#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ประกอบกับลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้านตะวันตก และภาคกลางตอนบน มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงสูงเนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อน และมีการระบายอากาศที่ไม่ดี กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน มีพายุฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-36 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 2 - 3 มี.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ประกอบกับลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก ในขณะที่ประเทศไทยมีอากาศร้อน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง กับลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 4 - 8 มี.ค. 67 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ในช่วงวันที่ 2 ? 3 มี.ค. 67 ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันมีทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 4 - 8 มี.ค. 67 ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองที่อาจจะเกิดขึ้นตลอดช่วง โดยในช่วงวันที่ 2 - 3 มี.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
ภารกิจวันที่ 10 ลำเลียงท่อยิงฮาร์พูน-แท่นยิงตอปิโด ขึ้นจากเรือหลวงสุโขทัย ภารกิจวันที่ 10 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ลำเลียงท่อยิงฮาร์พูน-แท่นยิงตอปิโด ขึ้นจากเรือหลวงสุโขทัย ลำเลียงไปเก็บรักษาไว้ที่กรมสรรพาวุธทหารเรือ เมื่อวันที่ 2 มี.ค. ถือเป็นปฏิบัติการต่อเนื่องวันที่ 10 ในภารกิจการค้นหาและปลดวัตถุอันตราย เรือหลวงสุโขทัย ซึ่งชุดประดาน้ำ กองทัพเรือไทย บนเรือหลวงมันใน ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการได้จอดเรือทำปฏิบัติการอยู่บริเวณอ่าวไทย ใกล้จุดที่เรือหลวงสุโขทัยอับปาง มีการดำน้ำ จำนวน 5 เที่ยว โดยมีภารกิจในการค้นหาผู้สูญหาย การสำรวจหาพยานหลักฐาน และถอดถอนปืนกล ขนาด 20 มิลลิเมตร โดยผลการปฏิบัติไม่พบผู้สูญหาย สามารถทำการถอดถอนปืนกลขนาด 20 มิลลิเมตร ทางกราบขวา นอกจากนั้นยังได้ทำการถ่ายภาพเพื่อหาหลักฐานพยานต่าง ๆ เพิ่มเติม การปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีอุปสรรคในการดำเนินการ และช่วงเช้าวันนี้ กองทัพเรือ ได้ทำการเคลื่อนย้ายท่อยิง Harpoon จำนวน 2 ท่อ และแท่นยิงตอร์ปิโด จำนวน 2 แท่น (6 ท่อ) จากเรือ Ocean Valor ขึ้นสู่รถลำเลียง ไปเก็บรักษาไว้ที่กรมสรรพาวุธทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ในขณะที่วานนี้ (1 มี.ค.67) เวลา 18.30 น. พลเรือตรี กรวิทย์ ฉายะรถี รองเสนาธิการกองเรือยุทธการ ได้เยี่ยมบำรุงขวัญนักดำน้ำไทยและสหรัฐฯ จำนวน 2 นาย ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จากการปฏิบัติการดำน้ำ สำหรับการปฏิบัติวันพรุ่งนี้ จะมีการปฏิบัติการดำน้ำของชุดปฏิบัติการผสมของกองทัพเรือไทย และกองทัพเรือสหรัฐฯ บนเรือ Ocean Valor ในการค้นหาผู้สูญหายและปลดวัตถุอันตราย จำนวน 5 เที่ยว ประกอบด้วย การค้นหาผู้สูญหายในห้องศูนย์ยุทธการ รวมถึงการรวบรวมหลักฐาน และปลดขีดความสามารถยุทโธปกรณ์ในห้องศูนย์ยุทธการ โดยรายละเอียดและความคืบหน้าต่างๆ จะแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป https://www.dailynews.co.th/news/3225328/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
นักวิจัยถ่ายภาพได้เป็นครั้งแรก 'วาฬหลังค่อม' ผสมพันธุ์กับตัวผู้ด้วยกัน ช่างภาพคู่หูบันทึกภาพถ่ายประวัติศาสตร์ของวงการวิจัยสัตว์ทะเลได้เป็นครั้งแรก ระหว่างที่วาฬหลังค่อมสองตัวกำลังทำกิจกรรมทางเพศร่วมกัน โดยเป็นตัวผู้ด้วยกันทั้งคู่ เครดิตภาพ : pacificwhale.org เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ช่างภาพคู่หนึ่งได้โอกาสบันทึกภาพชุดสำคัญสำหรับวงการวิจัยสัตว์ทะเลที่บริเวณเกาะเมาวี รัฐฮาวาย โดยเป็นภาพของวาฬหลังค่อมเพศผู้ 2 ตัว กำลังผสมพันธุ์กัน นับเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์การศึกษาสัตว์ประเภทวาฬที่มีการบันทึกภาพกิจกรรมทางเพศแบบ "คู่เกย์" ของสัตว์ชนิดนี้ได้อย่างชัดเจน ภาพชุดนี้อยู่ในรายงานกรณีศึกษาขององค์กรวาฬแห่งแปซิฟิกหรือ Pacific Whale Foundation (PWF) ที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันอังคารที่ 27 ก.พ. 2567 ช่างภาพที่บันทึกภาพไว้ได้คือ ไลล์ แครนนิชเฟลด์ และ แบรนดี โรมาโน ถ่ายไว้ได้เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2567 ระหว่างที่พวกเขาอยู่บนเรือที่กำลังลอยลำอยู่นอกชายฝั่งของเกาะเมาวี ขณะที่วาฬทั้งคู่ว่ายเข้ามาใกล้เรือของพวกเขา ช่างภาพทั้งสองก็สังเกตเห็นว่าวาฬตัวหนึ่งมีรูปร่างผอมบางและมีเหาวาฬเกาะเต็มตัว จึงกลายเป็นจุดดึงดูดความสนใจของพวกเขาในตอนแรก เพราะวาฬที่มีเหาวาฬเกาะอยู่บนตัวเป็นจำนวนมาก เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามันมีสุขภาพที่ไม่ดีนัก วาฬตัวที่ 2 ดูจะมีสุขภาพร่างกายที่ดีกว่า มันเอาแต่ว่ายวนเวียนใกล้กับวาฬตัวแรกและใช้ครีบอกของมันยึดวาฬตัวที่ 2 ไว้ในอยู่นิ่ง ๆ ก่อนที่จะเริ่มทำกิจกรรมทางเพศด้วยการสอดใส่อวัยวะเพศเข้าไปในตัววาฬตัวแรก วาฬทั้งสองตัวว่ายวนรอบเรือของพวกเขาอย่างเชื่องช้าราว 2-3 รอบ ซึ่งทำให้พวกเขามีโอกาสได้ถ่ายภาพอย่างชัดเจน แต่ก็ยืนยันว่าพวกเขารักษาระยะห่างจากวาฬทั้งสองตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เนื่องจากกฎหมายของรัฐฮาวายจะห้ามบุคคลเข้าใกล้วาฬหลังค่อมต่ำกว่าระยะ 100 หลา (ราว 90 เมตร) ด้าน PWF อธิบายในแถลงการณ์ว่า ภาพชุดนี้นับเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ทำให้มนุษย์มีโอกาสได้เห็น "กิจกรรมส่วนตัว" ของวาฬเหล่านี้ พร้อมกับย้ำว่านี่คือครั้งแรกที่มีการบันทึกภาพพฤติกรรมในแบบโฮโมเซ็กชวลของวาฬหลังค่อมไว้ได้อย่างชัดเจน แม้ว่าพฤติกรรมการมีสัมพันธ์ทางเพศระหว่างตัวผู้ด้วยจะถือเป็นเรื่องปกติของสัตว์ประเภทวาฬและโลมาก็ตาม? ที่มา : people.com https://www.dailynews.co.th/news/3225206/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก คม ชัด ลึก
'วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก' เปิดจุดเริ่มต้น ความสำคัญ ทำไมต้องมีวันนี้ 3 มีนาคม 'วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก' หรือ วันอนุรักษ์สัตว์ป่าโลก เปิดจุดเริ่มต้น และความสำคัญ ทำไมต้องมีวันนี้ แนวคิดหลักของปีนี้คืออะไร 'วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก' (World Wildlife Day) หรือ วันอนุรักษ์สัตว์ป่าโลก ตรงกับวันที่ 3 มีนาคม ของทุกปี มีจุดเริ่มต้นเมื่อครั้งการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่าง ประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 (CITES CoP16) เมื่อปี พ.ศ. 2556 ณ ประเทศไทย ซึ่งตรงกับวาระครบรอบ 40 ปี ของการรับรองอนุสัญญาดังกล่าว สิ่งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์และความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ ที่วันสำคัญข้างต้นถูกพลักดันและเกิดขึ้น ในประเทศไทย ดังนั้น กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในฐานะหน่วยงานกลางระดับประเทศของ อนุสัญญาไซเตส (Focal Point of CITES National Authorities) จึงได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรจัดงานและกิจกรรมเพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในวันดังกล่าวต่อเนื่องเป็น ประจำทุกปีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 จนถึงปัจจุบัน ภายใต้แนวคิดหลัก ที่สำนักเลขาธิการไซเตสกำหนด จากข้อมูลของ International Union for Conservation of Nature (IUCN) Red List of Threatened Species พบว่า สัตว์ป่า และ พืชป่า มากกว่า 8,400 สายพันธุ์ กำลังใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง ในขณะที่อีกเกือบ 30,000 สายพันธุ์ กำลังใกล้สูญพันธุ์หรือมีความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ จากประมาณการนี้ เป็นไปได้ว่า มากกว่าหนึ่งล้านชนิดพันธุ์กำลังถูกคุกคามจากการสูญพันธุ์ การสูญเสียของชนิดพันธุ์ แหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ และระบบนิเวศอย่างต่อเนื่องดังกล่าว นับเป็นภัยคุกคามต่อทุกชีวิตบนโลก โดยเฉพาะมนุษย์จากทุกที่ที่ต้องพึ่งพาทรัพยากรจากสัตว์ป่าและความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อตอบสนองความต้องการทุกอย่างของเรา ตั้งแต่อาหาร เชื้อเพลิง ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย และเป็นเครื่องนุ่งห่ม รวมทั้งผู้คนหลายล้านคนที่ต้องพึ่งพาอาศัยทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ เพื่อเป็นแหล่งทำมาหากินและโอกาสทางธุรกิจ ด้วยเหตุผลข้างต้น ที่ประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 (CITES CoP16) เมื่อวันที่ 3 - 14 มีนาคม 2556 ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย จึงมีมติเห็นชอบข้อเสนอของประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุม ให้วันที่ 3 มีนาคม ของทุกปี ซึ่งตรงกับวาระครบรอบ 40 ปี วันลงนามรับรอง อนุสัญญาไซเตส เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2516 ณ กรุงวอชิงตัน ดี ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็น 'วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก' (World Wildlife Day) เพื่อเฉลิมฉลองในความสวยงามและรูป แบบที่หลากหลายของ สัตว์ป่า และ พืชป่า และเพื่อให้สาธารณชนได้ตระหนักถึงคุณค่าและประโยชน์ของสัตว์ป่าและพืชป่าที่มีต่อมวลมนุษยชาติ ตลอดจนความจำเป็นเร่งด่วนในการต่อสู้กับอาชญากรรมด้านสัตว์ป่าและพืชป่าที่สร้างผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ต่อมาที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 68 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2556 ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีมติประกาศอย่างเป็นทางการ ให้วันที่ 3 มีนาคม ของทุกปี เป็น "วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลกภายใต้องค์การสหประชาชาติ (United Nations World Wildlife Day)" พร้อมทั้งเชิญชวนให้รัฐสมาชิก และองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับโลก ภูมิภาค และอนุภูมิภาค ร่วมจัดกิจกรรมเนื่องในวันสำคัญดังกล่าว โดยผ่านแนวคิดหลัก ที่จะมีการกำหนดขึ้นในแต่ละปี นอกจากนี้ ที่ประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่า และพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 18 (CITES CoP18) ได้มีมติกำหนดแนวทางการดำเนินกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนรวมเนื่องใน 'วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก' แก่ประเทศสมาชิกและองค์กรต่างๆ ที่สนใจ เพื่อให้สอดคล้องตามมติของที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติดังกล่าวอีกด้วย เพื่อให้เป็นไปตามมติที่ประชุมต่างๆ ข้างต้น ประเทศไทยโดย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในฐานะหน่วยงานกลางระดับประเทศของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ จึงได้จัดงานเนื่องในวันสำคัญดังกล่าวขึ้นเป็นประจำทุกปี เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2557 ขณะที่ปี 2567 ภาคีทั่วโลกจะจัดงาน 'วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก' ในวันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2567 ภายใต้แนวคิดหลัก "Connecting People and Planet: Exploring Digital Innovation in Wildlife Conservation : เชื่อมโยงโลกกว้าง ร่วมสร้างนวัตกรรม นำสู่การอนุรักษ์สัตว์ป่าและพืชป่าอย่างยั่งยืน" มุ่งเน้นเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ในการอนุรักษ์สัตว์ป่าและพืชป่า การค้า และรวมถึงตระหนักผลกระทบของเทคโนโลยีดิจิทัลนั้นๆ ต่อระบบนิเวศ และประชาชน ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนในปี ค.ศ. 2030 โดยมีเว็บไซต์กลาง https://wildlifeday.org/en เผยแพร่ข้อมูลการจัดงาน ข้อมูล : wildlifedaythailand https://www.komchadluek.net/kom-life...owledge/570083
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
มอเตอร์เรือไฟฟ้าเลียนแบบธรรมชาติ มีใบพัดเหมือนครีบช่วยในการขับเคลื่อนผ่านน้ำ ที่มาภาพ: finxmotors สตาร์ตอัปฝรั่งเศสพัฒนามอเตอร์ติดท้ายเรือที่ช่วยให้เรือแล่นผ่านน้ำได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้ใบพัดที่เหมือนครีบปลาซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากโลมาและแมงกะพรุน เทคโนโลยีเมมเบรน (Membrane) ถูกนำมาใช้ในการพัฒนามอเตอร์ไฟฟ้าติดท้ายเรือ ซึ่งเป็นแนวคิดที่สตาร์ตอัปผู้ผลิตเชื่อว่าดีที่สุดในการรักษาธรรมชาติ โดยเมมเบรนลูกคลื่นที่มีลักษณะคล้ายครีบจะเข้ามาแทนที่ใบพัดแบบดั้งเดิม สตาร์ตอัปผู้ผลิตได้ปรับเปลี่ยนการออกแบบเมมเบรนแบบคลื่นใหม่ เพื่อสร้างรูปแบบการใช้ไฟฟ้าที่มีความนุ่มนวลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งถือเป็นมอเตอร์ครีบใบพัดตัวแรกของโลก ซึ่งนวัตกรรมที่คิดค้นมาใหม่นี้ได้ยื่นจดสิทธิบัตรระหว่างประเทศกว่า 15 รายการ เพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้ขับเคลื่อนทางทะเล ตัวเรือที่มีใบพัดเหมือนครีบจะอาศัยมอเตอร์เชิงเส้นเพื่อกระตุ้นเมมเบรนอีลาสโตเมอร์รูปวงแหวน ทำให้เกิดการกระเพื่อมและส่งพลังงานคลื่นผ่านไปยังน้ำ ซึ่งจะทำให้เกิดแรงผลักดันผ่านการไหลของของเหลว ใบพัดรูปแบบครีบนี้ จะช่วยรักษาธรรมชาติใต้ผิวน้ำได้ เพราะมีความปลอดภัยต่อชีวิต และอวัยวะต่าง ๆ อีกทั้งยังได้รับการออกแบบให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย เนื่องจากผู้ผลิตให้ข้อมูลว่าการขับเคลื่อนเชิงเส้นใช้พลังงานน้อยกว่าระบบใบพัดหมุนแบบเดิม และการออกแบบดังกล่าวยังทำให้เกิดเสียงรบกวนและความปั่นป่วนในน้ำน้อยลง ทำให้มีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลน้อยลงอีกด้วย มอเตอร์เรือไฟฟ้าเลียนแบบธรรมชาตินี้มีขนาด 2 กิโลวัตต์ได้รับการออกแบบมาสำหรับเรือขนาดเล็ก เรือเป่าลม และเรือใบที่มีน้ำหนักไม่เกิน 3 ตัน โดยยึดเข้ากับส่วนท้ายเรือด้วยแคลมป์ 2 ตัว และควบคุมด้วยหางเสือ มีฮาร์ดแวร์แบบแมนนวลช่วยปกป้องอุปกรณ์ในน้ำตื้น ด้วยแบตเตอรี่ลิเทียม 72-Ah 48-V ที่ให้มา ทำให้สามารถทำความเร็วสูงสุดโดยประมาณต่ำกว่า 7 ไมล์ หรือ 11 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำงานด้วยความเร็วสูงสุดได้นานถึง 1 ชั่วโมง ที่มาข้อมูล: newatlas, finxmotors https://www.thaipbs.or.th/now/content/849
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
มองโกเลียแย่แล้ว! อากาศหนาวขั้นวิกฤต คร่าชีวิตสัตว์แล้ว 2 ล้านตัว SHORT CUT - มองโกเลียเกิดปรากฏการณ์ "Dzud" สภาพอากาศหนาวอันหฤโหด - พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ทำให้ล่าสุดมีสัตว์เสียชีวิตแล้ว 2 ล้านตัว - รัฐบาลเร่งเข้าช่วยเหลือ ส่งอาหารและหญ้าแห้งลงพื้นที่ เพราะหวั่นว่าจะกระทบการส่งออกเนื้อของประเทศ ฤดูหนาวในมองโกเลียปีนี้รุนแรงกว่าที่เคย น้ำแข็งปกคลุมหญ้าทำสัตว์กินหญ้าไม่ได้ ส่วนใหญ่อดยากและเหนื่อยล้า กระทั่งล่าสุด มีรายงานว่า อากาศหนาวคร่าชีวิตสัตว์ในมองโกเลียไปแล้วทั้งสิ้น 2 ล้านตัว มองโกเลียอากาศหนาวจัด คร่าสัตว์แล้ว 2 ล้านตัว อากาศติดลบ 50 องศานับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสำหรับมองโกเลีย ฤดูหนาวของมองโกเลียเริ่มต้นตั้งเดือน พ.ย. - มี.ค. นับเป็นเวลา 5 เดือนเต็มดินแดนแห่งนี้ต้องเผชิญกับสภาพอากาศหนาวอันหฤโหด แม้จะเผชิญกับอากาศหนาวกันจนชิน แต่องค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า ฤดูหนาวในมองโกเลียปีนี้รุนแรงกว่าปกติ ทำให้สัตว์อดยากและเหนื่อยล้า กระทั่งล่าสุด มีรายงานระบุว่า อากาศหนาวคร่าสัตว์ในมองโกเลียไปแล้วทั้งสิ้น 2 ล้านตัว เหตุการณ์ลักษณะนี้เข้าข่ายปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "Dzud" อากาศหนาวขั้นวิกฤต มองโกเลียเรียกว่า Dzud ว่ากันง่าย ๆ "Dzud" คืออากาศหนาวขั้นรุนแรงจนเป็นเหตุให้สัตว์อย่าง แกะ แพะ ม้าและวัว ต้องล้มตายเป็นจำนวนมาก ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มองโกเลียเกิด Dzud ไปทั้งหมด 6 ครั้ง และหากนับแค่เฉพาะปี 2565 ? 2566 พบว่ามีสัตว์เสียชีวิตทั้งสิ้น 4.4 ล้านตัว "Dzud" ครั้งที่รุนแรงที่สุดคือช่วงปี 2553 ? 2554 ในครั้งนั้นอากาศหนาวคร่าสัตว์ไปทั้งสิ้น 10 ล้านตัว คิดเป็น 1 ใน 4 ของปศุสัตว์ในมองโกเลีย ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ สภาพอากาศในมองโกเลียแปรปวนอย่างหนัก แถมคาดเดาไม่ได้ แม้แต่คนเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ก็ยังปรับตัวตามความแปรปรวนนี้ไม่ทัน "พอเข้าฤดูหนาวหิมะก็ตก แต่จู่ ๆ อากาศก็ร้อนขึ้นจนหิมะละลาย หลังจากนั้นไม่นานอุณหภูมิก็ลดลงอีก จนทำให้หิมะกลายเป็นน้ำแข็ง ทุกวันนี้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงเร็วมาก" คนเลี้ยงสัตว์ในมองโกเลีย กล่าว เมื่อหิมะถล่ม พื้นหญ้าปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง สรรพสัตว์ก็ไม่สามารถเจาะทะลุชั้นน้ำแข็งลงไปได้ ครั้นจะไปซื้ออาหารและหญ้าแห้งมาเลี้ยงก็ทำไม่ได้อีก เพราะที่หนทางถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งทั่วหล้า เบื้องต้น รัฐบาลเร่งเข้าช่วยเหลือแล้ว โดยการส่งอาหารและหญ้าแห้งเข้าไป โดยให้เหตุผลว่า กลัวว่าเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับต้น ๆ ของประเทศนั้น "ขาดตลาด" น้ำเสียงจากคนเลี้ยงสัตว์ "ในฐานะคนเลี้ยงสัตว์ พวกเราทุกข์ทรมานมากจากภัยแล้ง น้ำท่วมและอากาศหนาว" "ถ้าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าหิมะยังไม่ละลาย ผมคงทำได้แค่เตรียมบอกลาสัตว์ในคอกพวกนั้น" "คนเลี้ยงสัตว์ทุกคนที่นี่ กำลังอธิษฐานขอให้อากาศอุ่นขึ้นเร็ว ๆ เพื่อให้น้ำแข็งละลาย สัตว์ของพวกเราจะได้มีหญ้ากินเป็นอาหาร" ที่มา: IOL https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/848317
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|