#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางยังคงคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ในขณะที่ลมฝ่ายตะวันตกในระดับบนพัดปกคลุมภาคเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาวในตอนเช้า ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบนมีอากาศเย็นในตอนเช้า สำหรับบริเวณยอดดอยของภาคเหนือมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด กับมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 4-10 องศาเซลเซียส ส่วนยอดภูของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10-15 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ยังคงหนาวเย็นในตอนเช้าในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังปานกลาง ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยบริเวณอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามัน มีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองและห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันปานกลางถึงค่อนข้างมาก เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อนลง และมีการระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดี กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศเย็นในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 4 ? 5 ม.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและทะเลจีนใต้ ประกอบกับในช่วงวันที่ 6 ? 7 ม.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีน จะแผ่เสริมลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีอุณหภูมิลดลง 1 - 2 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง สำหรับบริเวณยอดดอยของภาคเหนือมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4 - 10 องศาเซลเซียส และมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง ส่วนยอดภูของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10 - 15 องศาเซลเซียส หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 8 - 10 ม.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางที่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและทะเลจีนใต้เริ่มมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1 ? 2 องศาเซลเซียส กับมีหมอกบางในตอนเช้า ในขณะที่ลมตะวันตกเฉียงเหนือในระดับบนจะพัดพาอากาศหนาวเย็นจากที่ราบสูงธิเบตและประเทศเมียนมาปกคลุมภาคเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวจะมีอุณหภูมิลดลงเล็กน้อย สำหรับบริเวณยอดดอยของภาคเหนือมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4 - 10 องศาเซลเซียส และมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง ส่วนยอดภูของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 11 - 16 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 5 ? 10 ม.ค. 67 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณตอนล่าง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพที่ยังคงหนาวเย็นในตอนเช้าตลอดช่วง และในช่วงวันที่ 8 ? 10 ม.ค. 67 ขอให้เพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย ส่วนในช่วงวันที่ 6 ? 8 ม.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนัก และชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ปลาออร์ฟิช ผู้กุมความลับใต้ทะเลลึก ตำนานเตือนภัยพิบัติ เจอที่สตูลยาว 2 เมตร ขอขอบคุณภาพจาก เพจ วิทยาศาสตร์การประมงและทรัพยากรทางน้ำ TSU ปลาออร์ฟิช หรือปลาพญานาค ที่คนไทยรู้จัก ถือเป็นปลาที่ซ่อนปริศนา และเรื่องเล่าไว้มากมาย ล่าสุดพบที่ เกาะอาดัง อ.ละงู จ.สตูล เมื่อ 3 ม.ค. ที่ผ่านมา แต่หลายคนหวั่นวิตกว่าเป็นสัญญาณเตือน "สึนามิ" จะเกิดขึ้นตามเรื่องเล่าที่ผ่านมาหรือไม่ สำหรับผู้เชี่ยวชาญมองการพบปลาพญานาค ขนาดความยาว 2.4 เมตร เป็นปลาที่หายาก มีพฤติกรรมสัญญาณเตือนภัยน้อยกว่า "นก สุนัข" โดยมีข้อมูลจากเพจ วิทยาศาสตร์การประมงและทรัพยากรทางน้ำ TSU ระบุว่า รายงานการพบ ปลาออร์ฟิช (Oarfish) ขนาดความยาว 2.4 เมตร ปลาทะเลที่สามารถพบได้ในระดับน้ำที่ลึกมาก จากเรือประมง ก.เทพเจริญพร 15 บริเวณเกาะอาดัง อ.ละงู จ.สตูล เมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2567 (เครดิตคุณ Wannarrong Sa-ard ผู้รายงานคนแรก) ปลาออร์ หรือ ปลาริบบิ้น เป็นปลากระดูกแข็งชนิดหนึ่ง มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับพญานาคตามความเชื่อของไทย หรือมังกรทะเลในความเชื่อในยุคกลางของชาวตะวันตก โดยมีความยาวได้สูงสุดยาวถึง 9 เมตร และหนัก 300 กิโลกรัม แต่ก็มีบันทึกไว้ในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ด้วยว่า ปลาชนิดนี้เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่ยาวที่สุดในโลก โดยอาจยาวได้ถึง 11 เมตร ท่ามกลางความหวั่นวิตกว่าจะมีเหตุสึนามิตามความเชื่อ เพราะญี่ปุ่นเพิ่งเกิดเหตุแผ่นดินไหวจนทำให้มีสึนามิ สร้างความเสียหายอย่างหนักเมื่อวันที่ 1 ม.ค. ที่ผ่านมา ทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ สอบถามไปยัง ดร.สรณัฏฐ์ ศิริสวย อาจารย์ภาควิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ปลาออร์ฟิช จะอาศัยอยู่ในมหาสมุทร เป็นปลาที่พบได้ยาก ทำให้ผู้ที่เชี่ยวชาญทั่วโลกมีข้อมูลปลาชนิดนี้น้อย จนมีการผูกโยงกับตำนานความเชื่อในหลายแห่งทั่วโลก จุดที่พบ ปลาออร์ฟิช มักเป็นบริเวณสายทุ่นลอยน้ำ สำหรับประเทศไทยปลาชนิดนี้ไม่ไม่ค่อยพบ แต่ในฝั่งทะเลอันดามันเชื่อมต่อกับมหาสมุทรอินเดีย ก็มีโอกาสที่ปลาจะว่ายเข้ามาได้ถึง จ.สตูล อย่างที่เพิ่งพบล่าสุด แต่ยังมีขนาดไม่ยาวมาก เพราะเคยมีชาวต่างชาติจับได้ และถ่ายรูปเผยแพร่ไม่ทั่วโลก ปลาออร์ฟิช ยังไม่ใช่สัตว์น้ำที่ใกล้สูญพันธุ์ แต่ด้วยการใช้ชีวิตที่พบได้ยาก ทำให้ไม่ค่อยมีข้อมูลที่บ่งบอกถึงการใช้ชีวิต สิ่งนี้จึงทำให้เป็นปริศนาที่บางคนอยากรู้ จากความเชื่อที่ว่าถ้าเจอปลาพญานาค จะเป็นสัญญาณเตือนภัยพิบัติ โดยเฉพาะการเกิดสึนามิ ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก เพราะถ้าเทียบแล้วถ้าหากเกิดภัยพิบัติ สุนัข และนก จะมีปฏิกิริยาที่เร็วกว่าปลาในทะเล แต่จะแสดงพฤติกรรมก่อนเกิดภัยพิบัติประมาณ 4-5 วินาทีเท่านั้น เช่น สุนัขจะตกใจเห่า ส่วนนกจะตกใจบินหนีกันเป็นกลุ่ม เพราะมีประสาทหูที่ดีกว่ามนุษย์ ทำให้ได้ยินเสียงแผ่นดินไหวได้ก่อนคน การเตือนภัยเรื่องแผ่นดินไหว และสึนามิ ปกิกิริยาของปลาจะมีน้อย แต่มักมีตำนานผูกโยงกัน เช่นในญี่ปุ่นเล่าถึงต้นเหตุแผ่นดินไหวมาจากการที่ปลาดุกขยับตัว ถือเป็นความเชื่อสมัยก่อนที่คนโบราณยังไม่ได้มีเทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์เข้ามามากนัก อยากฝากถึงคนที่ตื่นตระหนกว่า เมืองไทยมีโอกาสเกิดแผ่นดินไหว แต่ไม่น่าเกี่ยวกับปลาออร์ฟิชที่เจอที่สตูลล่าสุด ซึ่งสัญญาณเตือนเรื่องภัยพิบัติมาจากปลามีน้อย เมื่อเทียบกับสัตว์ชนิดอื่นที่มีประสาทหูดีกว่า. https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2752732 ****************************************************************************************************** แห่ดูเพียบ คลิปติ๊กต่อก เจอปลาออร์ฟิชที่ไต้หวัน ลางเตือนแผ่นดินไหวญี่ปุ่น? ขณะที่ผู้คนในประเทศไทยกำลังกล่าวขวัญกันถึงการพบ 'ปลาออร์ฟิช' หรือ'ปลาพญานาค'ปลาทะเลน้ำลึก ว่ายขึ้นมาจากใต้ท้องทะเลลึก ระดับประมาณ 1,000 เมตร จนติดอวนชาวประมงในจังหวัดสตูล จนเกิดความวิตกพอสมควรว่า จะเป็นลางบอกเหตุว่าจะเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว ตามความเชื่อหรือไม่ แม้ไม่มีเหตุผลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับก็ตาม ขณะเดียวกัน ในช่วงนี้ ได้มีคลิป TikTok (ติ๊กต่อก) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการพบปลาออร์ฟิช ซึ่งถูกพบที่ไต้หวัน เมื่อหลายเดือนก่อน กำลังกลายเป็นคลิปติ๊กต่อกที่ได้รับความนิยมสูงสุด บนหน้าเว็บไซต์ข่าว metro ในอังกฤษ โดยมีผู้คนคลิกเข้าไปดูคลิปนี้กันเป็นจำนวนมาก เพราะเนื้อหาในคลิปได้มีการตั้งคำถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่า การเจอปลาออร์ฟิชที่ไต้หวัน เป็นสัญญาณเตือนว่าจะเกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.6 ทางชายฝั่งตะวันตกของเกาะฮอนชู ในประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา เนื้อหาในคลิปติ๊กต่อกนี้ บอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่นักประดาน้ำหลายคนต้องตื่นตะลึง เมื่อพบปลาออร์ฟิชตัวใหญ่มาก โผล่ขึ้นมาว่ายอยู่ในบริเวณนอกชายฝั่ง ทางตอนเหนือของเกาะไต้หวัน ช่วงเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา ซึ่งการพบปลาออร์ฟิชในไต้หวันครั้งนี้ สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก เนื่องจากปลาออร์ฟิช เป็นปลาทะเลน้ำลึก อาศัยอยู่ใต้ทะเลในระดับความลึกถึงประมาณ 1,000 เมตร การเห็นปลาออร์ฟิชในระดับที่แสงส่องลงไปถึง จึงเป็นเรื่องที่ยากมาก คำถามของผู้ผลิตคอนเทนต์ในติ๊กต่อกนี้ ก็คือเป็นไปได้หรือไม่ว่า การเห็นปลาออร์ฟิชจะเป็นคำเตือน หรือลางบอกเหตุ ก่อนเกิดแผ่นดินไหวและคำเตือนสึนามิในญี่ปุ่นเมื่อวันปีใหม่ หรือเรื่องนี้เป็นเพียงความเชื่อ ที่ไม่มีเหตุผลทางด้านวิทยาศาสตร์มารองรับ ทั้งนี้ ตามตำนานความเชื่อของชาวญี่ปุ่นนั้น ได้เปรียบ ปลาออร์ฟิช เป็น 'ผู้ส่งสารจากวังของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล' ที่มาเตือนผู้คนว่าภัยพิบัติแผ่นดินไหว หรือสึนามิ กำลังจะมาเยือน https://www.thairath.co.th/news/foreign/2752737 ****************************************************************************************************** หรือจะเป็น "วาฬเผือก" โผล่ทะเลกระบี่ เร่งสำรวจว่าเป็นตัวแรกของไทยหรือไม่ นักท่องเที่ยวสุดตื่นเต้น "วาฬเผือก" โผล่โชว์ตัว ใกล้เรือนำเที่ยว ทะเลกระบี่ หน.อุทยานฯ หาดนพรัตน์ธาราฯ สั่งเร่งสำรวจ ว่าเป็นตัวแรกของไทยหรือไม่ วันที่ 4 ม.ค.67 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก นายยุทธพงศ์ ดำศรีสุข หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ว่า มีเรือนำเที่ยวพานักท่องเที่ยวออกไปท่องทะเลใกล้กับเกาะพีพี แล้วเจอ "วาฬเผือก" ขนาดใหญ่ ความยาวประมาณ 7 เมตร โผล่ขึ้นมาโชว์ตัวกับนักท่องเที่ยว จนนักท่องเที่ยวบนเรือถึงกับออกอาการตื่นเต้น เนื่องจากวาฬจะหาดูยากแล้ว สีของวาฬยังเป็นสีขาวทั้งตัว ซึ่งวาฬตัวนี้ไม่เคยพบเห็นในพื้นที่มาก่อน นายยุทธพงศ์ เผยว่า วาฬเผือกที่เจอนี้ นักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวเกาะพีพี ถ่ายไว้เมื่อ 2-3 วันก่อน เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าเป็นวาฬชนิดไหน แต่ถือว่าเป็นที่น่ายินดี ที่เจอวาฬเผือกในท้องทะเลกระบี่ นับว่าเป็นตัวแรกของ จ.กระบี่ เลยทีเดียว หรืออาจจะเป็นตัวแรกของประเทศไทยก็ได้ ตอนนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูล และให้เจ้าหน้าที่สำรวจพิกัดที่พบเจอให้แน่ชัด เพื่อติดตามหาให้เจอ จะได้ทราบชนิด ขนาด และบันทึกไว้ อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือไปยังเรือนำเที่ยว และเรือประมงในพื้นที่ ให้เพิ่มความระมัดระวังในการขับเรือ ป้องกันไม่ให้ไปเกิดอันตรายกับวาฬตัวนี้ด้วย ซึ่งการปราฏตัวของวาฬสะท้อนให้เห็นว่าทะเลกระบี่สมบูรณ์มากจริงๆ. https://www.thairath.co.th/news/local/south/2752636
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
หอยนางรมพื้นเมือง กลับสู่กรุงเบลฟาสต์ หลังหายไปนานนับร้อยปี หอยนางรมที่ห่างหายไปจากท่าเรือของกรุงเบลฟาสต์ เมืองหลวงของไอร์แลนด์เหนือ เป็นเวลานาน กลับมาอาศัยอยู่อีกครั้ง อันเป็นผลจากโครงการติดตั้งแหล่งเพาะเลี้ยง ที่มุ่งส่งเสริมชีวิตสัตว์ทะเล และคุณภาพนํ้า ตามข้อมูลขององค์กรการกุศล "อัลสเตอร์ ไวลด์ไลฟ์" ทางนํ้าแคบ ๆ ของปากนํ้าเบลฟาสต์ เป็นบ้านของแนวปะการังหอยนางรมขนาดใหญ่ กระทั่งช่วงต้นทศวรรษที่ 1900 การประมงเกินขนาด, โรคภัย และมลพิษค่อย ๆ ทำลายประชากรหอยนางรมอย่างต่อเนื่อง "เรากำลังนำแหล่งอาศัยที่หายไปกลับคืนมา" นายเดวิด สมิธ ผู้จัดการฝ่ายการอนุรักษ์ทางทะเลของอัลสเตอร์ไวลด์ไลฟ์ กล่าว ทั้งนี้ แหล่งหอยนางรมประจำถิ่นมีอยู่มากมายในทะเลหลายแห่งของยุโรป และมนุษย์เก็บเกี่ยวพวกมันมาตั้งแต่ยุคหิน แต่องค์กรประเมินว่า ประชากรหอยนางรมลดลง 95% นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ซึ่งในปัจจุบัน แนวปะการังหอยนางรม เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่ถูกคุกคามมากที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปยุโรป เมื่อเดือนที่แล้ว แหล่งเพาะเลี้ยงมีหอยประมาณ 700 ตัว ซึ่งพวกมันถูกนำมาจากสกอตแลนด์ได้รับการวัดและคัดกรองโรค ก่อนที่จะถูกหย่อนลงไปในปากนํ้าเบลฟาสต์ โดยอยู่ในกรงหลายสิบกรงที่วางซ้อนกันเป็นชั้น ซึ่งสมิธกล่าวว่า มันน่าจะสร้างแนวปะการังท้องถิ่นที่เทียบเท่ากันกับแนวปะการังหอยนางรมได้ หลังจากยกกรงเลี้ยงหอยนางรมขึ้นจากนํ้า ทีมงานจะนำพวกมันออกจากกรงอย่างระมัดระวัง และวางไว้บนท่าเรือ เพื่อทำการวัดและชั่งนํ้าหนัก ซึ่งสมิธ กล่าวเสริมว่า คู่หอยนางรมที่เชื่อมติดกันอยู่แล้ว คือระยะเริ่มต้นของการก่อตัวของแนวปะการัง "คุณลองนึกภาพพวกมัน 100,000 ตัว อยู่ติดกัน นั่นคือสิ่งที่พวกเราทำให้เกิดขึ้น เพราะหลังจากนั้น ตัวอ่อนหลายล้านตัว รวมถึงพืชนํ้าและสัตว์นํ้าหลายชนิด จะเข้ามาอยู่อาศัยตามชายฝั่งและก้นทะเล" สมิธ กล่าวด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความพึงพอใจ ด้านอัลสเตอร์ ไวลด์ไลฟ์ ระบุว่า ประโยชน์ทางนิเวศวิทยา ของแหล่งที่อยู่อาศัยซึ่งได้รับการฟื้นฟู คือการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในทะเล และการทำให้คุณภาพของนํ้าดีขึ้นโดยหอยนางรมเปรียบเสมือน "เครื่องกรองนํ้าชั้นยอด" สำหรับแหล่งนํ้าตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม เรือบรรทุกสินค้า และเรือเฟอร์รี่โดยสาร ซึ่งแล่นเข้าออกท่าเรือที่อยู่ไม่ไกล, มลพิษในเส้นทางนํ้า, ลานถ่านหิน และงานที่เกี่ยวข้องกับสารแทนนิน ต่างมีส่วนทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมเป็นเวลาหลายสิบปี และกลายเป็นความท้าทาย สำหรับการฟื้นฟูแหล่งที่อยู่อาศัยของหอยนางรม "มันเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับตัวอ่อนของหอยนางรม ในการอยู่อาศัยและเติบโตเต็มวัย หากพวกมันสัมผัสกับมลพิษที่อยู่ในช่องทางเดินเรือทางอุตสาหกรรม" สมิธ กล่าว กระนั้น หอยนางรมในแหล่งเพาะเลี้ยงที่ยืดหยุ่นดังกล่าว ทำให้สมิธและทีมงาน "ประทับใจ" เพราะจนถึงขณะนี้มีหอยนางรมตายไปแค่ 2 ตัวเท่านั้น ซึ่งสมิธมีแผนที่จะติดตั้งกรงเพาะเลี้ยงเพิ่มเติมในปีต่อๆไปด้วย https://www.dailynews.co.th/news/3049733/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
"เอลนีโญ" คืออะไร รู้ไว้ ปรับตัวทัน "สูญเสียน้อย" ............. โดย ยุพิน พงษ์ทอง "เอลนีโญ" คือ การที่ผิวน้ำทะเลทางตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนอุ่นขึ้น ในทางกลับกันถ้าผิวน้ำทะเลบริเวณนี้เย็นลงจะเรียกว่า "ลานีญา" ปี 2567 ประเทศไทยอยู่ในกรอบที่จะเผชิญกับทั้งสองปรากฏการณ์นี้ นั่นหมายความว่า ไทยมีโอกาสเจอทั้ง "ร้อนสุดขั้ว" และ "ฝนสุดเข้ม" กรรวี สิทธิชีวภาค อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า ในขณะนี้อุณหภูมิน้ำทะเลเริ่มเย็นแล้วมีแนวโน้มกึ่งระหว่างสภาวะเอลนีโญกับลานีญา โดยจากการวิเคราะห์ของนักวิทยาศาสตร์ ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะลานีญา และเข้าสู่ภาวะปกติตั้งแต่กลางปี 2576 แต่ภาวะฝนแล้ง และน้ำท่วมในบางพื้นที่ยังมีอยู่ นอกจากนี้จากสถิติ 3 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิของไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปลายปีนี้ ไทยจะไม่ได้สัมผัสอากาศเย็นเหมือนกับหลายๆ ปีที่ผ่านมา ยกเว้น แถบตอนบนของภาคเหนือและอีสาน ด้าน สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า ในกลางปี 2567 โอกาสที่จะเกิดภาวะลานีญา เพิ่มขึ้นถึง 50% ขณะที่ภาวะเอลนีโญจะลดลงเหลือแค่ 40% ถือเป็นแนวโน้มที่ดี และจะทำให้สภาวะอากาศของไทยเข้าสู่ภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในปี 2567 ภาวะเอลนีโญ เกิดขึ้นในไทยยาวนาน ทำให้มีฝนตกน้อย แม้จะมีมากขึ้นในช่วงท้ายฤดูฝน จากแนวลมพัดสอบ และร่องมรสุม แต่ปริมาณน้ำในเขื่อนที่จะบริหารจัดการในช่วงฤดูแล้ง (1 พ.ย.2566 - 30 เม.ย.2567 ) ยังน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ดังนั้นทุกฝ่ายยังต้องช่วยกันประหยัดน้ำ และใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศเป็นหลัก คณะกรรมการลุ่มน้ำต้องบริหารจัดการน้ำอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ จากภาวะอากาศที่เปลี่ยนไป สทนช.ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ และมีความเห็นตรงกันว่า มีความคล้ายคลึงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2563 โดยมีฝนตกน้อยกว่าค่าปกติประมาณ 5% ดังนั้นจึงจะใช้ปี 2563 เป็นปีฐานเพื่อพิจารณากำหนดมาตรการในฤดูแล้ง เช่น ส่งเสริมแผนเพาะปลูก การสำรองน้ำ เป็นต้น "สถานการณ์ยังไม่นิ่ง ยังมีความเสี่ยงที่ไทยจะกลับเข้าภาวะเอลนีโญอีกก็ได้ จึงต้องใช้น้ำกันอย่างประหยัด เพื่อให้เกิดความมั่นใจ และบริหารความเสี่ยงของภาคอุตสาหกรรมด้วย " ทั้ง "เอลนีโญ" และ "ลานีญา" เป็นเพียงปัจจัยส่วนหนึ่งของเงื่อนไขการจัดการน้ำเพราะเหตุผลสำคัญที่สุดคือ ความตระหนักรู้ของผู้ใช้น้ำทุกคนที่ต้องรู้จักคุณค่า และใช้อย่างประหยัดซึ่งต้องลงมือทำตั้งแต่วันนี้ เพราะไม่ว่าน้ำจะมาก หรือน้อย การจัดการบนพื้นฐานการรู้คุณค่าของน้ำเป็นกุญแจสำคัญสู่ความยั่งยืนของโลก https://www.bangkokbiznews.com/environment/1104726
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|