เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 06-07-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม 2566

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยและอ่าวไทย ในขณะที่ลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศเวียดนามตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย

สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 6 - 11 ก.ค. 66 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยตอนบน และอ่าวไทย ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศเวียดนามตอนบน ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนอง ในขณะที่ในช่วงวันที่ 8 ? 10 ก.ค. 66 ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง

ในช่วงวันที่ 6 - 7 ก.ค. 66 สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและ อ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร โดยบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 8 - 11 ก.ค. 66 คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร โดยบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 8 ? 10 ก.ค. 66 ขอให้ประชาชนบริเวณภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 06-07-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


อย่าหาทำ! พบงานอีเวนต์โชว์ "งูสมิงทะเล" เตือนพิษแรงกว่างูเห่า 2-10 เท่า

Drama-addict เตือนความอันตรายของ "งูสมิงทะเล" หลังพบงานอีเวนต์โชว์งูพิษให้ประชาชนสามารถแตะตัวได้ หวั่นโดนกัด เผยพิษแรงกว่างูเห่า 2-10 เท่า



วันนี้ (5 ก.ค.) เพจ "Drama-addict" ออกมาโพสต์ข้อความเตือนภัยเกี่ยวกับความรุนแรงของพิษจาก "งูสมิงทะเล" หลังพบงานหนึ่งมีการแสดงงูสมิงทะเล อีกทั้งให้ประชาชนสามารถแตะงูสมิงทะเลได้ ซึ่งทางเพจห่วงว่าหากโดนงูกัดจะทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ทั้งนี้ ทางเพจได้ระบุข้อความว่า

"ในเฟซฯ เห็นจับงูสมิงทะเลในงานกันหลายคนเลยแฮะ ถ้าโดนงูตัวนี้กัด และพิษเข้าสู่กระแสเลือด พิษของงูตัวนี้แรงกว่างูเห่า 2-10 เท่า จะไปออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท

ทำให้เป็นอัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนแรง ตอนแรกจะเริ่มหนังตาตก อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ทรงตัวไม่อยู่ จากนั้นจะเริ่มเหนื่อยเพราะกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจเริ่มเป็นอัมพาต สุดท้าย จะไม่สามารถหายใจเองได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาก็ตายในไม่กี่นาที หลังจากไม่หายใจ

ปกติการรักษาจะใส่ท่อช่วยหายใจแล้วรักษาตามอาการ ถ้าเป็นงูเห่า พวกนั้นมีเซรุ่มใช้ต้านพิษทำให้อาการดีขึ้นไว ไม่นานก็ถอดท่อช่วยหายใจได้ แต่งูสมิงทะเล ไม่มีเซรุ่มในไทย ดังนั้นทำได้แค่ใส่ท่อช่วยหายใจ แล้วนอนแหม่บไปเรื่อยๆ จนกว่าพิษจะหมดฤทธิ์ ไม่รู้นานแค่ไหน

วิธีรักษา หากเกิดเหตุคนโดนงูพิษที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทกัด เช่นที่เป็นข่าวว่ามีการแสดงงูสมิงทะเล ซึ่งเป็นงูทะเลในงานอีเวนต์หนึ่ง และให้ประชาชนทั่วไปสามารถแตะงูสมิงทะเลได้ ถ้าโดนงูตัวนี้กัด และพิษเข้าสู่กระแสเลือด พิษของงูตัวนี้แรงกว่างูเห่า 2-10 เท่า จะไปออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ทำให้เป็นอัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนแรง ตอนแรกจะเริ่มหนังตาตก อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ทรงตัวไม่อยู่ แขนขาอ่อนแรง ขยับแขนขาไม่ได้ จากนั้นจะเริ่มเหนื่อยเพราะกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจเริ่มเป็นอัมพาต สุดท้ายจะไม่สามารถหายใจเองได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาก็ตายในไม่กี่นาทีหลังจากไม่หายใจ ปรกติการรักษาจะใส่ท่อช่วยหายใจ แล้วรักษาตามอาการ ถ้าเป็นงูเห่า พวกนั้นมีเซรุ่มใช้ต้านพิษ ทำให้อาการดีขึ้นไว ไม่นานก็ถอดท่อช่วยหายใจได้ แต่งูสมิงทะเล ไม่มีเซรุ่มในไทย ดังนั้นทำได้แค่ใส่ท่อช่วยหายใจ แล้วนอนแหม่บไปเรื่อยๆ จนกว่าพิษจะหมดฤทธิ์ ไม่รู้นานแค่ไหน ระหว่างนั้นก็มีความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น แผลกดทับ ปอดบวมติดเชื้อ บลาๆ เยอะแยะ

ดังนั้นฝากผู้จัดงานอีเวนต์ การให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงูพิษ เป็นเรื่องดี แต่การเอางูพิษที่ไม่มีเซรุ่มในไทยมาให้ประชาชนจับ อันนี้ไม่ควรเพราะมีความเสี่ยงสูงมากๆ จังหวะงูจะสวบขึ้นมา ต่อให้มีสตาฟหรือ จนท.อยู่ข้างๆ ก็ไม่มีทางหยุดงูไม่ให้สวบทัน และการจะช่วยเคสถูกงูชนิดนี้กัด ที่สำคัญคือการใส่ท่อช่วยหายใจ ถ้าทำไม่ได้ ไม่มีคนแถวนั้นทำทัน ก็โอกาสตายหรือสมองตายเพราะขาดออกซิเจนสูงมาก

อันนี้เล่าประสบการณ์ส่วนตัว สมัยจ่ารับราชการ มีเคสชายวัยกลางคนเจองูกัดมา รพ. เขาหิ้วงูมาด้วย เป็นงูเห่าชัดเจน และเริ่มมีอาการแล้ว จ่าก็บอกคนไข้ว่า ฟังนะ หลังจากนี้คุณจะอ่อนแรง แขนขาขยับไม่ได้ หายใจไม่ได้ ดังนั้นเดี๋ยวเราจะใส่ท่อช่วยหายใจ จะได้ช่วยให้หายใจได้ไม่ตาย จากนั้นจะส่งเข้าเมืองไปรักษาใน รพ.ที่จังหวัด คนไข้ก็ฟังแล้วพยักหน้า (พูดไม่ค่อยไหวละ) จากนั้นก็ลุยเลย ใส่ท่อช่วยหายใจ พอใส่เสร็จคนไข้อ่อนแรงทั้งตัว ขยับแขนขาไม่ได้เลย แต่ไม่ตายเพราะใส่ท่อช่วยหายใจทัน ขั้นตอนทั้งหมดที่ว่า ประมาณห้านาที ไวมาก แล้วก็ส่งคนไข้เข้าเมืองไปรักษา เห็นว่าได้เซรุ่มแล้วอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว สองสามวันก็ถอดท่อช่วยหายใจละ แต่เคสงูสมิงทะเล พิษแรงกว่างูเห่า 2-10 เท่า และไม่มีเซรุ่มด้วย อันนี้คาดการณ์ไม่ถูกจริงๆ ว่าถ้าเกิดเหตุคนถูกงูตัวนี้กัด คนรอบข้างจะมีเวลากี่นาทีในการช่วยเหลือ โดยส่วนตัวคิดว่า ปชช.ทั่วไปควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงูพิษ และเข้าใจธรรมชาติของมัน จะได้ไม่ต้องหวาดกลัว และอยู่ร่วมกันได้ แต่ทั้งนี้ ต้องไม่ประมาท ไม่ควรไปเสี่ยงโดนงูพิษกัดโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะงูที่ไม่มีเซรุ่มในไทย"


https://mgronline.com/onlinesection/.../9660000060957


******************************************************************************************************


เกาหลีใต้ยอมรับรายงาน IAEA เกี่ยวกับแผนปล่อยน้ำฟุกุชิมะ



เกียว?โด?นิวส์?รายงาน? (5? ก.ค.)? รัฐบาลเกาหลีใต้ยอมรับผลการทบทวนความปลอดภัยของสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศเกี่ยวกับแผนการของญี่ปุ่นที่จะปล่อยน้ำกัมมันตภาพรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้วจากโรงงานนิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่ทะเล เจ้าหน้าที่รัฐบาลกล่าวเมื่อวันพุธ

ราฟาเอล? กรอสซี ผู้อำนวยการใหญ่ของ IAEA ได้ส่งรายงานของหน่วยงานเกี่ยวกับการทบทวนระยะเวลา 2 ปีให้กับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ฟูมิโอะ? คิชิดะ เมื่อวันอังคาร รายงานระบุว่าแผนการปล่อยน้ำของญี่ปุ่นสอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยระหว่างประเทศ และจะมี "ผลกระทบทางรังสีเพียงเล็กน้อยต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อม"

ปาร์ค? คู? ยอน? รองผู้อำนวยการสำนักงานประสานงานนโยบายรัฐบาลของเกาหลีใต้กล่าวว่า "รัฐบาลได้รักษาจุดยืนในการยอมรับ IAEA ว่าเป็นหน่วยงานที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในระดับสากลมาอย่างยาวนาน และเราให้ความเคารพต่อรายงานนี้"

ปาร์ค? กล่าวเพิ่มเติมในระหว่างการบรรยายสรุปรายวันว่า? รัฐบาลหวังว่าจะเร่งวันเผยแพร่ผลการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับแผนการปล่อยน้ำของญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย และจะประกาศควบคู่ไปกับการวิเคราะห์รายงานของ IAEA

ตามรายงานของรัฐบาลเกาหลีใต้? กรอสซี? มีกำหนดเดินทางถึงกรุงโซลในวันศุกร์หลังจากการเดินทางสี่วันในญี่ปุ่น เขาจะเข้าพบหัวหน้าคณะกรรมาธิการความปลอดภัยและความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานเฝ้าระวังความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ของเกาหลีใต้ เช่นเดียวกับปาร์ค จิน รัฐมนตรีต่างประเทศ


https://mgronline.com/japan/detail/9660000061118

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 06-07-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


ไอพีซีซี เตือนซ้ำ ! "คลื่นความร้อน" จะปกคลุมยุโรปเกินครึ่งภายในปี 2050


รายงานจาก Copernicus Climate Change Service (C3S) เน้นย้ำถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ชัดเจนรวมถึงความไม่สม่ำเสมอที่ยาวนาน รูปแบบของสภาพอากาศที่รุนแรงทั่วทั้งทวีป

รายงานจาก Copernicus Climate Change Service (C3S) เน้นย้ำถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ชัดเจนรวมถึงความไม่สม่ำเสมอที่ยาวนาน รูปแบบของสภาพอากาศที่รุนแรงทั่วทั้งทวีป

คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change - IPCC) เผยรายงานล่าสุดว่าภายในปี ค.ศ. 2050 คลื่นความร้อนจะปกคลุมยุโรปกว่าครึ่ง สอดคล้องกับการวิเคราห์สถานการณ์โดยกรมอุตุฯ โลกก่อนหน้า ดังนั้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ผู้เคยหลบร้อนไปสัมผัสอากาศหนาวในยุโรปก็อาจสิ้นสุดการเดินทาง

ตามรายงานองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization - WMO) เผยว่าอุณหภูมิในยุโรปเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าของค่าเฉลี่ยทั่วโลกในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาทวีปใดๆ ในโลก ในขณะที่แนวโน้มโลกร้อนยังคงดำเนินต่อไป ความร้อนจัด ไฟป่า น้ำท่วม และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอื่นๆ เริ่มส่งผลกระทบมากขึ้นต่อสังคม เศรษฐกิจ และระบบนิเวศ

รายงานของ WMO ดังกล่าวชื่อว่า State of the Climate in Europe ซึ่งจัดทำร่วมกับ Copernicus Climate Change Service ของสหภาพยุโรป มุ่งเน้นไปที่ปี 2021 เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น คลื่นความร้อนทั้งบนบกและในทะเล สภาพอากาศที่รุนแรง รูปแบบของฝนที่เปลี่ยนแปลง และสภาพของก้อนหิมะที่ถอยร่น

อุณหภูมิทั่วยุโรปอุ่นขึ้นอย่างมากในช่วงปี 1991-2021 (พ.ศ.2534-2564) โดยมีอัตราเฉลี่ยประมาณ +0.5 ?C ต่อทศวรรษ เป็นผลให้ธารน้ำแข็งในเทือกเขาแอลป์สูญเสียความหนาของน้ำแข็งไป 30 เมตรตั้งแต่ปี 1997-2021 (พ.ศ.2540-2564) พืดน้ำแข็งกรีนแลนด์กำลังละลายและมีส่วนทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในฤดูร้อนปี 2021 (พ.ศ.2564) กรีนแลนด์ได้เห็นเหตุการณ์น้ำแข็งละลายและปริมาณน้ำฝนที่บันทึกได้เป็นครั้งแรกที่สถานีซัมมิทซึ่งเป็นจุดสูงสุด

ในปี 2021 เหตุการณ์สภาพอากาศและสภาพอากาศที่มีผลกระทบสูงทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้คนกว่าครึ่งล้านคน และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่า 50 พันล้านเหรียญสหรัฐ ประมาณ 84% จากวิกฤตธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลง คือน้ำท่วม และพายุ

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ข่าวร้ายทั้งหมดที่ประสบ หลายประเทศในยุโรปประสบความสำเร็จอย่างมากในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสหภาพยุโรป (EU) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง 31% ระหว่างปี 1990-2020 (พ.ศ.2533-2563) โดยมีเป้าหมายลดสุทธิ 55% ในปี 2030 (พ.ศ.2573)

ยุโรปยังเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ก้าวหน้าที่สุดในความร่วมมือข้ามพรมแดนในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลุ่มน้ำข้ามชาติ เป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกในการจัดหาระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพ โดยมีการป้องกันผู้คนประมาณ 75% แผนปฏิบัติการด้านสุขภาพจากความร้อนได้ช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมากจากความร้อนจัด


ความท้าทายนั้นยังคงน่ากลัวมาก

"ยุโรปนำเสนอภาพสดของโลกที่ร้อนขึ้นและเตือนเราว่าแม้แต่สังคมที่มีการเตรียมพร้อมอย่างดีก็ไม่ปลอดภัยจากผลกระทบของสภาพอากาศที่รุนแรง ในปีนี้เช่นเดียวกับปี 2021 พื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรปได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อนและความแห้งแล้งที่แผ่ขยาย ทำให้เกิดไฟป่า ในปีเดียวกันยังเกิดน้ำท่วมใหญ่ทำให้ผู้คนเสียชีวิตและทำลายล้างบ้านเรือน" ศ.เพตเตอร์รี ตาลาส เลขาธิการ WMO กล่าว

"ในด้านของการบรรเทาผลกระทบ การดำเนินการที่ดีในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภูมิภาคควรดำเนินต่อไป และควรเพิ่มความทะเยอทะยานให้มากขึ้น ยุโรปสามารถมีบทบาทสำคัญในการบรรลุสังคมคาร์บอนที่เป็นกลางภายในกลางศตวรรษนี้เพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงปารีส" ศ.ทาลาสกล่าว

Copernicus Climate Change Service (C3S) ของสหภาพยุโรป ซึ่งดำเนินการโดย ECMWF ในนามของคณะกรรมาธิการยุโรป ให้ข้อมูลและเครื่องมือในการติดตามสภาพอากาศที่ล้ำสมัยเพื่อสนับสนุนการปรับลดและปรับเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ รวมถึงโครงการริเริ่มต่าง ๆ เช่น European Green Deal

"สังคมยุโรปมีความเสี่ยงต่อความแปรปรวนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ แต่ยุโรปก็อยู่ในระดับแนวหน้าของความพยายามระดับนานาชาติในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพัฒนาโซลูชั่นที่เป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อปรับให้เข้ากับสภาพอากาศใหม่ที่ชาวยุโรปจะต้องอาศัยอยู่ด้วย" ดร. คาร์โล บูออนเทมโป กล่าว, ผู้อำนวยการ, Copernicus Climate Change Service, European Centre of Medium-range Weather Forecasts (ECMWF)

"ในขณะที่ความเสี่ยงและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเริ่มชัดเจนมากขึ้นในชีวิตประจำวัน ความต้องการและความอยากอาหารก็เพิ่มขึ้นสำหรับข่าวกรองสภาพอากาศ และนั่นก็ถูกต้องแล้ว ด้วยรายงานนี้ เรามีเป้าหมายที่จะเชื่อมช่องว่างระหว่างข้อมูลและการวิเคราะห์เพื่อให้ข้อมูลพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์แต่เข้าถึงได้ซึ่ง 'ความพร้อมสำหรับการตัดสินใจ' ในทุกภาคส่วน ข้ามสายอาชีพ" เขากล่าว

รายงานสถานะของสภาพภูมิอากาศในยุโรปจัดทำขึ้นจาก C3S European State of the Climate ที่เผยแพร่ในเดือนเมษายน 2023 และข้อมูลที่จัดทำโดยเครือข่ายศูนย์สภาพภูมิอากาศภูมิภาค WMO RA VI เป็นหนึ่งในชุดรายงานระดับภูมิภาคที่รวบรวมโดย WMO เพื่อให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่แปลเป็นภาษาท้องถิ่นแก่ผู้กำหนดนโยบาย มีการนำเสนอในการประชุมระดับภูมิภาคของผู้อำนวยการบริการอุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยาแห่งชาติของยุโรป

รายงานและแผนผังเรื่องราวประกอบด้วยข้อมูลจากหน่วยงานอุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยาแห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศ หน่วยงานระดับภูมิภาค และหน่วยงานพันธมิตรของสหประชาชาติ มีการเผยแพร่ก่อนการประชุมประจำปีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ COP27 ที่เมืองชาร์ม-เอล ชีค


สถานการณ์ในอนาคต

ภัยพิบัติจากสภาพอากาศ สภาพภูมิอากาศ และน้ำคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต ตามรายงานการประเมินการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 6 ของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาล (คณะทำงาน I, IPCC AR6 WGI) ประเมินว่ามี "ความมั่นใจสูง" ว่า:

"โดยไม่คำนึงถึงระดับของภาวะโลกร้อนในอนาคต อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นในพื้นที่ยุโรปทั้งหมดในอัตราที่สูงกว่าการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลก คล้ายกับการสังเกตในอดีต"

ความถี่และความรุนแรงของสภาพอากาศร้อนสุดขั้ว รวมถึงคลื่นความร้อนในทะเลได้เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก เกณฑ์วิกฤตที่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศและมนุษย์คาดว่าจะเกินขีดจำกัดสำหรับภาวะโลกร้อนที่ 2 ?C และสูงกว่า

การสังเกตมีรูปแบบตามฤดูกาลและภูมิภาคที่สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของปริมาณน้ำฝนที่คาดการณ์ไว้ในช่วงฤดูหนาวในยุโรปเหนือ คาดว่าปริมาณน้ำฝนจะลดลงในฤดูร้อนในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งขยายไปถึงภูมิภาคทางเหนือ คาดว่าจะมีฝนตกชุกและน้ำท่วมฉับพลันเพิ่มขึ้นเมื่อระดับโลกร้อนเกิน 1.5?C ในทุกภูมิภาค ยกเว้นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน


https://mgronline.com/greeninnovatio.../9660000060872

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 06-07-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก มติชน


วิกฤต อยู่แค่เอื้อม อุณหภูมิโลกเฉลี่ยสูงขึ้นอีก 1 องศา รับ 'ดับเบิลเอลนีโญ' ร้อนขาดน้ำ



วันที่ 5 กรกฎาคม ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ มติชนออนไลน์ ว่า ตอนนี้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะของปรากฎการณ์เอลนีโญเต็มตัวแล้ว เป็นช่วงต้นของเอลนีโญ ซึ่งตามการคาดการณ์แล้วจะยาวไปถึงเดือน มีนาคม 2567 ปรากฏการณ์ร้อน และภัยแล้งจากเอลนีโญนี้จะส่งผลรุนแรงที่สุดประมาณเดือนกันยายน ไปถึงเดือน มกราคม 2567 ที่น่าหวาดกลัวกว่านั้นคือ ปกติเมื่อประมาณเดือนมีนาคม ที่หลายคนเข้าใจว่า จะเป็นการสิ้นสุดลงของปรากฏการณ์นี้ แต่มีความเป็นไปได้สูงว่า เอลนีโญจะมีต่อ ซึ่งเรียกว่า ดับเบิลเอลนีโญ

"ก็คิดดูเอาแล้วกัน ช่วงมีนา เมษา ถึงพฤษภาที่ผ่านมา ที่เราบ่นกันว่า ร้อนนักร้อนหนานั้น มันยังไม่เข้าช่วงเอลนีโญเลย มันเป็นช่วงปลายของปรากฏการณ์ลานีญาเท่านั้น แต่เอลนีโญเพิ่งจะเริ่มเมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี่เอง มันจะร้อน จะแล้ง จะเกิดผลกระทบได้มากกว่าที่ผ่านมาอีก ที่สำคัญคือ เมื่อจะสิ้นสุดปรากฏการณ์ คือ ราวเดือนมีนาคม 2567 กลับมีแนวโน้มว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญจะอยู่ต่อ กลายเป็น ดับเบิลเอลนีโญ ซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องน้ำ ทั้งน้ำกิน น้ำใช้ ไม่ต้องพูดถึงน้ำสำหรับทำการเกษตรซึ่งมีไม่พอแน่ๆ" ผศ.ดร.ธรณ์ กล่าว

ผศ.ดร.ธรณ์ กล่าวว่า ลำพังเอลนีโญปีนี้ เรายังพออาศัยน้ำจากน้ำต้นทุนที่สะสมไว้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาได้ แต่ปีต่อไปหากปีนี้ไม่มีน้ำเก็บเอาไว้ แล้วเราจะเอาน้ำที่ไหนกิน เอาน้ำที่ไหนใช้ ไหนจะผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในทะเลอีก ทะเลนั้นโดนเต็มๆจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นปีที่ผ่านมา ที่ไม่มีเอลนีโญนั้น อุณหภูมิของน้ำทะเลอยู่ที่ 32 องศาเซลเซียส เมื่อเข้าสู่เอลนีโญคาดว่าอุณภูมิน้ำทะเลจะเป็น 33 องศาเซลเซียส ซึ่งการที่อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มขึ้นมา 1 องศา ถือเป็นเรื่องใหญ่ของโลก ที่จะส่งผลเสียมากมาย จะเกิดปะการังฟอกขาวกระจาย น้ำทะเลเปลี่ยนสี แพลงตอนบลูม ปลาจะตายจำนวนมาก

"เรื่องใหญ่แบบนี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องหาทางรับมือตั้งแต่บัดนี้ เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นจะขยายเป็นวงกว้าง ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดกันเล่นๆอีกแล้ว"ผศ.ดร.ธรณ์ กล่าว

ด้านนายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการกรีนพีซ ประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ มติชนออนไลน์ ว่า เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ที่ผ่านมา องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกประกาศว่า ทั่วโลกจะเข้าสู่สภาวะเอลนีโญ หรือ ร้อนแล้งอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ก็ได้มีการประกาศด้วยว่า ปกติแล้ว อุณหภูมิทั่วโลกที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 16 องศาเซลเซียส บัดนี้ เพิ่มขึ้นมาแล้ว เป็น 17 องศาเซลเซียส

"สำหรับประเทศไทย ฟังดูแล้ว อาจจะยังรู้สึกชิลๆกันว่า 17 องศาเซลเซียสกำลังสบาย แต่ไม่ใช่นะครับ เพราะทั่วโลก มีหลายประเทศ หลายทวีป ทั้งร้อนจัด หนาวจัด เอาอุณหภูมิมาเฉลี่ย ได้ 16 องศาเซลเซียส แล้ว เพิ่มขึ้นมาเป็น 17 มันซีเรียสมาก มันคือ การเพิ่มขึ้นของค่าเฉลี่ย อย่างประเทศไทย อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งประเทศจะอยู่ที่ 28 องศาเซลเซียส ขณะที่บางพื้นที่บางจังหวัด อาจจะมีอุณหภูมิสูงถึง 45 องศาเซลเซียส ซึ่งการที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นก็จะทำให้อุณหภูมิหลายๆพื้นที่สูงขึ้นมาแน่นอนเช่นเดียวกัน ซึ่งจะทำให้สภาวะแวดล้อมหลายๆอย่างเปลี่ยนแปลงไปด้วย" นายธารา กล่าว

ผู้อำนวยการกรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวด้วยว่า ที่ ผศ.ดร.ธรณ์ บอกว่า มีแนวโน้มว่าจะเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญแบบดัลเบิล นั้นมีโอกาสเป็นไปได้สูง ซึ่งเห็นว่า ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องหาทางรับมือกับภาวะดังกล่าวตั้งแต่บัดนี้


https://www.matichon.co.th/local/qua...e/news_4065227

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 06-07-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก Nation TV


"ดร.ธรณ์" ส่งคำเตือน จะเกิดอะไรขึ้น หากเกิด "ดับเบิลเอลนีโญ"



ชวนสายรักษ์โลก สายชิล สายสิ่งแวดล้อม และทุกคนบนโลก มาร่วมเกาะติด "ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์" อัปเดตสถานการณ์ "เอลนีโญ" เตือนจะเกิดอะไรขึ้นหากเกิด "ดับเบิลเอลนีโญ" ทะเลเดือดร้อนหนักแน่ๆ

กระแสร้อนๆ เที่ยวล่าสุด ทางด้าน ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้พูดถึงสถานการณ์ "เอลนีโญ" ผ่านทางเฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat ใจความที่น่าสนใจ ระบุไว้ว่า


ผมเพิ่งมีโอกาสคุยกับ ดร.ชวลิต และ ดร.วิษณุ สองผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ในรายการของคุณสุทธิชัย หยุ่น จึงอยากสรุปสถานการณ์ให้เพื่อนธรณ์ครับ

เอลนีโญเริ่มต้นแล้ว และจะลากยาวไปอย่างน้อยถึงต้นปีหน้า แต่แบบจำลองทำนายให้แม่นยำได้ประมาณนั้น หลังจากนั้นยังบอกไม่ได้

หน้าฝนของเหนือกลางอีสานมี 2 ช่วง เราผ่านช่วงแรกไปแล้ว ฝนน้อยกว่าปรกติประมาณ 20%

ฝนจะทิ้งช่วง กลับมาอีกทีกลางสิงหาคม

ต้นทุนน้ำก่อนเข้าหน้าฝน มีน้ำในเขื่อน/ระบบชลประทาน 35%

เนื่องจากฝนช่วงแรกน้อย การเก็บน้ำจึงไม่ได้มาก ต้นทุนน้ำตอนนี้จึงน่าเป็นห่วง ขึ้นกับฝนช่วงสองว่าเราจะทำได้แค่ไหน

ยังขึ้นกับการปรับตัวของภาคเกษตร เราใช้น้ำแบบเดิมไม่ได้ อย่าให้ความเคยชินใน 2-3 ปีก่อนมาลวงตาเรา

พื้นที่เกษตรของเราค่อนหนึ่งอยู่นอกพื้นที่ชลประทาน อันนั้นยิ่งมีน้ำน้อยเข้าไปใหญ่

ผลผลิตการเกษตรจะลดลง เช่น ข้าว อ้อย ทุกฝ่ายออกมาเตือนเรื่องการใช้น้ำในภาคการเกษตร

ผลกระทบทั่วอาเซียน อินโดอาจโดนหนัก เวียดนามก็ลำบาก เพราะน้ำเค็มหนุนส่งผลเยอะมากในพื้นที่ปลูกข้าวปากน้ำโขง

คาดการณ์จากเอลนีโญในอดีตว่า รายได้เกษตรกรไทยอาจลดลง 5% (เปลี่ยนแปลงได้ขึ้นกับว่าแรงแค่ไหนและการรับมือว่าทำแค่ไหน)

ผลกระทบในด้านอื่นๆ ยังมีอีกมาก เช่น ไฟป่า/ฝุ่น ฤดูฝุ่นปีนี้จะยาวนานและแรงกว่าปีก่อน

ยังรวมถึงฝุ่นจากไฟป่าข้ามพรมแดนจากอินโดที่ต้องตามดูในภาคใต้ ปีนี้อาจรุนแรง สิงคโปร์เริ่มเตือนพลเมืองแล้ว (ไฟอินโดจะเริ่มช่วงกลางปี)

เอลนีโญแรงตั้งแต่กันยายนไปจนถึงต้นปีหน้า เป็นช่วงหน้าฝนภาคใต้ หลายคนจึงออกมาเตือนว่าภาคใต้ต้องระวังเรื่องน้ำให้ดีเพราะฝนปีนี้อาจน้อย

เพื่อนธรณ์ที่ทำงานโรงแรม/ภาคบริการหรือกิจการอื่นๆ ที่ต้องการน้ำมาก มองทางหนีทีไล่ไว้ล่วงหน้าด้วยนะครับ น้ำอาจหายาก/แพง

กรณีแย่สุดคือเจอดับเบิ้ลเอลนีโญ ต่อเนื่องจากปีนี้ถึงปี 68

อันนั้นแย่จริงเพราะปีนี้เรายังมีต้นทุนน้ำจากปีที่แล้ว (ลานีญา) แต่ปีนี้เราแล้ง ปีหน้าเราแล้งซ้ำ

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครยืนยันสถานการณ์นั้นในตอนนี้ได้ เพราะไกลไปเกินทำนาย

ในทะเลเริ่มเห็นชัดแล้ว จากปะการังฟอกขาว น้ำเปลี่ยนสีต่อเนื่องถึงช่วงนี้ ที่น่าเป็นห่วงคือปีหน้าจะเป็นอย่างไร

หากเกิดดับเบิ้ลเอลนีโญ ทะเลเดือดร้อนหนักแน่ๆ

คำแนะนำสำหรับเพื่อนธรณ์คือติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด น้ำน้อย/น้ำเค็มหนุน/ฝุ่นเยอะ/อากาศร้อน/ทะเลร้อน คือสิ่งที่ต้องเตรียมตัวรับมือไว้

การเยียวยาจากภาครัฐอาจมีบ้าง แต่ผลกระทบจากเอลนีโญคือเหนือจรดใต้ไปถึงทะเล จะเยียวยาไหวไหม ?

สิ่งที่เรากำลังจะเจอ ไม่เหมือนที่เคยเกิดมา เพราะเรามีโลกร้อนมาหนุน

WMO เรียกปรากฏการณ์แบบนี้ว่า Double Whammy เป็นสิ่งที่เราจะเผชิญต่อไป ทั้งเอลนีโญและลานีญา ในภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้น

ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่ารัฐบาลต้องเร่งยกระดับประเด็นนี้ และหาทางรับมืออย่างจริงจัง ใช้งบประมาณให้ถูกจุดเพื่อการวางแผนรับมือในระยะต่างๆ

นอกจากรับมือกับปีนี้ จะได้ปรับตัวเตรียมรับมือกับระยะต่อๆ ไปที่ในอนาคตเราจะเจออีก

ปีนี้หรือปีหน้า อุณหภูมิโลกจะร้อนทำลายสถิติเดิม

เศร้าแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ถึงตอนนี้สิ่งที่ทำได้นอกจากลด GHG เพื่อลูกหลาน เราคงต้องหาทางดีที่สุดเพื่อตัวเอง

บททดสอบแรกมาถึงแล้วครับ

ขอบคุณข้อมูลจากดร.ชวลิต จันทรรัตน์ และ ดร.วิษณุ อรรถวานิช ครับ

รายละเอียดต่างๆ อยู่ในรายการของคุณสุทธิชัยครับ



ขอขอบคุณที่มาภาพกราฟประกอบข่าวจาก : the guardian



ส่องโพสต์ล่าสุด ดร.ธรณ์ ในวันนี้

ช่วงนี้น้ำลงต่ำทั่วทะเลตะวันออก วันนี้จึงพาเพื่อนธรณ์ไปดูการสำรวจแนวปะการังด้วย LiDAR เป็นครั้งแรกของทะเลไทยครับ

LiDAR มาจาก Light Detection and Ranging ใช้การส่งแสงไปวัดระยะหรือความสูงของพื้นผิว ใช้สร้างแผนที่ต่างๆ เช่น แผนที่สามมิติ

ไลดาร์อยู่รอบตัวเรา เช่น รถยนต์เดี๋ยวนี้ใช้ไลดาร์ทำการขับขี่อัตโนมัติ แจ้งเตือนรถมาด้านข้าง ฯลฯ

ในมือถือรุ่นใหม่ๆ ก็มีฟีเจอร์นี้ หรือแม้กระทั่งการสร้างโลกเสมือนจริง Metaverse

แต่ไลดาร์แทบไม่ลงน้ำ เพราะแสงกระเจิง ลงน้ำไม่ได้

บังเอิญทะเลมีน้ำขึ้นน้ำลง เมื่อถึงเวลาน้ำลงต่ำสุดในรอบปี แนวปะการังบางแห่งโผล่พ้นน้ำ

แนวปะการังเป็นโลก 3 มิติ ก้อนปะการังไม่ได้แบนราบเรียบ แต่มีความสูงเข้ามาเกี่ยวข้อง ปัญหาคือเราสำรวจภาคสนามได้ยากมาก ใช้เวลานาน

แต่วันนี้ LiDAR มาแนวปะการังไทยเป็นครั้งแรกแล้วครับ เราทำที่เกาะมันใน จังหวัดระยอง เพื่อนธรณ์คงคุ้นเคยดีเพราะผมพาไปประจำ ถือเป็นจุดสำรวจติดตามโลกร้อนระยะยาว

งานนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวงทรัพยากรฯ และกองทุนดิจิตัล เพื่อใช้เทคโนโลยีล่าสุดมาบุกเบิกการสำรวจติดตามปะการังยุคใหม่

มีคณะประมง ม.เกษตรศาสตร์และม.บูรพา วิทยาเขตจันทบุรี เป็นหน่วยวิจัยร่วมกับทีมจากองค์กรเอกชน

การนำ LiDAR มาใช้ในแนวปะการังครั้งนี้ถือเป็นหนแรกของทะเลไทย น่าจะเป็นประเทศแรกในอาเซียนด้วยซ้ำ หรือแม้กระทั่งในต่างประเทศก็ยังมีน้อยมาก

ประโยชน์ที่จะได้รับมหาศาล เพราะเป็นการเปิดประตูบานใหม่เข้าไปในโลกที่เราไม่เคยเข้าถึงมาก่อน

ด้วยเทคโนโลยี LiDAR เราจะเข้าใจแนวปะการังมากขึ้น วางแผนในการอนุรักษ์ วางทุ่น ฟื้นฟู ฯลฯ หรือแม้กระทั่งการกำหนดเขตดำน้ำ กิจกรรมต่างๆ ในแนวปะการัง

เรากำลังก้าวเข้าไปสู่โลกยุคใหม่ที่อาจต้องใช้เวลาเรียนรู้และประยุกต์ใช้ แต่สำคัญสุดคือเรากำลังเปิดประตูแล้ว

จึงเป็นความดีใจสุดๆ ในวันนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันมาตลอดครับ


https://www.nationtv.tv/gogreen/378922259

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 06-07-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


เข้าใจการเกิด "เอลนีโญ" เพื่อร่วมลดความรุนแรงปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ทุกคนช่วยได้



ด้วยปรากฏการณ์ "เอลนีโญ" ที่กำลังทวีความรุนแรง ทำให้ขณะนี้เมืองไทยเผชิญทั้งความร้อนและภัยแล้งจัด ไทยพีบีเอสขอนำข้อมูลมาให้ได้ทราบว่า อะไร ? คือสาเหตุปรากฏการณ์นี้ เพื่อร่วมลดความรุนแรงของการเกิด "เอลนีโญ" ที่ทุกคนช่วยได้


อะไร ? ทำให้เกิด "เอลนีโญ"

เอลนีโญ (El Ni?o) เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างการหมุนเวียนของกระแสอากาศกับกระแสน้ำในมหาสมุทร ซึ่งปกติแล้วในมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งกั้นระหว่างทวีปเอเชียและทวีปอเมริกา จะมีกระแสลมหรือเรียกว่าลมค้า (Trade winds) ซึ่งพัดจากด้านตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังด้านตะวันตก ซึ่งจะทำให้กระแสน้ำอุ่นไหลจากอเมริกาใต้มายังประเทศอินโดนีเซีย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดฝนตกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แต่หากกระแสลมมีกำลังอ่อนและเปลี่ยนทิศทางพัด จะทำให้กระแสน้ำอุ่นไหลไปยังทวีปอเมริกาใต้แทน ด้วยเหตุนี้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลียจึงขาดฝนและเกิดความแห้งแล้ง รวมถึงไฟป่าอย่างรุนแรง กลายเป็นที่มาของปรากฏการณ์ "เอลนีโญ"


รู้ได้ว่า "เอลนีโญ" จะเกิดขึ้นตอนไหน ? ด้วย "ดาวเทียม"

ในปี 66 นับตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ด้วยหลักฐานจากข้อมูลจากดาวเทียม แสดงให้เห็นถึงปรากฏการณ์ "เอลนีโญ" กำลังจะหวนกลับมาอีกครั้ง ซึ่งสามารถทราบได้โดยการวัดอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลด้วยการใช้เซนเซอร์ที่ติดตั้งบนดาวเทียม ควบคู่กับเซนเซอร์ที่ติดตั้งบนทุ่นลอยน้ำในมหาสมุทร เป็นหนึ่งในวิธีการที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ตรวจจับการมาของปรากฏการณ์ "เอลนีโญ" ได้อย่างแม่นยำ

โดยดาวเทียมสามารถตรวจวัดความสูงของระดับของผิวน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นจากน้ำทะเลโดยเฉลี่ยได้ เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้โมเลกุลของน้ำเกิดการขยายตัวทำให้ปริมาณของน้ำเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ประกอบกับกระแสลมที่พัดอย่างต่อเนื่องซึ่งมีผลต่อระดับผิวน้ำทะเลเช่นกัน

สำหรับสภาพระดับน้ำทะเลปกติ ข้อมูลภาพจะแสดงด้วยโทนสีขาว ส่วนโทนสีแดงหมายถึงบริเวณที่ระดับน้ำทะเลมีค่าสูงกว่าปกติ จะมาจากข้อมูลของดาวเทียม Sentinel-6 และ Sentinel-3B ซึ่งวิเคราะห์โดยนักวิทยาศาสตร์ที่ Jet Propulsion Laboratory (JPL) ของ NASA

จากรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 66 โดยศูนย์พยากรณ์อากาศขององค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NOAA) ประกาศว่า ได้เกิดปรากฏการณ์ ?เอลนีโญ? รายงานได้ชี้ไปที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในบริเวณ Ni?o 3.4 ของแปซิฟิกเขตร้อน (จากลองจิจูด 170? องศาตะวันตก ถึง 120? องศาตะวันตก) ในเดือน พ.ค. 66 แสดงให้เห็นว่าอุณหภูมิอยู่ที่ 0.8?C (1.4?F) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย

โดยนักพยากรณ์คาดการณ์ว่าสภาวะ "เอลนีโญ" จะค่อย ๆ รุนแรงขึ้นช่วงฤดูหนาวแถบซีกโลกเหนือในปี 66-67 ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น มีการคาดการณ์ว่ามีโอกาสถึง 60% ที่จะเกิดปรากฏการณ์ ?เอลนีโญ? แรงระดับปานกลาง และมีโอกาส 56% ที่จะเกิดอย่างรุนแรง

อย่างไรก็ตาม จากสถิติ ณ เดือน มิ.ย. 66 แสดงให้เห็นว่าปรากฏการณ์ "เอลนีโญ" ยังไม่ส่งผลกระทบรุนแรงเท่ากับปีที่เคยเกิดเอลนีโญมาแล้ว เมื่อเทียบในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีนักวิทยาศาสตร์ได้ให้ความเห็นไว้ว่า ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าปรากฏการณ์เอลนีโญที่กำลังเกิดขึ้นในรอบปีนี้จะส่งผลกระทบรุนแรงกว่าครั้งที่ผ่าน ๆ มา


ทำไม? "อุณหภูมิน้ำทะเลมหาสมุทรแปซิฟิก" ส่งผลกับสภาพอากาศทั่วโลก

ด้วยความที่ร้อยละ 70 ของพื้นผิวโลกถูกปกคลุมด้วยมหาสมุทร จึงมีผลอย่างมากต่อสภาพภูมิอากาศ เพราะมหาสมุทรสามารถกักเก็บความร้อนไว้ได้ดี แล้วจึงค่อย ๆ ปล่อยความร้อนออกมา ทำให้กระแสน้ำในมหาสมุทรสามารถไหลไปยังที่ต่าง ๆ ในระยะทางไกลได้ นอกจากนี้กระแสน้ำทำให้อุณหภูมิผิวน้ำเปลี่ยนแปลงไปซึ่งส่งผลต่อสภาพอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณชายฝั่งทะเล

และเนื่องจากอากาศเหนือกระแสน้ำอุ่นจะอุ่น (และอากาศเหนือกระแสน้ำเย็นจะเย็น) อากาศที่เคลื่อนที่จากทะเลมาสู่ฝั่งพร้อมกันกับกระแสน้ำจะมีผลทำให้อุณหภูมิของอากาศบนผืนดินเปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิของกระแสน้ำ เช่น กระแสน้ำอุ่นแอตแลนติกเหนือที่ไหลเลียบฝั่งตะวันตกทวีปยุโรป จะทำให้ในฤดูหนาว อากาศจะไม่หนาวจัด เป็นต้น

โดยช่วงที่เกิด "เอลนีโญ" ความร้อนส่วนเกินจำนวนมหาศาลทางตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อน จะถูกนำพาไปรอบโลกโดยการหมุนเวียนของบรรยากาศ* ทำให้สภาพอากาศที่เป็นปกติในหลายภูมิภาคเปลี่ยนแปลงไป อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรอินเดียและแอตแลนติกก็เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งมีผลกระทบต่อลักษณะภูมิอากาศในมหาสมุทรอินเดียแอตแลนติก และพื้นทวีปข้างเคียงบรรยากาศที่อยู่เหนือมหาสมุทรเหล่านี้ สัมพันธ์กับพื้นน้ำที่อยู่เบื้องล่างจะช่วยขยายการแปรปรวนของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลออกไป สร้างผลกระทบต่อภูมิอากาศทั่วโลก โดยในเขตอบอุ่นและเขตหนาวผลกระทบจาก "เอลนีโญ" ที่เกิดแต่ละครั้งจะผันแปรไปมากกว่าในเขตร้อน


"เอลนีโญ" ก่อให้เกิดภัยร้ายอะไรบ้าง ?

ทำให้อุณหภูมิโลกอาจเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส
อันจะส่งผลอาจทำให้เกิดน้ำท่วมอย่างหนัก เกิดความแห้งแล้ง ไฟป่า รวมถึงการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง


"ไซโคลน" จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

แม้ "เอลนีโญ" อาจทำให้เกิดพายุเฮอริเคนในมหาสมุทรแอตแลนติกน้อยลงกว่าเดิม แต่กลับตรงกันข้ามในมหาสมุทรแปซิฟิก เนื่องจากน้ำอุ่นสามารถก่อให้เกิดไซโคลนที่รุนแรงขึ้นได้


ปะการังฟอกขาว

หลังจากน้ำทะเลมีความร้อนที่มากเกินไป จะส่งผลให้ปะการังคายสาหร่ายที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อออกมา ซึ่งมีหน้าที่ให้สีและพลังงานส่วนใหญ่แก่ปะการัง ทำให้เปลี่ยนไปกลายเป็นสีขาว และถึงแม้ว่าปะการังจะฟื้นตัวได้หากอุณหภูมิเย็นลง แต่การฟอกขาวมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ปะการังอดอาหารและตายได้ในที่สุด


น้ำแข็งที่ทวีปแอนตาร์กติกาละลายเร็วขึ้นกว่าเดิม

จากผลวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ซึ่งศึกษาน้ำแข็งที่ทวีปแอนตาร์กติกา พบว่า "เอลนีโญ" จะช่วยเร่งให้น้ำแข็งแอนตาร์กติกาละลายเร็วขึ้นได้ ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น


ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หนทางแก้การเกิด "เอลนีโญ"

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization : WMO) ได้เปิดเผยว่า อากาศที่ร้อนขึ้นจะยิ่งทำให้ปรากฏการณ์ ?เอลนีโญ? มีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากการเกิด "เอลนีโญ" มีสาเหตุหลักมาจากการปล่อย "ก๊าซเรือนกระจก" ดังนั้นการจะทำให้ "เอลนีโญ" รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ลดความรุนแรงลง พวกเราทุกคนต้องช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกันอย่างจริงจังมากขึ้น อันจะเป็นหนทางสำคัญที่จะช่วยคืนความสมดุลให้กับโลกใบนี้ ลดความรุนแรงของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างได้ผลที่สุด


*หมายเหตุ : โลกมีสัณฐานเป็นทรงกลม โคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ใช้เวลา 1 ปี หากโลกไม่หมุนรอบตัวเอง บริเวณเส้นศูนย์สูตรของโลกจะเป็นแถบความกดอากาศต่ำ (L) มีอุณหภูมิสูง เนื่องจากแสงอาทิตย์ตกกระทบเป็นมุมฉาก ส่วนบริเวณขั้วโลกทั้งสองจะเป็นแถบความกดอากาศสูง (H) มีอุณหภูมิต่ำ เนื่องจากแสงอาทิตย์ตกกระทบเป็นมุมลาดขนานกับพื้น อากาศร้อนบริเวณศูนย์สูตรยกตัวขึ้นทำให้อากาศเย็นบริเวณขั้วโลกเคลื่อนตัวเข้าแทนที่ การหมุนเวียนของบรรยากาศบนซีกโลกทั้งสองเรียกว่า "แฮดเลย์ เซลล์" (Hadley cell) แต่ความเป็นจริง โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ใช้เวลา 24 ชั่วโมง เซลล์การหมุนเวียนของบรรยากาศ จึงแบ่งออกเป็น 3 เซลล์ ได้แก่ แฮดเลย์ เซลล์ (Hadley cell), เฟอร์เรล เซลล์ (Ferrel cell) และ โพลาร์ เซลล์ (Polar cell) ในแต่ละซีกโลก


แหล่งข้อมูลอ้างอิง : สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) : Gistda, ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์ (LESA), กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization : WMO)


https://www.thaipbs.or.th/now/content/199

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:52


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger