เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 30-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 30 กันยายน 2566

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ และอ่าวไทยเริ่มมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ยังคงทำให้มีฝนตกหนักบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ โดยมีฝนตกหนักมากบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองและหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรงไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังอ่อน โดยทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง
อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 30 ก.ย. ? 2 ต.ค. 66 ร่องมรสุมกำลังอ่อนพาดผ่านประเทศไทยตอนบนในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนลดลง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่าง และอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1 - 2 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 3 ? 5 ต.ค. 66 ร่องมรสุมจะพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ในขณะที่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางมีแนวโน้มจะเคลื่อนผ่านปลายแหลมญวณเข้าสู่อ่าวไทยตามแนวร่องมรสุม ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่าง และอ่าวไทยมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 3 ? 5 ต.ค. 66 ขอให้ประชาชนบริเวณภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและลมกระโชกแรงบางแห่ง ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรงไว้ด้วย ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 30-09-2023 เมื่อ 02:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 30-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


นักวิทย์พบปลาหมึกยักษ์ "ดัมโบ้" หายาก ในทะเลลึกนอกหมู่เกาะฮาวาย

นักวิทยาศาสตร์พบปลาหมึกยักษ์ "ดัมโบ้" ที่หายาก ที่ความลึกกว่า 1,650 เมตร ในทะเลนอกชายฝั่งหมู่เกาะฮาวาย



ปลาหมึกยักษ์ "ดัมโบ้" ถูกตั้งชื่อตามตัวการ์ตูนดิสนีย์ เนื่องจากมีครีบกระพือคู่ใหญ่ที่งอกออกมาจากหัว ถูกพบบนฟีดกล้องบนเรือ "อาร์โอวี แอตาแลนตา" (ROV Atalanta) ขณะที่ทีมเจ้าหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลใน พื้นที่เขตอนุสรณ์แห่งชาติทางทะเล "ปาปาฮาเนาโมกูวาเกยา" (Papahanaumokuakea Marine National Monument) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐฮาวายของสหรัฐฯ ซึ่งได้รับการเผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจระหว่างองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ และสถาบันความร่วมมือสำรวจมหาสมุทร

ดัมโบ้ถือเป็นกลุ่มปลาหมึกยักษ์ที่อาศัยอยู่ในระดับความลึกที่สุด โดยอาศัยอยู่ใต้พื้นทะเลที่ระดับความลึกถึง 3,900 เมตร ขณะที่ทีมเจ้าหน้าที่กล่าวว่า ยังคงพบเห็นหมึกดัมโบ้ในพื้นที่ดังกล่าว

นักวิจัยระบุไว้ในบันทึกที่แนบมากับวิดีโอว่า "กองสำรวจของเราพบวัตถุนี้ลึกกว่า 1,600 เมตร ขณะสำรวจภูเขาใต้ทะเล "วูลลาร์ด" ซึ่งอยู่ห่างจากแนวปะการังรูปวงแหวน "โฮลานิคู" (Kure Atoll) ไปทางเหนือประมาณ 40 ไมล์ทะเล ระหว่างการสำรวจ พวกเรารู้สึกเพลิดเพลินที่ได้จ้องมองมันอย่างใกล้ชิด"

ทั้งนี้ ปลาหมึกยักษ์ดัมโบ้ทั้ง 17 สายพันธุ์ ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Grimpoteuthis spp. เป็นสัตว์ที่แทบไม่มีข้อมูลมากนัก

ตามรายงานของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งแปซิฟิก ระบุว่า "หมักยักษ์ดัมโบ้สามารถปรับตัวให้เข้ากับแรงกดดันที่รุนแรงและอุณหภูมิที่เย็นจัดของมหาสมุทรลึกโดยลดการเคลื่อนที่และสร้างส่วนรยางค์ขนาดใหญ่บริเวณลำตัว ขณะที่การสืบพันธุ์ของพวกมันดูเหมือนจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นพวกมันจึงมีความก้าวหน้ามากกว่าปลาหมึกยักษ์น้ำตื้นสายพันธุ์อื่นๆ"

ทั้งนี้ ปลาหมึกยักษ์ดัมโบ้พบได้ในน่านน้ำตั้งแต่นิวซีแลนด์ ไปจนถึงอ่าวมอนเทอเรย์ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ในสหรัฐฯ ไปจนถึงปาปัวนิวกินี พวกมันมีขนาดตั้งแต่ 30 เซนติเมตร ไปจนถึง 1.8 เมตร และไม่มีถุงหมึกเหมือนกับปลาหมึกยักษ์สายพันธุ์อื่นๆ

ปลาหมึกยักษ์ดัมโบ้ยังเป็นนักล่าที่อาศัยอยู่ในระดับที่ลึกมากจนไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์ แต่อาจตกเป็นเหยื่อของปลาทูน่า ปลาฉลาม โลมา และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลอื่นๆ

ตามข้อมูลขององค์กรอนุรักษ์ "โอเชียนา" (Oceana) ระบุว่า "หมึกดัมโบ้นั้นพบได้ยากตามธรรมชาติ และพื้นที่ใต้ท้องทะเลลึกก็มีขนาดมหึมา ดังนั้น สัตว์เหล่านี้จึงมีพฤติกรรมพิเศษที่จะเพิ่มโอกาสที่พวกมันจะสามารถสืบพันธุ์ได้สำเร็จทุกครั้งที่พบคู่"

"เห็นได้ชัดว่าตัวเมียมักจะมีไข่ในระยะการพัฒนาที่แตกต่างกัน และพวกมันสามารถเก็บสเปิร์มไว้เป็นเวลานานหลังจากผสมพันธุ์กับตัวผู้ ด้วยข้อได้เปรียบเหล่านี้ ปลาหมึกยักษ์ดัมโบ้เพศเมียสามารถถ่ายโอนสเปิร์มไปยังไข่ที่พัฒนาแล้วมากที่สุด เมื่อใดก็ตามที่สภาพแวดล้อมเหมาะสมสำหรับการสืบพันธุ์".


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2728998

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 30-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์


งานศึกษาเผย อากาศร้อนจัดต่อเนื่อง 2 ปี ทำธารน้ำแข็งสวิสหายไป 10%

รายงานฉบับใหม่แสดงให้เห็นว่า อากาศร้อนจัดที่เกิดขึ้น 2 ปีติดต่อกันในเทือกเขาแอลป์ ทำลายปริมาณธารน้ำแข็งของสวิตเซอร์แลนด์มากถึง 10% ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณน้ำแข็งที่ละลายในช่วง 3 ทศวรรษก่อนปี 2533


เครดิตภาพ : AFP

สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 29 ก.ย. ว่า ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้น เกี่ยวกับผลกระทบร้ายแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ คณะกรรมาธิการหิมะภาค (ซีซี) ของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งสวิตเซอร์แลนด์ เผยให้เห็นถึงธารน้ำแข็งที่ลดลงอย่างรวดเร็ว และเตือนว่า สถานการณ์ข้างต้นจะเลวร้ายกว่าเดิม

ทั้งนี้ ธารน้ำแข็งในเทือกเขาแอลป์ละลายมากที่สุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปี 2565 โดยปริมาณน้ำแข็งหายไปถึง 6% ขณะที่รายงานของซีซี แสดงให้เห็นว่า ธารน้ำแข็งไม่ฟื้นตัวมากนักในปีนี้ และสวิตเซอร์แลนด์สูญเสียปริมาณน้ำแข็งเพิ่มอีก 4% นับเป็นการลดลงครั้งใหญ่อันดับสอง นับตั้งแต่มีการเริ่มการตรวจวัด

"ธารน้ำแข็งทั้งหมดละลายไปมาก" นายแมตเธียส ฮัสส์ หัวหน้าหน่วยงานติดตามธารน้ำแข็งในสวิตเซอร์แลนด์ (กลามอส) กล่าว "แต่สำหรับธารน้ำแข็งขนาดเล็ก การละลายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ และกำลังจะหายไปแล้ว"

อนึ่ง การสูญเสียธารน้ำแข็งปริมาณมากในสวิตเซอร์แลนด์นั้น ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับฤดูหนาวที่มีปริมาณหิมะต่ำมาก รวมถึงอุณหภูมิในฤดูร้อนที่สูงขึ้น

นักวิทยาศาสตร์หลายคนเตือนว่า ธารน้ำแข็งสวิตเซอร์แลนด์อาจหายไปทั้งหมดภายในสิ้นศตวรรษนี้ หากไม่มีการดำเนินการเพื่อควบคุมภาวะโลกร้อนมากขึ้น ซึ่งฮัสส์ เน้นย้ำถึงความจำเป็น ในการรักษาเสถียรภาพของสภาพอากาศ โดยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์โดยเร็วที่สุด

อย่างไรก็ตาม ฮัสส์ยอมรับว่า แม้โลกจะสามารถบรรลุเป้าหมายตามข้อตกลงปารีส ฉบับปี 2558 ซึ่งจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส เหนือระดับอุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรรม แต่สวิตเซอร์แลนด์จะรักษาปริมาณธารน้ำแข็ง ได้เพียงประมาณ 1 ใน 3 เท่านั้น.


https://www.dailynews.co.th/news/2762909/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 30-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


ไข้หวัดนกระบาด! 'แมวน้ำ-สิงโตทะเล'อุรุกวัยตายกว่า 400 ตัว



29 ก.ย.66 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อุรุกวัยแจ้งว่า พบซากแมวน้ำและสิงโตทะเลประมาณ 400 ซากบนชายหาดและริมแม่น้ำในช่วงไม่กี่สัปดาห์ สันนิษฐานว่าเกิดจากการติดโรคไข้หวัดนก

เจ้าหน้าที่กระทรวงสิ่งแวดล้อมอุรุกวัยเผยว่า กระทรวงต่าง ๆ กำลังติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากพบสิงโตทะเลติดโรคไข้หวัดนกเอช 5 (H5) ตัวแรกบนชายหาดในกรุงมอนเตวิเดโอ บริเวณริเวอร์เพลต (River Plate) ซึ่งเป็นชะวากทะเลที่เกิดจากแม่น้ำ 2 สายมาบรรจบกันแล้วไหลออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติก เจ้าหน้าที่ได้ฝังซากไปแล้ว 350 ซากเพื่อหยุดยั้งเชื้อไวรัสแพร่ระบาด โดยสันนิษฐานว่าเป็นเชื้อไวรัสไข้หวัดนก เจ้าหน้าที่ยอมรับว่า โรคนี้ไม่สามารถควบคุมได้ ทำได้เพียงรอให้สัตว์มีภูมิคุ้มกัน แต่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด และขอให้ผู้ไปเที่ยวชายหาดหลีกเลี่ยงการสัมผัสซากสัตว์ เพราะถึงแม้การติดเชื้อจากสัตว์สู่คนเกิดขึ้นยากแต่ก็เกิดขึ้นได้

อุรุกวัยเป็นประเทศในทวีปอเมริกาใต้ มีแมวน้ำและสิงโตทะเลประมาณ 315,000 ตัว


https://www.naewna.com/inter/759870


******************************************************************************************************


ท่องเที่ยวเกาะเต่ากลับมาคึกคัก นักท่องเที่ยวทั่วโลกแห่ดำน้ำชมจุดจมเรือรบ



วันที่ 29 กันยายน 2566 บรรยากาศท่องเที่ยวเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้กลับมาคึกคักภายหลังจากที่รัฐบาลได้เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ทำให้มีนักท่องเที่ยวจากยุโรปและเอเชียเดินทางเข้าเกาะเต่าอย่างต่อเนื่อง การมาของนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้ส่งผลทำให้โรงแรมรวมถึงที่พักต่างๆ บนเกาะเต่ามีนักท่องเที่ยวจองเข้าพัก ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมาเกาะเต่าเพื่อต้องการเรียนดำน้ำและบางคนก็มาดำน้ำเพื่อชมความสวยงามใต้ทะเลรอบเกาะเต่า

หลังจากข่าวพิธีการจัดวางเรือหลวงหาญหักศัตรู หมายเลขประจำเรือ 312 และเรือหลวงสู้ไพรินทร์ หมายเลขประจำเรือ 313 หลังจากที่ปลดประจำการกองทัพเรือได้อนุมัติให้ทำพิธีจมเรือทั้ง 2 ลำบริเวณเกาะเต่า และเกาะนางยวน ซึ่งเรือทั้ง 2 ลำได้ปฏิบัติภารกิจในท้องทะเลมากว่า 47 ปีให้เป็นจุดท่องเที่ยวดำน้ำรูปแบบอุทยานการเรียนรู้ใต้ทะเลเป็นการทำประโยชน์ให้ประเทศชาติครั้งสุดท้ายของเรือทั้ง 2 ลำคือส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมากองทัพเรือได้มอบเรือที่ปลดประจำการคือเรือหลวงสัตกูด มาจัดวางเป็นจุดดำน้ำเมื่อเดือนมิถุนายน 2554 เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวและฟื้นฟูระบบนิเวศของปะการังอีกด้วย ข่าวการจัดวางเรือหลวงทั้งสองลำเป็นที่สนใจของนักดำน้ำทั่วโลกต่างเดินทางมาดำน้ำเพื่อชมเรือหลวงทั้ง 2 ลำอย่างใกล้ชิด ซึ่งการดำน้ำชมเรือที่จมเป็นที่ชื่นชอบของนักประดาน้ำเพราะเป็นกิจกรรมที่ตื่นเต้นและท้าทายจึงทำให้เกาะเต่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าเกาะอย่างต่อเนื่องสร้างรายได้ให้กับชาวเกาะเต่า และผู้ประกอบการท่องเที่ยว

ในเรื่องนี้นางรำลึก อัศวชิน นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะเต่า กล่าวว่า ตอนนี้การท่องเที่ยวของเกาะเต่าได้กลับมามีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเหมือนช่วงก่อนโควิด และเป็นเรื่องที่ดีที่เกาะเต่าได้รับความช่วยเหลือจากหลายหน่วยงานอย่างกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่มาร่วมประชาสัมพันธ์เกาะเต่าให้นักท่องเที่ยวในประเทศและต่างประเทศได้รับทราบถึงกิจกรรมของเกาะเต่า ซึ่งช่วงปลายปีนี้มีนักท่องเที่ยวจองห้องพักแล้วถึงประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์ จึงขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้มาร่วมสัมผัสและร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อมใต้ทะเลรอบเกาะเต่าอย่างที่ชาวเกาะเต่าทำอยู่ ชาวเกาะเต่ายินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างมิตรเหมือนเช่นคนในครอบครัว


https://www.naewna.com/likesara/759751

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 30-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก Nation TV


กว่าเดือนแล้วที่ "ทะเลตาย" นักวิชาการทวงผลตรวจสัตว์น้ำ เหตุน้ำมันรั่วศรีราชา



นักวิชาการถามแรง ผลตรวจสอบการปนเปื้อนสารพิษในสัตว์น้ำ ภายหลังการรั่วไหลของน้ำมันดิบลงทะเลศรีราชาเมื่อต้นเดือนกันยายน หลังจากสมาคมท่องเที่ยวในพื้นที่เตรียมจัดนิทรรศการใหญ่ชวนกินอาหารทะเล แม้ยังไม่มีผลแสดงความปลอดภัยชัดเจน

แม้ว่าจะเป็นว่าเกือบหนึ่งเดือนแล้ว นับตั้งแต่เหตุการณ์น้ำมันรั่วในทะเลศรีราชา ที่ผสมโรงกับปรากฎการณ์แพลก์ตอนบลูมครั้งใหญ่ จนทำให้เกิดเหตุสัตว์น้ำตายหมู่ ลอยมาติดชายหาดเป็นจำนวนมาก แต่จนถึงวันนี้ยังไม่มีผลตรวจสอบซากสัตว์น้ำออกมาอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด ทำให้ สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ออกมาร้องถามถึงผลตรวจสารปนเปื้อนในสัตว์น้ำ ก่อนที่จะมีการจัดนิทรรศการส่งเสริมการท่องเที่ยวศรีราชา-เกาะศรีชัง ช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้

นี่เป็นเรื่องสืบเนื่องจาก สมาคมการท่องเที่ยวและบริการศรีราชา -เกาะสีชัง กำลังเตรียมการจัดงานสร้างความเชื่อมั่นอาหารทะเลปลอดภัยภายใต้ชื่อ Siracha Clean Food & Seafood Festival 2023 และกิจกรรมใหญ่ส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 6-8 ตุลาคม นี้ที่ห้วยสุครีพ ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี

"หลังน้ำมันจากโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์รั่วไหลลงทะเลกระทบพื้นที่อ่าวไทยในจังหวัดชลบุรี กรมอนามัย สาธารณสุขจังหวัดชลบุรีได้ออกคำเตือนไม่ควรนำสัตว์น้ำในทะเลแถบศรีราชา เกาะสีชัง อ่าวอุดม บางพระ ไปรับประทานเพราะอาจจะได้รับอันตรายจากโลหะหนักและไฮโดรคาร์บอน และอ้างว่าได้เก็บตัวอย่างสัตว์ทะเลในกระ ชังและในตลาดไปตรวจ บัดนี้ผ่านมาครบเดือนแล้วยังไม่เห็นผลตรวจเลย ไม่มีการแสดงผลการตรวจสอบให้พี่น้องประมงและประชาชนในพื้นที่ทราบ ไม่รู้กลัวอะไร แต่จะไปร่วมงานกินปลาโชว์กับเทศบาลเกาะสีชังและอำเภอศรีราชาเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว" สนธิ กล่าว


ศรีราชา"ดร.สมนึก จงมีวศิน" โพสต์ทิ้งท้ายว่า

ก่อนกินอาหารทะลโชว์ในพื้นที่น้ำมันรั่วควรเอาผลตรวจไฮโดรปิโตรเลี่ยม โลหะหนัก สารPAH และอื่นๆ มาแสดงให้กลุ่มประมงและชุมชนรวมทั้งสาธารณชนทราบก่อน เพราะช่วงนี้ขายอาหารทะเลไม่ค่อยได้ ผู้บริโภคไม่ยอมซื้ออาหารทะเลแถบนี้ งานกินปลาโชว์หรือขายสัตว์ทะเลในราคาถูกไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง ที่ถูกต้องคือต้องเอาผลการตรวจเนื้อสัตว์ทะเลมาบอกสาธารณชน ทำงานแล้วเงียบแบบนี้ ไม่ค่อยโปร่งใส

ทีมข่าวยังได้สอบถามเพิ่มเติมไปยัง "ดร.สมนึก จงมีวศิน" นักวิชาการจากกลุ่ม EEC Watch ได้ความเพิ่มเติมว่า ขณะนี้มีทีมนักวิจัยทั้งหมด 4 ทีมหลักที่กำลังศึกษาผลกระทบจากการรั่วไหลของน้ำมันดิบลงทะเลศรีราชา โดยมีรายละเอียดและความคืบหน้าดังนี้

1. การสำรวจผลกระทบน้ำมันรั่วไหลภาคประชาชน ที่มีการส่งตัวอย่างสัตว์น้ำและน้ำทะเลไปตรวจยังห้องแลปของภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ เพราะต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการประมาณ 1 เดือน

2. ทีมการศึกษาผลกระทบน้ำมันรั่วไหล นำโดยบริษัทไทยออยล์ ซึ่งตัวอย่างสิ่งแวดล้อมถูกนำไปส่งตรวจ ณ ยังห้องแลป มหาวิทยาลัยบูรพา ขณะนี้ยังไม่ทราบผล

3. ทีมงานศึกษาผลกระทบทางทะเล นำโดย คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

4. ทีมงานประเมินผลกระทบน้ำมันรั่วไหลบริเวณทุ่นถ่ายน้ำมัน นำโดยบริษัทศึกษาวิจัยรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้กับบริษัทไทยออยล์

กว่าเดือนแล้วที่ "ทะเลตาย" นักวิชาการทวงผลตรวจสัตว์น้ำ เหตุน้ำมันรั่วศรีราชา

"เห็นได้ชัดว่า ขณะนี้ผลตรวจสอบสารเคมีตกค้างในน้ำ สัตว์ทะเล และสิ่งแวดล้อมยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี แต่ก็มีความพยายามจากบางภาคส่วนที่จะจบเรื่องให้ไว โดยการเร่งรัดกระบวนการสำรวจและเยียวยาความเสียหายแก่ผู้ได้รับผลกระทบ และรีบจัดงานส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ชัดด้วยซ้ำว่าขณะนี้สภาพสิ่งแวดล้อมและอาหารทะเลมีแค่ไหน" ดร.สมนึก กล่าว


https://www.nationtv.tv/gogreen/378931809

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 30-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


เปิดแผนที่ฉบับสมบูรณ์ "ซีแลนเดีย" ทวีปสาบสูญและทวีปที่ 8 ของโลกเป็นครั้งแรก


The continent of Zealandia
ซีแลนเดียมีพื้นที่กว่า 5 ล้านตารางกิโลเมตร


อริสโตเติล เอราโตสเทแนส ปโตเลมี เคยให้คำอธิบายถึงทวีปแห่งที่ 8 ของโลกเอาไว้ แม้จะถูกครหาว่าเป็นเพียง "ทวีปในจินตนาการ" ส่วนนักเขียนแผนที่แห่งนาลอส ขนานนามทวีปแห่งนี้ไว้ว่า เทอร์รา ออสตราลิส อินค็อกนิตา หรือในภาษาละตินที่แปลว่า "ดินแดนปริศนาทางใต้"

ชาวกรีกยุคโบราณเชื่อว่า ทวีปแห่งนี้น่าจะอยู่อีกฟากของโลก ตามหลักความสมมาตรทางเรขาคณิต

เมื่อปี 1642 อาเบล ทาสแมน นักเดินเรือชาวดัตช์มากประสบการณ์ ออกเดินทางไปในซีกโลกใต้เพราะเชื่อมั่นเหลือเกินว่าต้องมีทวีปขนาดใหญ่ที่ยังไม่มีใครค้นพบ

เขาไปได้ไกลสุดแค่เกาะนิวซีแลนด์ และเกิดการปะทะต่อสู้กับชนเผ่าเมารี เป็นเหตุให้ชาวยุโรปเสียชีวิตไป 4 ราย นั่นเป็นจุดจบของการเดินทางในครั้งนั้น และเขาไม่ได้แม้แต่ลงไปเหยียบบนเกาะนิวซีแลนด์

จากวันนั้น ผ่านมา 375 ปี ก่อนที่โลกจะสามารถยืนยันการดำรงอยู่ของทวีปแห่งที่ 8 ของโลก ที่เรียกว่า "ซีแลนเดีย" ได้

หากมองผิวเผิน จะมองไม่เห็นทวีปแห่งนี้ เพราะพื้นที่กว่า 94% อยู่ใต้น้ำ แต่ล่าสุด ได้มีการวาดภาพแผนที่ทวีปที่ชาวเมารีเรียกว่า "เตรีอู อามาวอี" เรียบร้อยแล้ว

นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันจีเอ็นเอส ไซแอนส์ (GNS Science) ได้วาดแผนที่อย่างละเอียด แสดงถึงเขตแดนของทวีปซีแลนเดีย ต่อยอดจากการตรวจสอบตัวอย่างก้อนหินที่ขุดลอกขึ้นมาจากใต้พื้นทะเล โดยผลการศึกษานี้ ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารเทคโทนิกส์

ทีมนักวิทยาศาสตร์ยังได้เปิดเผยขนาดพื้นที่บนพื้นผิวทวีปว่าอยู่ที่ 5 ล้านตารางกิโลเมตร

แล้วการที่ซีแลนเดีย ซึ่งจมอยู่ใต้มหาสมุทรเกือบทั้งหมด ได้รับการยอมรับว่าเป็นทวีปได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องตอบด้วยหลักธรณีวิทยา

จุดเริ่มต้นของทวีปซีแลนเดีย มีความเชื่อมโยงกับมหาทวีปโบราณกอนด์วานา ที่แตกย่อยออกมาเมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน กำเนิดเป็นทวีปต่าง ๆ ที่เรารู้จักในทุกวันนี้

ซีแลนเดีย แยกตัวออกมาจากมหาทวีปกอนด์วานา เมื่อราว 80 ล้านปีก่อน แต่ความแตกต่างของซีแลนเดียกับทวีปใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นแอนตาร์กติกาและออสเตรเลีย (โอเชียนเนีย) ก็คือดินแดนส่วนใหญ่ของซีแลนเดียยังจมอยู่ใต้ทะเล

ส่วนเดียวของทวีปที่ปรากฏให้เห็นเหนือผิวทะเล คือหมู่เกาะนิวซีแลนด์ นิวแคลิโดเดนีย (ดินแดนของฝรั่งเศส) รวมถึงเกาะลอร์ด ฮาว ไอส์แลนด์ และเกาะบอลส์พีระมิด ของออสเตรเลีย

ด้วยเหตุที่ทวีปซีแลนเดียอยู่ใต้ทะเล ทำให้มีการศึกษาเกี่ยวกับทวีปนี้ค่อนข้างกระจัดกระจาย ส่งผลให้การประเมินรูปร่างและขอบเขตของมันไม่ชัดเจน กระทั่งไม่นานมานี้ ก็ยังมีการวาดแผนที่ได้สำเร็จเฉพาะส่วนใต้ของทวีปเท่านั้น

นักธรณีวิทยา นิค มอร์ติเมอร์ เป็นผู้นำการศึกษานี้ และได้เดินหน้าวาดแผนที่ทวีปซีแลนเดียส่วนที่เหลืออีก 2 ใน 3 "การศึกษานี้ทำให้การทำแผนที่ผืนดินและพื้นที่นอกชายฝั่ง รวมพื้นที่ 5 ล้านตารางกิโลเมตร เสร็จสมบูรณ์" ผลการศึกษาระบุ

ทีมนักธรณีวิทยาและนักแผ่นดินไหววิทยา ได้ศึกษาตัวอย่างหินที่ขุดลอกขึ้นมาจากใต้พื้นทะเล ตะกอนที่ได้จากการเจาะพื้นทะเล และตัวอย่างหินและตะกอนที่พบตามแนวชายฝั่ง

นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์และสืบอายุของหินบะซอลต์ หินกรวด และหินทราย โดยพวกเขาค้นพบว่า หินทรายที่ได้จากทวีปซีแลนเดีย มาจากยุคครีเทเชียสตอนปลาย เมื่อประมาณ 95 ล้านปีก่อน ไม่เพียงเท่านั้น ทวีปซีแลนเดียยังมีหินคอบเบิลแกรนิต และหินกรวดภูเขาไฟจากยุคครีเทเชียสตอนต้น (130-110 ล้านปีก่อน) ส่วนหินบะซอลต์นั้น มีอายุย้อนไปถึงยุคอีโอซีน เมื่อ 40 ล้านปีก่อน

การตรวจสอบอายุของก้อนหิน และการตีความค่าผิดปกติของสนามแม่เหล็ก ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สร้างแผนที่พื้นที่ทางธรณีวิทยาขนาดใหญ่ทั่วทวีปซีแลนเดียตอนเหนือออกมาได้

นับแต่การค้นพบที่มีการบันทึกเอาไว้โดย อาเบล แทสแมน เมื่อปี 1942 ผู้ซึ่งต่อมาได้มอบชื่อของเขาไปตั้งชื่อเกาะที่เรียกว่า แทสแมเนีย ด้วย นักสำรวจและนักวิทยาศาสตร์มากมายที่พยายามตามหาทวีปซีแลนเดียได้เดินทางผ่านผืนน้ำเหนือทวีปแห่งนี้ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่พวกเขากำลังตามหาอยู่ใต้ทะเลลงไปนั่นเอง

คำบอกใบ้แรกว่าทวีปซีแลนเดียมีอยู่จริงมาจากนักธรรมชาติวิทยาชาวสกอตแลนด์ เซอร์ เจมส์ เฮคเตอร์ เขาเข้าร่วมการเดินเรือสำรวจเกาะต่าง ๆ ที่อยู่ห่างไปจากชายฝั่งทางใต้ของเกาะนิวซีแลนด์ในปี 1985

หลังจากศึกษาลักษณะทางธรณีวิทยาของเกาะต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว เขาสรุปว่า นิวซีแลนด์ "เป็นสิ่งที่หลงเหลือของเทือกเขาที่ก่อตัวเป็นยอดของบริเวณทวีปขนาดใหญ่ที่เหยียดยาวจากทิศใต้ไปจนถึงทิศตะวันออก ซึ่งตอนนี้จมน้ำอยู่..."

จนกระทั่งในปี 1995 นักธรณีฟิสิกส์ชาวอเมริกัน บรูซ ลูเยนดิค ออกมาย้ำอีกครั้งว่าบริเวณดังกล่าวถือเป็นทวีป และก็เรียกมันว่าซีแลนเดีย

โดยปกติเปลือกโลกในส่วนที่เป็นพื้นทวีปมักมีความหนาประมาณ 40 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าหนากว่าเปลือกโลกในส่วนที่เป็นมหาสมุทร ซึ่งอยู่ที่ราว 10 กิโลเมตร

แต่ด้วยการบีบอัด ทำให้ซีแลนเดียยืดขยายออกไปอย่างมาก จนเปลือกทวีปลดความหนาลงเหลือเพียง 20 กิโลเมตรเท่านั้น

จนในที่สุด ทวีปที่เปลือกโลกค่อนข้างบางแห่งนี้ก็ได้จมลงใต้มหาสมุทร แม้จะไม่ได้จมลึกเท่ากับเปลือกโลกมหาสมุทรทั่วไป แต่ก็อันตรธานหายไปใต้ทะเล

นักวิทยาศาสตร์โต้แย้งว่า ความหนาของเปลือกโลกของซีแลนเดีย และประเภทของก้อนหินที่พบ ทำให้ถือได้ว่ามันเป็นทวีป

ทั้งนี้ เรื่องนี้มีความสำคัญมากกว่าแค่ความสนใจทางวิทยาศาสตร์

เนื่องจากอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (United Nations Convention on the Law of the Sea) บอกว่า ประเทศต่าง ๆ สามารถขยายพื้นที่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไปไกลกว่าเขตเศรษฐกิจจำเพาะของตัวเอง (200 ไมล์ทะเล หรือ 370 กม. จากชายฝั่งประเทศ) ได้ เพื่อเข้าครอบครอง "ไหล่ทวีปส่วนที่ขยายออกไป" ซึ่งหมายถึงการครอบครองแหล่งสินแร่และน้ำมันในพื้นที่ด้วย

ดังนั้น หากนิวซีแลนด์สามารถพิสูจน์ได้ว่า นิวซีแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของทวีปที่มีขนาดใหญ่กว่า นั่นหมายความว่า นิวซีแลนด์จะสามารถขยายขอบเขตดินแดนไปได้จากปัจจุบันถึง 6 เท่า และนั่นหมายถึงงบประมาณเพื่อการสำรวจทางทะเลที่มากขึ้นด้วย


https://www.bbc.com/thai/articles/c99qr14lp1do

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:10


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger