#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 19 กันยายน 2566
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านภาคเหนือตอนบนและประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบน ตั้งแต่จังหวัดระนองขึ้นมามีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตั้งแต่จังหวัดพังงาลงไปและอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 19 - 20 ก.ย. 66 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 21 ? 24 ก.ย. 66 ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก อ่าวไทยและภาคใต้ ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออกและภาคใต้ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย มีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตลอดช่วง ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 21 ? 24 ก.ย. 66 ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออกและภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ของเสียในทะเล ถูกนำมาทำเสื้อผ้ามากขึ้น เพื่อช่วยลดโลกร้อน ปัญหาสภาวะโลกร้อนยังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อโลก มนุษย์จึงมีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อหยุดยั้งภาวะนี้ให้ลดน้อยลง เพื่อความยั่งยืน ซึ่งในเทรนด์แฟชั่นล่าสุดนี้ได้มีความนิยมใหม่ๆ เพื่อลดโลกร้อนด้วยการทำเสื้อผ้าจากวัสดุเหลือใช้ เช่น ของเหลือจากทะเล และสิ่งมีชีวิตที่รุกล้ำธรรมชาติ ปัจจุบันได้มี "การพัฒนาวัสดุสิ่งทอ" ที่ใช้ทำเสื้อผ้าให้มีการทดแทนเพิ่มมากขึ้น หลังจากการผลิตเสื้อผ้านั้นเป็นการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ขนาดปริมาณมากทั่วโลกถึง 10% โดยเสื้อผ้า 1 ตัว ที่ทำการผลิตจะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูงถึง 4 กิโลกรัม ปัญหาดังกล่าวข้างต้นทำให้มนุษย์นั้นได้หันมาพัฒนาสิ่งทอใหม่ๆ เข้ามาในวงการเสื้อผ้า และแฟชั่นอยู่เรื่อยๆ โดยวัสดุเหล่านี้จะมาทดแทน ผ้าฝ้าย และโพลีเอสเตอร์ที่ทำจากพลาสติก ซึ่งโลกจะได้ประโยชน์มหาศาลจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการชะลอการตัดไม้ทำลายป่าที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมนี้ด้วย ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมทอผ้าในโลก เริ่มรับรู้ถึงวิกฤติของโลกใบนี้ และมีการรณรงค์การใช้ผ้าที่ไม่ใช้แล้วในอุตสาหกรรม เช่น เศษด้าย เศษผ้า และเสื้อผ้าเก่า นำมาผลิตทำเสื้อผ้ากันอีกครั้ง เป็นการนำกลับมาใช้ใหม่เพื่อเป็นการลดโลกร้อน และมีการใช้วัสดุทดแทนจากธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น Aarav Chavda ผู้ร่วมก่อตั้ง และซีอีโอของบริษัท "Inversa Leathers" ในปี 2020 เป็นบริษัทสตาร์ทอัพเกี่ยวกับการกำจัดสัตว์ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ที่มีจำนวนประชากรมาก มาทำเป็นเครื่องหนัง หรือผลิตภัณฑ์ทดแทนในอุตสาหกรรมแฟชั่นที่มีแนวคิดที่สร้างสมดุล และช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศทั่วโลก ร่วมกับ Kahan น้องชายของเขา และ Roland Salatino ทั้ง 3 คนนี้ชื่นชอบในกิจกรรมดำน้ำลึก และได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับ 'ปลาสิงโต' ที่มีเพิ่มขึ้นในอ่าวเม็กซิโกอย่างน่าตกใจ และปลาชนิดนี้ (ปลาสิงโต) ได้สร้างความเสียหาย รุกราน กับแนวปะการังซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีผลสำคัญต่อการสร้างออกซิเจนให้แก่โลก โดยค้นพบว่า หนังของปลาสิงโตนั้นมีความยืดหยุ่นและทนทาน สามารถนำมาใช้กับเครื่องหนัง และสิ่งของแฟชั่นได้ "เราพบว่าหนังปลานั้นบาง แต่แข็งแรงมาก และมีความยืดหยุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ" Aarav Chavda ผู้ร่วมก่อตั้ง และซีอีโอของ Inversa Leathers กล่าว จากข้อสังเกตนี้บริษัทจึงได้ระดมทุนกว่า 2 ล้านดอลลาร์ ได้มีการวิจัย และทำงานร่วมกับสหกรณ์ประมงหลายสิบแห่งทั่วแคริบเบียน เพื่อล่าปลาสิงโต โดยการถลกหนัง จัดเก็บด้วยเกลือ แล้วขนส่งไปยังสำนักงานใหญ่ในเมืองแทมปา รัฐฟลอริดา เพื่อทดลองเครื่องหนัง ฟอกผลิตภัณฑ์ ก่อนลองนำมาจำหน่าย ซึ่งผลออกมาไปในทิศทางบวก และสามารถทดแทนเครื่องหนังชนิดอื่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ T?mTex อีกหนึ่งบริษัทสตาร์ทอัพด้านวัสดุชีวภาพที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ที่กำลังพัฒนาทางเลือกสำหรับเครื่องหนัง และวัสดุทดแทน โดยใช้เศษหอย และเปลือกหอย ที่มีราคาถูก และเยอะมากตามชายหาดและท้องทะเล, ของเสียจากกุ้ง และของเสียจากปูจากอลาสก้าในทวีปยุโรป และเอเชีย โดยทั้งหมดนี้จะถูกนำมารวบรวมให้เป็นสารไคโตซาน (สารสกัดจากธรรมชาติที่มีในสัตว์กระดองแข็ง และขาเป็นปล้อง นำมาสกัดแยกเอาแคลเซียม โปรตีน และแร่ธาตุที่ไม่ต้องการออก และได้สารสำคัญในการทำวัสดุทดแทนจากธรรมชาติ) ไคติน รอสส์ แมคบี ผู้ร่วมก่อตั้ง T?mTex และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า ?ของเสียนั้นจะถูกรวมเข้ากับสารเติมแต่ง และเทลงในแม่พิมพ์ที่แห้งแล้ว จะได้วัสดุที่มีความยืดหยุ่น และทนทานพอที่จะเป็นเครื่องหนังทางเลือก และผ้าประเภทใหม่ ที่สามารถใช้ทำกระเป๋าถือ รองเท้า หรือแม้แต่โซฟาได้ โดยมีการระดมทุนในการวิจัย และผลิตไปแล้วกว่า 1.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เห็นได้ชัดเจนว่าจากทั้ง 2 บริษัทที่กล่าวไปในข้างต้น เริ่มเล็งเห็นถึงวัสดุทดแทนจากธรรมชาติที่มีทางเลือกให้มนุษย์ใช้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต จากการค้นคว้าและวิจัย ทำให้ปัจจุบันในวงการแฟชั่น เครื่องหนัง หรือเสื้อผ้าที่เราได้สวมใส่ อาจจะมีผลิตภัณฑ์จากหนังปลา หรือ ของเหลือใช้ทางทะเล มาให้มนุษย์เราใช้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต. ข้อมูล : The Wall Street Journal https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2726030 ****************************************************************************************************** สาวอียิปต์ถูกฉลามกัดแขนขาดในทะเลแดง หลังเข้าใจผิดคิดว่าเป็นปลาทูน่า นักท่องเที่ยวสาวชาวอียิปต์เคราะห์ร้ายถูกฉลามกัดขณะเล่นน้ำในทะเลแดงจนแขนขาด หลังเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพียงปลาทูน่า เกิดเหตุฉลามโจมตีมนุษย์อีกครั้ง ที่ชายหาด ลากูนา ซึ่งเป็นที่ตั้งของรีสอร์ตดาฮับ ริมทะเลแดงของอียิปต์ ห่างจากชาร์ม เอล ชีค ไปทางตอนเหนือราว 57 กิโลเมตร โดยผู้เคราะห์ร้ายเป็นนักท่องเที่ยวสาวจากเมืองอเล็กซานเดรียของอียิปต์ ที่ลงเล่นน้ำบริเวณชายหาดกับเพื่อนๆ ของเธอ ก่อนจะเผชิญหน้ากับฉลามที่ว่ายเข้ามาใกล้ แต่เธอเข้าใจว่ามันเป็นปลาทูน่าทำให้ไม่ทันระวังตัว และถูกฉลามกัดจนแขนขาด นับว่ายังเคราะห์ดีที่เจ้าหน้าที่นำตัวของเธอที่หมดสติขึ้นมาจากน้ำได้ทันและรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลและอาการทรงตัวแล้ว ขณะที่นักท่องเที่ยวที่อยู่บริเวณชายหาดดังกล่าวต่างรีบหนีตายขึ้นจากน้ำจนหมด หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ต่างเร่งค้นหาเจ้าฉลามต้นเหตุนานกว่า 2 ชั่วโมง แต่ก็ยังไม่พบตัว ขณะที่ทางการท้องถิ่นประกาศปิดหาดบริเวณดังกล่าวเพื่อความปลอดภัย โดยเคยมีรายงานพบเห็นฉลามบริเวณชายฝั่งใกล้กับรีสอร์ตแห่งนี้มาแล้วในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้ทางการประกาศห้ามลงเล่นน้ำในช่วงเวลาดังกล่าว ก่อนจะกลับมาอนุญาตให้ลงเล่นน้ำได้อีกครั้ง เมื่อไม่นานมานี้ เหตุฉลามทำร้ายนักท่องเที่ยวครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่เคยเกิดเหตุสะเทือนขวัญนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียวัย 23 ปีถูกฉลามเสือกัดจนตาย ต่อหน้าต่อตาแฟนสาวและพ่อของเขาเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าฉลามตัวดังกล่าวอาจจะเป็นตัวเดียวกับที่เคยกัดนักท่องเที่ยวตายเมื่อปีก่อนหน้าด้วย นอกจากนี้เมื่อปีที่ผ่านมาก็มีเหตุฉลามทำร้ายนักท่องเที่ยวหญิงชาวออสเตรียวัย 68 ปี และนักท่องเที่ยวหญิงชาวโรมาเนียวัย 40 ปีจนเสียชีวิตมาแล้ว. ที่มา : เดลีเมล์ https://www.thairath.co.th/news/foreign/2725601
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 19-09-2023 เมื่อ 03:17 |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
วิจัยระบุ "โลก" อาจเสียมวล "แผ่นน้ำแข็ง" กว่าครึ่ง ภายในปี 2100 ที่มาภาพ: NASA งานวิจัยล่าสุดอ้างอิงข้อมูลจากดาวเทียมเผยโลกอาจสูญเสียมวลแผ่นน้ำแข็งอย่างมีนัยสำคัญ เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ งานวิจัยโดย David R. Rounce ในวารสารทางการวิจัย Science พบว่าโลกอาจสูญเสียมวลแผ่นน้ำแข็งมากถึง 50% ภายในปี ค.ศ. 2100 หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นไปที่ 1.5 องศาเซลเซียส และระดับน้ำทะเลปานกลางขึ้นถึง 9 เซนติเมตร หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นไปที่ 2.7 องศาเซลเซียส ผลการวิเคราะห์พบว่าแผ่นน้ำแข็งเกือบทั้งหมดในบริเวณยุโรปตอนกลาง แคนาดาตะวันตก และสหรัฐอเมริการวมถึงรัฐอะแลสกาจะละลายทั้งหมด และถ้าหากเพิ่มขึ้นไปแตะที่ 4 องศาเซลเซียส 80% ของแผ่นน้ำแข็งทั้งหมดบนโลกจะหายไปและระดับน้ำทะเลปานกลางจะสูงขึ้น 15 เซนติเมตร การคาดการณ์เหล่านี้มาจากโมเดลที่ใช้ข้อมูลติดตามการเปลี่ยนแปลงของมวลแผ่นน้ำแข็งมากกว่า 215,000 แผ่น โดยอาศัยข้อมูลจากดาวเทียมสำรวจโลกอย่างดาวเทียม Landsat 8 ดาวเทียม Terra ขององค์การนาซา และดาวเทียม Sentinel ขององค์การอวกาศยุโรป สิ่งนี้ยิ่งเป็นตัวสะท้อนความสำคัญของการตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ที่ส่งผลกระทบต่อโลกของเรามากขึ้นทุกวัน https://www.thaipbs.or.th/news/content/331790
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|