#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2566
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางระลอกใหม่จากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นในตอนเช้ากับมีลมแรง ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกมีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงให้ระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากอากาศแห้งไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้มีกำลังค่อนข้างแรง ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงที่ปกคลุมทะเลจีนใต้ตอนล่างมีแนวโน้มจะเคลื่อนผ่านภาคใต้ตอนล่างในช่วงวันที่ 25?27 พ.ย. 66 ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ประชาชนในบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากโดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่งไว้ด้วย ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ส่วนเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรงดออกจากฝั่งในระยะนี้ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆบางส่วน อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 25 ? 30 พ.ย. 66 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทย และทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวอุณหภูมิจะลดลง 1 ? 2 องศาเซลเซียส ประกอบกับจะในช่วงวัน 24 - 27 พ.ย 66 มีหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่างเคลื่อนผ่านอ่าวไทย เข้าสู่ภาคใต้ตอนล่าง ลงสู่ทะเลอันดามัน ส่งผลทำให้มีลมตะวันออกพัดปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนบางพื้นที่ ส่วนภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น โดยคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างจะมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ตลอดช่วง สำหรับชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง เรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรงดออกฝั่ง ในช่วงวัน 25 - 27 พ.ย. 66 ****************************************************************************************************** ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณภาคใต้ และคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง (มีผลกระทบในช่วงวันที่ 24 ? 27 พฤศจิกายน 2566) ฉบับที่ 4 (301/2566) ในช่วงวันที่ 25-27 พ.ย. 66 หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงที่ปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง มีแนวโน้มจะเคลื่อนผ่านอ่าวไทยและภาคใต้ตอนล่าง ลงสู่ทะเลอันดามัน ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ส่งผลทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย จังหวัดที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง มีดังนี้ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2566 ภาคใต้: จังหวัดสุราษฏร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส กระบี่ ตรัง และสตูล วันที่ 26 พฤศจิกายน 2566 ภาคใต้: จังหวัดชุมพร สุราษฏร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล วันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 ภาคใต้: จังหวัดสุราษฏร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส กระบี่ ตรัง และสตูล สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ส่วนเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรงดออกจากฝั่งในช่วงเวลาดังกล่าว รวมทั้งระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่งไว้ด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
งานเข้า หนุ่มอ้างไม่รู้โดนคุก-ปรับอ่วมเฉียดล้าน หลังจับหอยสังข์ราชินีมาย่างกิน งานเข้าแรง หนุ่มนักชิมอ้างไม่รู้ ส่อโดนคุกแถมถูกปรับอีกเฉียดล้าน หลังนำหอยสังข์ราชินีมาย่างกิน เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานว่า เจ้าหน้าที่จับกุมนายเบอร์ลีย์ เดวิด สมิธ ชายวัย 67 ปีจากเกาะคีย์เวสต์ รัฐฟลอริดา สหรัฐ ในข้อหาจับหอยสังข์ราชินีมาปรุงอาหาร เนื่องจากเป็นสัตว์ภายใต้การคุ้มครองตามกฎหมายประจำรัฐ โดยอาจต้องได้รับโทษจำคุก 2-5 ปี ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น เผยว่า ก่อนหน้าการจับกุม มีผู้รายงานว่า พบคนจับหอยสังข์ราชินีไปกินที่เกาะวิสทีเรีย ซึ่งเป็นเกาะที่อยู่บริเวณชายขอบของเมืองคีย์เวสต์ และเป็นสถานที่ที่คนจรจัดมักเข้าไปพักอาศัย หลังได้รับเรื่องทางด้านหน่วยงานอนุรักษ์พันธุ์ปลาและสัตว์ป่า จึงส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ ภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบบริเวณตั้งแคมป์ของเขา ก็พบเปลือกหอยสังข์ราชินี 2 ชิ้น อยู่ใกล้กับหม้อและกองไฟ อีกทั้งก็มีพยานรายหนึ่งแจ้งว่า นายสมิธ เป็นคนจับหอยดังกล่าว และนำมาปรุงเป็นอาหารที่จุดตั้งแคมป์ของเขา เมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน กลุ่มเจ้าหน้าที่พยายามเจรจากับ นายสมิธ แต่เขากลับถกเถียง มีท่าทีขัดขืน และไม่ให้ความร่วมมือ แต่ในที่สุดเจ้าหน้าที่ได้ทำการจับกุมเขาไว้ได้ อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินคดีทางอาญากับนายสมิธ เนื่องจากเขาจับหอยสังข์ราชินี 2 ตัว มาปรุงเป็นอาหารกิน ซึ่งในรัฐฟลอริดา หอยสังข์ราชินีถือว่าเป็นสัตว์ทะเลที่ได้รับการคุ้มครองและกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาให้บรรจุชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อสัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ตามกฎหมาย ทั้งนี้ ในกรณีนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อหานายสมิธในคดีอาญาที่มีความผิดระดับอุกฉกรรจ์ เนื่องจากหอยสังข์ราชินี เป็นสัตว์ในความคุ้มครองตามกฎหมายรัฐ อีกทั้งยังโดนข้อหาพยายามใช้ความรุนแรงเพื่อขัดขืนการจับกุมของเจ้าหน้าที่ ซึ่งต้องรับโทษจำคุกระหว่าง 2-5 โดยมีวงเงินประกันตัวอยู่ที่ 21,500 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 800,000 บาท https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_7979529
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
'ลอยกระทง' ทุกแบบคือการทำลายสิ่งแวดล้อม ปลายทางเป็นขยะ ทำปลาตาย-ระบบนิเวศเสียหาย ................. โดย พิราภรณ์ วิทูรัตน์ เมื่อการลอยกระทง เท่ากับการลอยขยะ! นักวิชาการ ชี้ กระแสน้ำไหลเร็ว-จัดเก็บกระทงยาก ปลายทางถูกพัดติดชายฝั่งทะเล สร้างมลพิษต่อปลาทะเล-ระบบนิเวศเสียหายหนัก แม้เป็น "กระทงขนมปัง" ก็ทำลายสิ่งแวดล้อมไม่ต่างกัน เพราะไม่ใช่ปลาทุกชนิดจะชอบกินขนมปัง! Key Points: - เทศกาลลอยกระทงมาพร้อมกับการตั้งคำถามถึงความเหมาะสมทุกปี โดยเฉพาะเมื่อความนิยมเรื่องรักษ์โลก-รักสิ่งแวดล้อมถูกพูดถึงในกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ - ปัญหาหลักของการลอยกระทงไม่ใช่วัสดุแต่เป็นการจัดเก็บกระทง โดยข้อมูลจาก กทม. ระบุว่า ปี 2565 มีการจัดเก็บกระทงได้มากถึง 572,602 ใบ ส่วนใหญ่เป็นกระทงที่ทำจากวัสดุทางธรรมชาติ - นักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลระบุว่า "กระทงขนมปัง" เป็นปัญหาต่อการจัดเก็บมากที่สุด เพราะเปื่อยยุ่ยง่ายและปลาไม่ได้กินได้ทั้งหมด เมื่อขนมปังจมลงสู่แม่น้ำทำให้ระดับออกซิเจนต่ำลง สร้างความเสียหายต่อสัตว์น้ำและระบบนิเวศ เทศกาลลอยกระทงประจำปี 2566 ใกล้มาถึงแล้ว ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันทุกปี คือผลกระทบที่ตามมาจากประเพณีที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของวัสดุในการทำกระทง และการจัดเก็บกระทงหลังลอยเสร็จ แม้ระยะหลังจะมีการปรับเปลี่ยนด้วยการลดใช้กระทงจากโฟม หันไปใช้กระทงจากขนมปังหรือวัสดุจากธรรมชาติแทน แต่ปัญหาที่ตามมาไม่ได้มีต้นตอจาก "วัสดุ" ทั้งหมด หากแต่เป็นเรื่อง "งูกินหาง" ตั้งแต่พื้นที่ในการลอย การจัดเก็บกระทงหลังลอยเสร็จ ทางน้ำไหลที่จะไปบรรจบกับพื้นที่ชายฝั่งทะเล รวมถึงความเข้าใจเรื่องวัสดุที่หลายคนมองว่า "กระทงขนมปัง" ไม่ได้ทำลายสิ่งแวดล้อมเท่ากับวัสดุย่อยสลายยาก ทว่า แท้จริงแล้ว "กระทงขนมปัง" กลับเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดมลพิษในแหล่งน้ำไม่น้อยไปกว่ากระทงในรูปแบบอื่นๆ เลย กางสถิติจัดเก็บกระทงย้อนหลัง กระทงเพิ่มขึ้นทุกปี วัสดุจาก ?โฟม? มากกว่าปีก่อน ข้อมูลสถิติการจัดเก็บกระทงจากสำนักงานสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร ระบุว่า ปี 2565 สามารถจัดเก็บกระทงได้ทั้งหมด 572,602 ใบ เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่สามารถจัดเก็บได้ 403,203 ใบ เมื่อเทียบเคียงกันแล้วพบว่า กระทงที่จัดเก็บได้ในปี 2565 เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ราว 42% สำหรับกระทงในปี 2565 มีกระทงจากวัสดุธรรมชาติ 548,086 ใบ คิดเป็นสัดส่วน 95.7% ส่วนกระทงจากโฟมมีทั้งสิ้น 24,516 ใบ คิดเป็น 4.3% แม้จะดูเป็น ?ส่วนน้อย? แต่เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (ปี 2564) แล้ว พบว่า มีการใช้กระทงจากโฟมเพิ่มขึ้นราว 0.8% โดยเขตที่มีการใช้วัสดุจากโฟมมากที่สุด ได้แก่ เขตประเวศ จำนวน 1,140 ใบ อย่างไรก็ตาม สถิติการจัดเก็บกระทงอาจไม่ใช่ตัวเลขที่จะนำมาสนับสนุนได้ว่า คนไทยลอยกระทงเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะข้อมูลการจัดเก็บกระทงเหล่านี้อาจอธิบายได้ว่า กทม. สามารถจัดเก็บขยะกระทงหลังลอยเสร็จได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่จะนำไปสู่ข้อมูลทางวิชาการจากผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลที่มีการระบุว่า การจัดเก็บกระทงที่ไม่ครอบคลุมทำให้การลอยกระทงสร้างมลพิษทางน้ำ-ทำลายระบบนิเวศต่อปลาทะเล ใบตอง-โฟม-ขนมปัง-ผัก ลอยแบบไหนก็ทำลายสิ่งแวดล้อม? "ธนัสพงษ์ โภควนิช" อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เริ่มต้นอธิบายว่า ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจลักษณะแหล่งน้ำที่มีทั้งแหล่งน้ำขัง แหล่งน้ำไหล และแหล่งน้ำรอการระบาย แต่ละแบบก็มีข้อจำกัดในการรับของเสียได้แตกต่างกัน สำหรับแม่น้ำเส้นหลักของไทย ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำบางปะกง และแม่น้ำท่าจีน มีการไหลเวียนของน้ำค่อนข้างเร็ว ทำให้การจัดเก็บกระทงในแม่น้ำเหล่านี้ทำได้ค่อนข้างยาก อาจทำให้มีกระทงตกหล่นจากการจัดเก็บไปบ้าง ซึ่งประเด็นนี้คือเรื่องที่อันตรายที่สุดเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี คือมีกระทงถูกพัดไปติดตามชายฝั่งทะเล กลายเป็นขยะพิษต่อสัตว์น้ำในทะเลในท้ายที่สุด หากถามว่า กระทงที่ย่อยสลายง่ายอย่าง "ผัก" หรือ "ขนมปัง" สร้างมลพิษน้อยกว่าโฟมหรือไม่ อาจารย์ระบุว่า เมื่อเทียบเคียงวัสดุยอดนิยมในการนำมาทำกระทงทั้งหมด "ขนมปัง" ยากต่อการจัดเก็บมากที่สุด ตามความเข้าใจของประชาชนทั่วไปอาจมองว่า ขนมปังเมื่อลอยในน้ำแล้วปลายทางจะเป็นอาหารปลาซึ่งไม่ใช่ปลาทุกชนิดที่จะชอบกินขนมปัง และเมื่อลอยน้ำไปสักพักขนมปังเหล่านี้อาจเปื่อยยุ่ยและจมลงสู่ก้นแม่น้ำก่อนที่ปลาจะกินด้วยซ้ำไป อาจารย์เปรียบเทียบว่า การลอยกระทงขนมปังลงแม่น้ำพร้อมกันหลายสิบ หลายร้อยใบ ไม่ต่างอะไรกับการทิ้งขยะลงแม่น้ำ มีแต่จะทำให้ปลาตาย แหล่งน้ำเน่าเสีย "Hypoxia" หรือภาวะพร่องออกซิเจน คือสิ่งที่เกิดขึ้นในแม่น้ำหลังมีการลอยกระทง เมื่อขนมปังหรือผักผลไม้ปริมาณมากเกินกว่าที่ปลาในแม่น้ำจะกินจมลงแม่น้ำพร้อมกัน เศษอาหารเหล่านี้จะค่อยๆ เน่าเสีย เปื่อยยุ่ย ทำให้ปริมาณออกซิเจนในแม่น้ำต่ำลง ไม่ใช่แค่ปลาที่ได้ผลกระทบ แต่บรรดาสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ ที่ไม่สามารถขึ้นมาหายใจรับออกซิเจนบนผิวน้ำจะยิ่งได้รับผลกระทบหนัก ท้ายที่สุดคือทำให้ระบบนิเวศเสียหายจนยากจะรักษาให้กลับมาดีดังเดิมได้ ดีที่สุด คือการไม่ลอยอะไรเลย? ไม่ใช่ปลาทุกชนิดที่ชอบกินขนมปัง "ธนัสพงษ์" ให้ข้อมูลว่า พันธุ์ปลาแบบกว้างๆ มี 3 ชนิด ได้แก่ ปลากินเนื้อ ปลากินพืช และปลาที่กินทั้งเนื้อและพืช หากเป็นชนิดปลากินพืช "ขนมปัง" จะเป็นอาหารจานโปรดของพวกมัน แต่ถ้าในแม่น้ำเป็นปลากินเนื้อ "ขนมปัง" ที่เราลอยไปก็ไม่ต่างอะไรกับขยะในแม่น้ำ และแน่นอนว่า ในแม่น้ำไม่ได้มีปลาเพียงชนิดใดชนิดหนึ่ง ร้ายที่สุดคือการที่แหล่งน้ำนั้นไม่มีปลากินพืชอยู่เลย ซึ่งพันธุ์ปลาส่วนใหญ่ในแม่น้ำที่เราคุ้นเคยอย่างปลาช่อน ปลาดุก ปลากระพง ล้วนเป็น "ปลากินเนื้อ" ทั้งสิ้น ฉะนั้น หากถามว่า ลอยกระทงด้วยวัสดุแบบไหนจึงจะเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดคำตอบคงไม่ใช่ขนมปัง ผักผลไม้ หรือใบตอง แต่ต้องกลับไปที่ขั้นตอนการจัดเก็บกระทงว่า ทางเขตรับผิดชอบแต่ละจังหวัดมีการวางแผนการจัดเก็บกระทงเพื่อป้องกันกระทงทะลักสู่ชายฝั่งทะเลอย่างไรบ้าง ถ้าประเพณีนี้ยังดำเนินต่อไปด้วยเหตุและผลของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ-ดึงดูดนักท่องเที่ยว ก็คงต้องทบทวนถึงมาตรการป้องกันความเสียหายต่างๆ อย่างรอบด้านว่า เม็ดเงินจากเทศกาลที่หลั่งไหลเข้ามานั้นคุ้มค่ากับผลกระทบที่ตามมาหรือไม่ https://www.bangkokbiznews.com/environment/1100553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|