#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2566
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ในระยะนี้ สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 7 - 12 ก.ค. 66 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศเวียดนามตอนบน ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ ในขณะที่ในช่วงวันที่ 8 ? 10 ก.ค. 66 ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้จะเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับในช่วงวันที่ 7 - 12 ก.ค. 66 คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร โดยบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 8 ? 10 ก.ค. 66 ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วยตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก อสมท.
กรมประมง แจงข่าว "งูสมิงทะเลปากเหลือง" หนึ่งในไฮไลท์สัตว์น้ำที่นำมาจัดแสดง ในงานวันประมงน้อมเกล้าฯ จากกรณีที่มีกระแสข่าวการจัดแสดง "งูสมิงทะเลปากเหลือง" งูทะเลมีพิษร้ายแรง หวั่นเป็นอันตรายต่อผู้เข้าชมนิทรรศการงูทะเล ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลท์สัตว์น้ำที่กรมประมงนำมาจัดแสดงภายใต้ธีม "Wonders of the Aquatic World" มหัศจรรย์โลกใต้น้ำ ในงานวันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 33 ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ ในระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน ? 9 กรกฎาคม 2566 นั้น นายถาวร ทันใจ รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า งานวันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 33 เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างกรมประมง คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์คและสเปลล์ ตลอดจนหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้ทูลเกล้าถวาย สมทบทุนมูลนิธิจุฬาภรณ์และเป็นการส่งเสริม อนุรักษ์ รวมถึงเผยแพร่ความรู้ทางด้านวิชาการประมงเกี่ยวกับพันธุ์สัตว์น้ำ ปลาสวยงาม และพรรณไม้น้ำชนิดต่าง ๆ ให้สาธารณชนได้รับทราบ โดยในปีนี้ กรมประมง ได้จัดแสดงนิทรรศการประมงภายใต้ธีม Wonders of the Aquatic World ซึ่งนำเสนอ 7 สิ่งมหัศจรรย์โลกใต้น้ำ ?งูสมิงทะเลปากเหลือง? งูทะเลพิษร้ายแรง ติด 1 ใน 10 ของโลก เป็นหนึ่งในชนิดพันธุ์สัตว์น้ำที่กรมประมงนำมาจัดแสดงในงานภายใต้หัวข้อมหัศจรรย์ในตัวตน ซึ่งนำเสนอถึงสัตว์น้ำที่มีนิสัยเฉพาะตัว เช่น ขี้อายเชื่องช้า ดุร้าย และน่าเกรงขาม โดยจะให้ความรู้เกี่ยวกับชีววิทยาและพฤติกรรมของงูทะเลมีพิษที่อาจมีโอกาสพบเห็น เพื่อสร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง หากบังเอิญต้องเผชิญหน้ากับงูชนิดนี้อย่างใกล้ชิด จะได้หลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้เกิดอันตราย โดยเฉพาะนักดำน้ำ และชาวประมง เนื่องจากงูสมิงทะเลปากเหลือง อาจพบได้จากการทำประมง โดยการติดมากับอวน ซึ่งหากชาวประมงไม่ทันสังเกตอาจเป็นอันตรายได้ โดยในการจัดแสดงดังกล่าว กรมประมงได้มอบหมายนักวิชาการประมง ซึ่งมีความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญด้านงูทะเลมีพิษมาประจำจุดแสดง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมนิทรรศการงูทะเลได้เรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากเหตุสุดวิสัย และลดข้อกังวลของประชาชนที่เข้าร่วมชมนิทรรศการงูทะเล ภายในงานวันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 33 กรมประมงจึงมีนโยบายให้จัดแสดงเฉพาะในตู้ งดการนำงูสมิงทะเลปากเหลืองออกมาจากตู้จัดแสดงภายนอกตู้อย่างเด็ดขาด โดยตลอดการจัดแสดงจะมีนักวิชาการประมงที่มีความเชี่ยวชาญให้บริการข้อมูลความรู้อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่สนใจยังคงสามารถเข้าร่วมชมสัตว์น้ำที่น่าสนใจอีกหลากหลายชนิด ภายในงานวันประมงน้อมเกล้าฯครั้งที่ 33 ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2566 ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ บัตรผ่านประตูเพียง20 บาท เท่านั้น เด็ก และนักเรียน เข้าชมฟรี! https://www.mcot.net/view/bxz9xs4P ****************************************************************************************************** ปูหน้าขาว สัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ ราคาดี โตเร็ว ตรัง 5 ก.ค. ? เกษตรกรชาวอำเภอกันตัง จ.ตรัง ขานรับนโยบายการเลี้ยงปูหน้าขาว หรือปูทองหลาง ในบ่อกุ้งร้าง ขายได้ราคาดีกว่าปูดำ โตเร็วกว่า ทำได้หลากหลายเมนู เป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ นายวรุฒม์ ธนากรเจริญ เปลี่ยนบ่อที่เคยเลี้ยงกุ้งกุลาดำ แต่ประสบปัญหาขาดทุน หันมาเลี้ยงปูหน้าขาว หรือปูทองหลางเป็นปีแรก บนเนื้อที่ 3 ไร่ ใน อ.กันตัง จ.ตรัง เนื่องจากปูหน้าขาวเป็นปูทะเลที่โตเร็ว ได้น้ำหนักและราคาดีกว่าปูดำและปูม้า เนื้อปูแน่น ก้ามโต ตัวใหญ่ รสชาติหวานมันกว่าเนื้อปูทะเลชนิดอื่น ตลาดยังมีความต้องการสูง ก่อนหน้านี้เกษตรกรยังขาดความรู้ความเข้าใจ จึงปล่อยบ่อกุ้งให้เป็นบ่อร้างมานานหลายปี จนกระทั่งสำนักงานประมงจังหวัดได้จัดทำโครงการนำร่อง ชวนเกษตรกรในจังหวัดเข้าร่วมโครงการ 5 ราย รายละ 1 อำเภอ อำเภอละ 1 บ่อ บนเนื้อที่บ่อละ 3 ไร่ แต่ละบ่อจะปล่อยลูกปูครั้งแรกปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จำนวน 3,000 ตัว ปรากฏว่า 3 เดือนผ่านไป ปูหน้าขาวตัวผู้มีน้ำหนักตัวละ 5-6 ขีด ส่วนตัวเมียมีน้ำหนัก 3-4 ขีด เนื้อแน่น ก้ามใหญ่ มีลูกค้าสนใจสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก แต่ยังขายไม่ได้ เพราะต้องการทำน้ำหนักให้ได้ตัวละ 8 ขีด ถึง 1 กิโล ซึ่งต้องใช้เวลาเลี้ยงอีกประมาณ 45 วัน จึงจับขายได้ในราคากิโลกรัมละ 350-500 บาท หรือตัวละ 500 บาท หากเป็นตัวผู้ ส่วนอาหารของปู เป็นเนื้อปลาสด ช่วง 2 เดือนแรก ให้วันละ 2 เวลา เช้า-เย็น พอย่างเข้าเดือนที่ 3 ให้อาหารวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 30 กิโลกรัม ไม่ต้องตีน้ำให้ออกซิเจน ไม่ต้องวัดค่าความเค็มของน้ำ น้ำกร่อยก็สามารถเติบโตได้ดี ต้นทุนต่ำกว่าการเลี้ยงกุ้งกุลาดำมาก ลดความเสี่ยงและการลงทุนลงไปได้มาก นับว่าเป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ใน จ.ตรัง ซึ่งศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงชายฝั่งตรัง สามารถเพาะขยายพันธุ์ลูกปูหน้าขาว เพื่อจำหน่ายให้กับเกษตรกรได้แล้ว ราคาตัวละ 3 บาท ประมงจังหวัดตรัง กล่าวว่า จ.ตรัง ยังไม่เคยมีการเลี้ยงปูหน้าขาวหรือปูทองหลางมาก่อน ถือว่าเป็นครั้งแรก ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจ เลี้ยงมา 3 เดือน ตัวผู้ได้น้ำหนักประมาณ 5-6 ขีด ตัวเมียประมาณ 3 ขีดกว่า ขณะที่ปูดำทั่วไปตัวจะตัวเล็กกว่าเมื่อใช้เวลาเลี้ยงเท่ากัน . https://tna.mcot.net/region-1202811
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก Nation TV
วิจัยเผยภาวะโลกรวนส่งผลให้อาหารทะเลกว่า 90% บนโลกกำลังจะหายไป งานวิจัยเผยว่าอาหารทะเลกว่า 90 เปอร์เซ็นต์บนโลกกำลังจะหายไปเนื่องจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Sustainability ระบุผลกระทบจากปัญหาทางสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นตามระดับอุณหภูมิโลก ความเป็นกรดที่เพิ่มขึ้นในทะเล ฝนตกไม่ตรงตามฤดู สาหร่ายบูม รวมถึงมลพิษจากสารปรอท ยาฆ่าแมลง และยาปฏิชีวนะ ล้วนทำให้แหล่งอาหารที่สำคัญของเราเริ่มลดลงแล้ว โดยผู้ผลิตชั้นนำอย่างจีน นอร์เวย์ และสหรัฐอเมริกา กำลังเผชิญกับภัยคุกคามครั้งใหญ่ที่สุด สำหรับ Blue food หรือแหล่งอาหารของมนุษย์ที่จะได้รับผลกระทบนั้น หมายรวมถึงปลาทะเลกว่า 2,190 สายพันธุ์ สัตว์ชนิดมีเปลือกอย่างกุ้งและหอย พืชใต้น้ำและสาหร่ายทะเล รวมถึงปลาน้ำจืดที่เลี้ยงในฟาร์มกว่า 540 สายพันธุ์ อันเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญนี้คอยหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนบนโลกกว่า 3.2 พันล้านคน ซึ่งนอกจากปัญหาที่กล่าวมา การประมงที่มากเกินไปยังทำลายระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำ และเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คุณภาพและปริมาณอาหารลดลงอีกด้วย "แม้ว่าประเทศทั่วโลกจะมีความพยายามแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่ในด้านการปกป้องแหล่งอาหารนั้น เรายังด้อยพัฒนาและจำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่อย่างเร่งด่วน" Rebecca Short นักวิจัยได้แสดงความเห็น เรื่องนี้บรรดาประเทศที่จะได้รับผลกระทบก่อนใคร คือประเทศที่พึ่งพาอาหารทะเลเป็นหลัก อย่างจีน ญี่ปุ่น อินเดีย เวียดนาม และประเทศเกาะเล็กๆ โดยยังมีความหวังว่าการร่างสนธิสัญญาทะเลหลวงเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จะช่วยกระตุ้นให้แต่ละประเทศสมาชิกพูดคุยกันเรื่องนี้มากขึ้น "ความเปราะบางที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์ชักนำ ทำให้การผลิตอาหารทะเลอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างมาก" หลิง เฉา ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเซียะเหมินของจีน ผู้ร่วมเขียนรายงาน กล่าว และจากความต้องการของมนุษย์ที่ไม่สิ้นสุด อาทิ กรณีที่ประเทศนาอูรู พยายามจะทำเหมืองในมหาสมุทรเพื่อเก็บแร่เหล็ก หรือกรณีประเทศนอร์เวย์ ที่มีโครงการจะทำเหมืองใต้ทะเลเช่นกัน ทำให้นักสิ่งแวดล้อมได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งว่ามันจะสร้างความเสียหายให้กับสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลอย่างมหาศาล โดยนักวิทยาศาสตร์หลายคนก็พยายามเตือนรัฐบาลให้คิดดทบทวนก่อนจะทำเหมืองเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ท้ายที่สุดแล้วความมั่นคงทางอาหารจะลดลงด้วยสาเหตุที่เกิดจากมนุษย์ ซึ่งเราทุกคนต้องเผชิญโดยถ้วนหน้า ลองคิดดูว่าถ้าโลกนี้ไม่มีอาหารทะเล เราคงไร้ความสุนทรีย์ในมื้ออาหารและรสชาติอันโอชะ โดยจะกระทบกับผู้บริโภค รวมทั้งภาคเศรษฐกิจมากมายแค่ไหน https://www.nationtv.tv/gogreen/378922410
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|