นจะอุ่น (และอากาศเหนือกระแสน้ำเย็นจะเย็น) อากาศที่เคลื่อนที่จากทะเลมาสู่ฝั่งพร้อมกันกับกระแสน้ำจะมีผลทำให้อุณหภูมิของอากาศบนผืนดินเปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิของกระแสน้ำ เช่น กระแสน้ำอุ่นแอตแลนติกเหนือที่ไหลเลียบฝั่งตะวันตกทวีปยุโรป จะทำให้ในฤดูหนาว อากาศจะไม่หนาวจัด เป็นต้น

โดยช่วงที่เกิด "เอลนีโญ" ความร้อนส่วนเกินจำนวนมหาศาลทางตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อน จะถูกนำพาไปรอบโลกโดยการหมุนเวียนของบรรยากาศ* ทำให้สภาพอากาศที่เป็นปกติในหลายภูมิภาคเปลี่ยนแปลงไป อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรอินเดียและแอตแลนติกก็เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งมีผลกระทบต่อลักษณะภูมิอากาศในมหาสมุทรอินเดียแอตแลนติก และพื้นทวีปข้างเคียงบรรยากาศที่อยู่เหนือมหาสมุทรเหล่านี้ สัมพันธ์กับพื้นน้ำที่อยู่เบื้องล่างจะช่วยขยายการแปรปรวนของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลออกไป สร้างผลกระทบต่อภูมิอากาศทั่วโลก โดยในเขตอบอุ่นและเขตหนาวผลกระทบจาก "เอลนีโญ" ที่เกิดแต่ละครั้งจะผันแปรไปมากกว่าในเขตร้อน


"เอลนีโญ" ก่อให้เกิดภัยร้ายอะไรบ้าง ?

ทำให้อุณหภูมิโลกอาจเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส
อันจะส่งผลอาจทำให้เกิดน้ำท่วมอย่างหนัก เกิดความแห้งแล้ง ไฟป่า รวมถึงการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง


"ไซโคลน" จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

แม้ "เอลนีโญ" อาจทำให้เกิดพายุเฮอริเคนในมหาสมุทรแอตแลนติกน้อยลงกว่าเดิม แต่กลับตรงกันข้ามในมหาสมุทรแปซิฟิก เนื่องจากน้ำอุ่นสามารถก่อให้เกิดไซโคลนที่รุนแรงขึ้นได้


ปะการังฟอกขาว

หลังจากน้ำทะเลมีความร้อนที่มากเกินไป จะส่งผลให้ปะการังคายสาหร่ายที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อออกมา ซึ่งมีหน้าที่ให้สีและพลังงานส่วนใหญ่แก่ปะการัง ทำให้เปลี่ยนไปกลายเป็นสีขาว และถึงแม้ว่าปะการังจะฟื้นตัวได้หากอุณหภูมิเย็นลง แต่การฟอกขาวมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ปะการังอดอาหารและตายได้ในที่สุด


น้ำแข็งที่ทวีปแอนตาร์กติกาละลายเร็วขึ้นกว่าเดิม

จากผลวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ซึ่งศึกษาน้ำแข็งที่ทวีปแอนตาร์กติกา พบว่า "เอลนีโญ" จะช่วยเร่งให้น้ำแข็งแอนตาร์กติกาละลายเร็วขึ้นได้ ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น


ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หนทางแก้การเกิด "เอลนีโญ"

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization : WMO) ได้เปิดเผยว่า อากาศที่ร้อนขึ้นจะยิ่งทำให้ปรากฏการณ์ ?เอลนีโญ? มีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากการเกิด "เอลนีโญ" มีสาเหตุหลักมาจากการปล่อย "ก๊าซเรือนกระจก" ดังนั้นการจะทำให้ "เอลนีโญ" รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ลดความรุนแรงลง พวกเราทุกคนต้องช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกันอย่างจริงจังมากขึ้น อันจะเป็นหนทางสำคัญที่จะช่วยคืนความสมดุลให้กับโลกใบนี้ ลดความรุนแรงของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างได้ผลที่สุด


*หมายเหตุ : โลกมีสัณฐานเป็นทรงกลม โคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ใช้เวลา 1 ปี หากโลกไม่หมุนรอบตัวเอง บริเวณเส้นศูนย์สูตรของโลกจะเป็นแถบความกดอากาศต่ำ (L) มีอุณหภูมิสูง เนื่องจากแสงอาทิตย์ตกกระทบเป็นมุมฉาก ส่วนบริเวณขั้วโลกทั้งสองจะเป็นแถบความกดอากาศสูง (H) มีอุณหภูมิต่ำ เนื่องจากแสงอาทิตย์ตกกระทบเป็นมุมลาดขนานกับพื้น อากาศร้อนบริเวณศูนย์สูตรยกตัวขึ้นทำให้อากาศเย็นบริเวณขั้วโลกเคลื่อนตัวเข้าแทนที่ การหมุนเวียนของบรรยากาศบนซีกโลกทั้งสองเรียกว่า "แฮดเลย์ เซลล์" (Hadley cell) แต่ความเป็นจริง โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ใช้เวลา 24 ชั่วโมง เซลล์การหมุนเวียนของบรรยากาศ จึงแบ่งออกเป็น 3 เซลล์ ได้แก่ แฮดเลย์ เซลล์ (Hadley cell), เฟอร์เรล เซลล์ (Ferrel cell) และ โพลาร์ เซลล์ (Polar cell) ในแต่ละซีกโลก


แหล่งข้อมูลอ้างอิง : สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) : Gistda, ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์ (LESA), กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization : WMO)


https://www.thaipbs.or.th/now/content/199

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:02


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger