#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ในขณะที่มีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยและทะเลจีนใต้เข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศร้อนในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อน โดยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงสูง เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อน และมีการระบายอากาศที่ไม่ดี กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-37 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 14 - 17 มี.ค. 67 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้ภาคใต้มีฝนน้อย ส่วนในช่วงวันที่ 18 - 19 มี.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ฟ้าผ่า และลูกเห็บตกบางพื้นที่ สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้กำลังปานกลางที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 18 ? 19 มี.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ความหวังใหม่ของการพัฒนาปิโตรเลียมของกัมพูชา .............. โดย สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี Summary - การพัฒนาปิโตรเลียมของกัมพูชาเริ่มต้นขึ้นนานแล้ว แต่สะดุดช่วงเขมรแดง แม้จะกลับมาฟื้นตัวในยุคของ ฮุน เซน จะยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่กัมพูชาก็ไม่ละความพยายามที่จะพัฒนาแหล่งปิโตรเลียม - ขณะนี้กัมพูชายังมีแหล่งปิโตรเลียมในทะเลในส่วนของตัวเหลืออีก 5 บล็อกที่ให้สัมปทานบริษัทต่างประเทศทำการสำรวจไปแล้ว แต่ยังไม่มีบริษัทใดแสดงความคืบหน้ามากนัก - หากประสบความสำเร็จในการเจรจากับไทยในการร่วมพัฒนา และแบ่งปันผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนอีก 16,000 ตารางกิโลเมตร (เฉพาะในส่วนที่ต้องพัฒนาร่วมกัน) น่าจะทำให้กัมพูชาพื้นที่ที่คาดว่าจะมีแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมมากขึ้นกว่าเดิม ความพยายามครั้งใหม่ในการเปิดเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย และการพัฒนาแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกันระหว่างสองประเทศดูเหมือนจะจุดประกายความหวังให้กับการพัฒนาแหล่งพลังงานใต้ท้องทะเลของกัมพูชาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากการขุดเจาะน้ำมันในทะเลแห่งแรกในประวัติศาสตร์ประสบกับความล้มเหลวภายในระยะเวลาแค่ 6 เดือนเมื่อปี 2021 กัมพูชาเริ่มมองหาแหล่งพลังงานจากทรัพยากรปิโตรเลียมใต้ทะเลพร้อมๆ กับไทย คือในห้วงทศวรรษ 1970 เมื่อมีการประกาศเขตไหล่ทวีปและให้สัมปทานแก่บริษัทต่างประเทศเข้าทำการสำรวจ โดยในยุคแรกๆ นั้น รัฐบาลกัมพูชาให้สัมปทานกับบริษัทน้ำมันฝรั่งเศส คือ Elf du Cambodge ในพื้นที่ 80,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งอยู่ในเขตที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นไหล่ทวีปของตน แล้วหลังจากนั้นก็มีบริษัทจากฮ่องกง สหรัฐฯ และแคนาดาเข้าร่วมกับ Elf เพื่อทำการสำรวจแหล่งปิโตรเลียมในทะเลกัมพูชาอีกหลายบริษัท แต่บริษัทเหล่านั้นยังไม่สามารถดำเนินการอะไรได้จริงจัง ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองกัมพูชาเมื่อเขมรแดงทำการปฏิวัติปลดปล่อยประเทศในปี 1975 และทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศทั้งหมด แล้วตามมาด้วยสงครามกลางเมืองเป็นเวลานานกว่าทศวรรษ ส่งผลให้การพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเลียมหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของกัมพูชา จนกระทั่งย่างเข้าสู่ปลายทศวรรษ 1980 เมื่อสงครามเริ่มสงบลง พร้อมๆ กับการเกิดขึ้นของแผนสันติภาพ จึงปรากฏว่ามีนักธรณีวิทยาชาวรัสเซียเริ่มเข้ามาทำการสำรวจและจัดทำแผนผังทางด้านปิโตรเลียมแบ่งพื้นที่ในเขตของกัมพูชา (คือพื้นที่ซึ่งอยู่นอกบริเวณที่ไทยอ้างสิทธิ์ในไหล่ทวีปเมื่อปี 1973) ออกเป็น 5 บล็อก รัฐบาลกัมพูชาในเวลานั้นจึงเริ่มประกาศให้สัมปทานบริษัทต่างประเทศเพื่อทำการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมอีกครั้งหนึ่ง บริษัทเหล่านั้นได้แก่ Enterprise Oil, Premiere Oil, Campex, Idemitsu และ Woodside ได้เข้าสำรวจด้วยเทคนิคคลื่นไหวสะเทือนแบบสะท้อน ซึ่งทำให้รู้ว่าในทะเลกัมพูชานั้นมีศักยภาพทางด้านปิโตรเลียมอยู่พอประมาณ แต่ก็ยังไม่ได้ดำเนินการอะไรไปมากกว่านี้ การพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเลียมเริ่มจริงจังมากขึ้นในตอนต้นศตวรรษที่ 21 นี่เอง เมื่อการปิโตรเลียมกัมพูชา ได้ประกาศปรับปรุงแผนผังปิโตรเลียมใหม่โดยใช้อักษร A ถึง F เป็นชื่อบล็อกแทนหมายเลข และ ให้บริษัท Chevron และ MOECO เข้าสำรวจบล็อก A บริษัท เชฟรอน และหุ้นส่วน ได้ยื่นข้อเสนอเพื่อทำการพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียมในปี 2010 แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องการแบ่งปันรายได้และการเสียภาษีกับรัฐบาลกัมพูชาได้ เชฟรอนจึงถอนตัวจากโครงการนี้ และขายหุ้นให้กับ บริษัท KrisEnergy จากสิงคโปร์ ซึ่งต่อมาบริษัทนี้ได้เซ็นสัญญาผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่ 3,140 ตารางกิโลเมตรของบล็อก A กับทางการกัมพูชาในปี 2014 KrisEnergy ได้เซ็นสัญญาแบ่งปันผลผลิตกับทางการกัมพูชาจากการพัฒนาทรัพยากรปิโตเลียมในแหล่ง อัปสรา ในบล็อก A ในปี 2017 และเตรียมการผลิตน้ำมันจากพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งมาประสบความสำเร็จในเดือนธันวาคม 2020 เมื่อ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาในเวลานั้น ได้ประกาศให้โลกรู้ว่า น้ำมันหยดแรกของกัมพูชาถูกดูดขึ้นจากใต้ทะเลแล้ว นับเป็นการเริ่มศักราชของอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในประเทศได้เสียทีหลังจากรอคอยกันมาอย่างยาวนาน ราวกับว่าดินแดนแห่งนี้ต้องคำสาป KrisEnergy ไม่สามารถผลิตน้ำมันจากแหล่งดังกล่าวให้ได้ 7,500 บาร์เรลต่อวันตามที่คาดหมายไว้ในตอนต้น แต่สามารถทำได้เพียงประมาณ 1,000 บาร์เรลต่อวันเท่านั้น ทำให้บริษัทมีฐานะทางการเงินย่ำแย่ ขาดทุน 169 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2019 แถมมีหนี้สินอยู่อีกถึง 503 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงต้องประสบกับภาวะล้มละลาย ปิดฉากการผลิตน้ำมันในกัมพูชาเมื่อเดือนมิถุนายน 2021 นับเวลาได้เพียง 6 เดือนนับแต่วันเริ่มการผลิต แถมเรื่องที่สร้างความขมขื่นใจให้อดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ก็เกิดขึ้นอีกหลังจากบริษัทล้มละลายแล้ว น้ำมันดิบจำนวน 300,000 บาร์เรล ที่บรรจุอยู่ในเรือบรรทุกน้ำมัน ก็ถูกเชิดหนีเข้าน่านน้ำไทย ก่อนที่จะออกไปลอยลำอยู่ที่เกาะบาตัมของอินโดนีเซีย รัฐบาลกัมพูชาใช้เวลาอีกนับปีในการไปตามน้ำมันนั้นกลับคืนมา ที่สุดก็ตัดสินใจขายเอาเงินแบ่งกันโดยให้รัฐบาลกัมพูชา 70 เปอร์เซ็นต์ ให้บริษัทเรือบรรทุกน้ำมัน 24 เปอร์เซ็นต์ และอีก 6 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือให้เป็นของบริษัทผู้ผลิตที่ล้มละลายไปแล้ว ความล้มเหลวของ KrisEnergy สะท้อนปัญหาในการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเลียมได้หลายประการ กล่าวคือ ประการแรก ปัญหาการเมือง และสงคราม เป็นตัวฉุดรั้งที่สำคัญทำให้ขาดความต่อเนื่องในการสำรวจและขุดเจาะ ประการที่สอง ทางการกัมพูชาให้สัมปทานในพื้นที่จำกัด ทำให้บริษัทผู้ผลิตไม่สามารถผลิตน้ำมันได้ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการ หรือการคาดหมายได้ จนต้องประสบกับภาวะขาดทุน ประการที่สาม พื้นที่ด้านตะวันออกของ สันเกาะกระ (Ko Kra Ridge) ในอ่าวไทยนั้นประกอบไปด้วยแอ่งที่คาดว่าจะมีทรัพยากรปิโตรเลียมอยู่ 3 แอ่งด้วยกัน คือ แอ่งมาเลย์ ซึ่งเป็นแอ่งที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะมาเลเซีย รองลงมา คือ แอ่งปัตตานี อยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของไทย และแอ่งขะแมร์ของกัมพูชานั้นเล็กและตื้นที่สุด ซึ่งทำให้อนุมานได้ว่าน่าจะมีปริมาณสำรองปิโตรเลียมอยู่น้อยที่สุดด้วย แม้ว่าลักษณะทางธรณีวิทยาไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง อายุ และชนิดของชั้นหินจะคล้ายกันก็ตาม อย่างไรก็ตาม กัมพูชาก็ยังไม่ละความพยายามที่จะพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมอีกต่อไป ล่าสุดรัฐบาลกัมพูชาประกาศเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2022 ว่าได้ให้สัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแก่ บริษัท EnerCam Resource จากแคนาดา เพื่อขุดเจาะในบล็อก A ไปแล้ว แต่ผ่านไปปีกว่าแล้วยังไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าบริษัทใหม่นี้จะดำเนินการให้ได้ผลอย่างที่คาดหวัง ในขณะที่กัมพูชายังมีแหล่งปิโตรเลียมในทะเลในส่วนของตัวเหลืออีก 5 บล็อกที่ให้สัมปทานบริษัทต่างประเทศทำการสำรวจไปแล้ว แต่ยังไม่มีบริษัทใดแสดงความคืบหน้ามากนัก ดังนั้น ถ้าหากประสบความสำเร็จในการเจรจากับไทยในการร่วมพัฒนา และแบ่งปันผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนอีก 16,000 ตารางกิโลเมตร (เฉพาะในส่วนที่ต้องพัฒนาร่วมกัน) ซึ่งฝ่ายกัมพูชาเองก็ได้แบ่งเป็น 4 พื้นที่ และได้ให้สัมปทานกับบริษัทต่างชาติรวมทั้ง Conoco, Idemitsu และ Total ทับซ้อนกับไทยเอาไว้แล้วตั้งแต่ปี 1997 นั้นจะทำให้กัมพูชาพื้นที่ที่คาดว่าจะมีแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมมากขึ้นกว่าเดิม ที่สำคัญจะมีโอกาสได้เรียนรู้และพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเลียมจากไทยซึ่งมีประสบการณ์ที่ต่อเนื่องยาวมากกว่า ก็น่าจะสามารถช่วยต่อความหวังในการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานของกัมพูชาไปได้อีกพอสมควร แต่ทั้งหมดนั้นก็ขึ้นอยู่ทัศนคติของคนไทยอีกด้วยว่า อยากจะพัฒนาไปด้วยกันกับประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดที่ชาตินี้คงหนีกันไปไม่พ้น หรือว่าโลภเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว https://plus.thairath.co.th/topic/po...society/104287
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก มติชน
อธิบดี ทช.ลงมือขุดทรายเองดูตำแหน่งเหง้าหญ้าคา หาสาเหตุหญ้าทะเลตาย พบพะยูนหากินลำบากขึ้น ตรัง-"ปิ่นสักก์" ลงสำรวจด่วน! วิกฤตพะยูนตรัง พลิกมุมหาสาเหตุใหม่ เจอกับตาตะกอนปริศนาทับถมแนวหญ้าทะเล นำตัวอย่างวิเคราะห์หาที่มา รู้ผลใน 1 เดือน เตรียมหารือกรมเจ้าท่าวางแนวทางป้องกันผลกระทบจากการขุดลอก แจงบินสำรวจรอบแรกพบประชากรพะยูนลดฮวบ เพราะสภาพอากาศไม่อำนวย-น้ำทะเลขุ่น เชื่อตัวเลขที่หายไปไม่ตาย อาจย้ายถิ่นฐานเพราะไม่พบซาก ระดมทีมใหญ่บินสำรวจใหม่ปลายเดือนนี้ ดึงกองทัพอากาศช่วย เชื่อไม่กระทบความเชื่อมั่นนานาชาติอนุรักษ์สัตว์ไซเตสเหลว จากกรณีวิกฤตหญ้าทะเลตรัง เสื่อมโทรมตายลงเป็นจำนวนมากนับหมื่นๆไร่ ส่งผลกระทบต่อแหล่งอาหารของพะยูนฝูงสุดท้ายของประเทศไทย รวมทั้งสัตว์ทะเลหายากอื่นๆ สาเหตุหลักจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โลกร้อน น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น และการทับถมของดินตะกอนบริเวณแหล่งหญ้า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.) ได้ระดมทีมนักวิทยาศาสตร์ระดับหัวกระทิของประเทศลงพื้นที่สำรวจหาสาเหตุ พบเกิดจากหลายปัจจัย อาทิ ภาวะโลกร้อนทำให้ระดับน้ำทะเลลดต่ำลงมากขึ้นและนานกว่าปกติ ทำให้หญ้าผึ่งแดดนานขึ้น ขณะที่ชาวบ้านชายฝั่งในพื้นที่รวมทั้งเครือข่ายอนุรักษ์ ระบุอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญ คือการทับถมของตะกอนทรายจากการขุดลอกร่องน้ำกันตังโดยกรมเจ้าท่าเพื่อการเดินเรือ แม้จะหยุดขุดไปแล้วเมื่อราวปี 2563 แต่ผลกระทบยังคงมีมาต่อเนื่อง โดยถือว่าขณะนี้สถานการณ์หญ้าทะเลอยู่ในขั้นวิกฤต ส่งผลให้พะยูนเสี่ยงสูญพันธุ์ หรือย้ายถิ่นฐานออกนอกพื้นที่เขตอนุรักษ์ เพิ่มปัจจัยเสี่ยงการตายจากอุบัติเหตุ และภัยคุกคามอื่นๆได้ โดยระหว่างวันที่ 5-11 มีนาคม 2567 ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง (ศวอล.) ได้ปฏิบัติภารกิจออกปฏิบัติงานสำรวจการแพร่กระจายสัตว์ทะเลหายาก บริเวณพื้นที่จังหวัดตรัง โดยวิธีการบินสำรวจ (Aerial Survey) โดยใช้เครื่องบินปีกตรึง 2 ที่นั่ง สำรวจแบบ Line transect และ Hot spot ร่วมกับนักบินอาสาสมัคร และวิธีการสำรวจทางเรือ บริเวณเกาะลิบง เกาะมุกด์ อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง และบริเวณแนวหญ้าทะเลใกล้เคียง ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของจังหวัดตรัง ผลการสำรวจโดยประมาณในเบื้องต้น พบพะยูนเพียง 36 ตัว พบพะยูนคู่แม่-ลูก จำนวน 1 คู่ เป็นตัวเลขที่ลดฮวบลงจาการสำรวจในปี 2566 ที่ผ่านมาที่เคยพบถึง 194 ตัว . ล่าสุดเมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 13 มีนาคม 2567 นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลปละชายฝั่ง(ทช.) พร้อมด้วย ดร.ก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิจัยทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง นายสันติ นิลวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง กรม ทช. ทีมนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลกรมทช. และทีมคณะทำงานขับเคลื่อนการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาการเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเลในบริเวณจังหวัดตรังและจังหวัดกระบี่ ที่แต่งตั้งโดยอธิบดีกรมทช. ลงพื้นที่เก็บข้อมูลสำรวจสถานการณ์ปัญหาวิกฤตหญ้าทะเลตรัง รวมทั้งสถานการณ์พะยูน อย่างเร่งด่วนอีกครั้ง โดยคณะได้ล่องเรือจากท่าเรือปากเมง ตำบลไม้ฝาด อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง เพื่อสำรวจตามแนวโครงการขุดลอกร่องน้ำปากเมงของกรมเจ้าท่าที่กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ก่อนจะไปสมทบกับคณะทำงานที่กำลังลงพื้นที่สำรวจแปลงหญ้าทะเลแปลงใหญ่บริเวณหน้าเกาะมุกด์ อำเภอกันตังในช่วงน้ำลงต่ำสุด โดยปรากฏพื้นที่หญ้าทะเลเสื่อมโทรมเป็นบริเวณกว้าง ทั้งหญ้าคาทะเลที่มีใบขาดสั้นจากที่เคยมีความยาวเกือบ 1 เมตร บางส่วนทั้งใบและเหง้ามีภาวะแห้งตาย รวมทั้งหญ้าใบมะกรูดที่มีสภาพเสื่อมโทรม โดยคณะทำงานได้นำเอาเทคโนโลยีการบินสำรวจพะยูนด้วย UAV Lider scan และการสำรวจชายฝั่งด้วย USV เพื่อจัดทำแบบจำลองลักษณะสมุทรศาสตร์กายภาพท้องนำมาใช้ในปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปิ่นสักก์ ได้ลงมือขุดลงไปบนพื้นทรายเพื่อต้นหาตำแหน่งของเหง้าหญ้าคาทะเลด้วยตัวเอง โดยพบว่า ต้องขุดลึกลงไปมากกว่าปกติ เนื่องจากมีตะกอนทรายทับถมค่อนข้างหนา ต้องขุดลงไปราว 10-15 เซนติเมตร จึงจะเจอโคนใบและเหง้า จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ทำการเก็บตัวอย่าง ทั้งหญ้าทะเล เหง้า และหน้าดินนำสู่การทดสอบในห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุ ชนิดและที่มาของตะกอนต่อไป ขณะที่บริเวณน้ำตื้นใกล้ๆกัน ปรากฏมีพะยูนตัวใหญ่กำลังลอยตัวกินหญ้าทะเลอยู่ โดยมีพฤติกรรมใช้ปากดุนไปตามพื้นทรายเพื่อหาหญ้าทะเลซึ่งมีอยู่จำนวนน้อย ทำให้พะยูนต้องเคลื่อนที่เพื่อหาหญ้าอยู่ตลอดเวลา โดยนายปิ่นสักก์ได้ยืนสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกลพร้อมถ่ายภาพบันทึกไว้ด้วย ทราบภายหลังว่าพะยูนตัวดังกล่าวเป็นเพศผู้ ชื่อ "เจ้าลาย" เป็นพะยูนดาวดังประจำเกาะมุกด์ ที่คุ้นเคยกับคน และมักจะหากินหญ้าทะเลอยู่ตามแนวชายฝั่ง นายปิ่นสักก์ ให้สัมภาษณ์หลังลงพื้นที่ ว่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา หลังจากที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รมว.ทส. รับทราบปัญหาก็ได้สั่งการให้กรมทช.หาสาเหตุที่ชัดเจนเพื่อแก้ปัญหาให้ถูกจุดและยั่งยืน พร้อมอนุมัติงบศึกษาวิจัยที่คณะทำงานเสนอไปทั้ง 8 โครงการ โดย 1 เดือนที่ผ่านมาเราได้ลงพื้นที่ พบว่ามีปัญหาเกิดขึ้นจริง โดยสมติฐานที่อยู่หลายด้าน เช่น จากโรค จากเต่ากิน จากตะกอนเปลี่ยนแปลง หรือ จากปัญหาโลกรวน แต่การลงพื้นที่รอบที่แล้วไม่สามารถสรุปได้ว่าอะไรคือสาเหตุหลัก ล่าสุดเราจึงแยกทีมทำงานกัน ทั้งทีมจากกรมทช. ทีมมาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทีมจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อวิเคราะห์ว่าอะไรเป็นปัญหาหลัก พบว่าเรื่องโรคน่าจะไม่ใช่สาเหตุหลัก เรื่องเต่าทะเลก็ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้หญ้าทะเลเสื่อมโทรมลง แต่หลังเสื่อมโทรมแล้วเต่าที่มีปริมาณเท่าเดิมรวมทั้งพะยูนได้มารุมกินหญ้าทะเลที่เหลืออยู่ "ซึ่งสาเหตุหลักที่หลงเหลืออยู่คือการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของตะกอน เพราะพบว่า หญ้าทะเลที่ตายเกิดจากการที่มันติดแห้งนานกว่าปกติ ทำให้ใบแห้งตาย แต่ในโซนที่อยู่ในทะเลไม่ได้ตายในอัตราส่วนเดียวกัน การสำรวจตะกอนในรอบนี้เราต้องการจะรู้ว่าน้ำและท้องทะเลเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ โดยเรามีทีมโดรนสำรวจในวงกว้าง ตรงไหนที่ติดแห้งสามารถใช้โดรนเรด้าวัดค่าได้เลย ตรงไหนที่อยู่ในน้ำเราใช้เรือสำรวจแบบติดคลื่นสัญญาณ มีการวัดระดับความลึกของท้องทะเลเพื่อให้รู้ว่าสาเหตุติดแห้งเป็นสาเหตุหลักหรือไม่ และพื้นที่ไหนที่ติดแห้งนาน โดยทีมจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะสำรวจและจำลองว่าตะกอนดังกล่าวมาจากไหน มาจากการขุดลอกหรือไม่ และทีมจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จะรวมข้อมูลตะกอนที่เปลี่ยนไปว่ามีผลต่อสัตว์หน้าดินหรือไม่ เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดเพื่อจะได้ให้ยาได้ถูกโรค" อธิบดีกรมทช.กล่าว . นายปิ่นสักก์ กล่าวว่า ตอนนี้การเปลี่ยนแปลงเรื่องตะกอนในทะเลมี 2 สมมติฐาน คือ การขุดลอกร่องน้ำ และ ปัญหาโลกร้อน ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ระดับน้ำต่ำลงผิดปกติ และในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา บางช่วงระดับน้ำต่ำกลงกว่า 40 เซนติเมตร ตอนนี้อาจารย์ในหลายมหาวิทยาลัยกำลังจะทำการศึกษาเรื่องตะกอนทะเลร่วมกัน เพื่อติดตามและวิเคราะห์องค์ประกอบของตะกอนทะเล เพื่อดูว่าตะกอนที่เพิ่มขึ้นเป็นตะกอนตัวเดียวกับตะกอนที่ขุดลอกหรือไม่ ซึ่งต้องใช้หลักวิชาการมายืนยัน โดยจะใช้เวลาวิเคราะห์ประมาณ 1 เดือน ระหว่างนี้สำหรับการประสานระหว่างหน่วยงานในการขุดลอกที่อาจส่งผลกระทบ มาตรการต้องเป็นมาตรการที่อยู่ร่วมกัน กิจกรรมทำได้ แต่ต้องก่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด และไม่ทำกิจกรรมที่ไม่สมควรทำ เรามีการประกาศเขตสงวนอยู่แล้วว่าโครงการไหนทำได้ทำไม่ได้ บางโครงการต้องทำ EIA แต่ในการดำเนินการหากมีช่องโหว่ต้องไปปรับตรงนั้น และการทำกิจกรรมต่างๆต้องกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งกรมทช.มีแผนจะไปหารือกับกรมเจ้าท่าอยู่แล้ว การสำรวจจึงถือว่ามีความจำเป็น เพราะต้องคุยกันบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ตอนนี้เรื่องตะกอนมันมีมิติว่าในการเก็บตัวอย่างในบางจุดมันมีองค์ประกอบที่มีสัดส่วนเป็นทรายเพิ่มขึ้น มีลักษณะเป็นเฉพาะจุด เป็นพื้นที่ แต่ไม่อยากให้ด่วนสรุป เพราะแหล่งหญ้าทะเลไม่ได้เสียหายเฉพาะที่จังหวัดตรัง แต่ยังเสียในจังหวัดกระบี่ และมาเลเซียก็มีปัญหาเดียวกับเรา . นายปิ่นสักก์ กล่าวอีกว่า สถานการณ์วิกฤตในขณะนี้ด้านผลกระทบต่อสัตว์และผลกระทบต่อมนุษย์ เต่าทะเล และ พะยูน เป็นสัตว์สงวนที่เป็นสัตว์สำคัญของจังหวัดตรัง ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเราบินสำรวจในพื้นที่จังหวัดตรัง และ กระบี่ จากเดิมที่เราเคยพบกว่าร้อยตัว ตอนนี้พบเพียง 30 กว่าตัว แต่ขอเรียนว่าในสัปดาห์นั้นมีคลื่นลมและสภาพน้ำไม่ดี อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้หาตัวพะยูนพบน้อยกว่าปกติ แต่มันก็อาจจะเคลื่อนย้ายไปที่อื่นจริง แต่เชื่อว่าส่วนที่หายไปนั้นไม่ตาย เพราะเราไม่พบซาก หากตายซากจะลอยและเครือข่ายชาวประมงจะพบ ซึ่งปลายเดือนมีนาคมนี้ เราจะบินสำรวจใหม่โดยทีมชุดใหญ่ จะบินให้ครอบคลุมพื้นที่มากกว่าเดิม ใช้ทีมบินมากกว่า เดิมโดยกองทัพอากาศจะเข้ามาช่วยด้วย เพื่อให้ได้คำตอบที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ต้องหาคำตอบให้ได้ ผู้สื่อข่าวถามว่า หากพะยูน มีการย้ายแหล่งหากินออกนอกเขตอนุรักษ์ จะเพิ่มปัจจัยเสี่ยงหรือไม่ นายปิ่นสักก์กล่าวว่า หากเคลื่อนย้ายไปที่อื่น ก็ต้องดูว่าพื้นที่นั้นมีภัยคุกคามหรือไม่ ขณะนี้เรายังเน้นย้ำถึงเรื่องการบินสำรวจพะยูนว่ามีจำนวนเท่าไหร่ อยู่ที่ไหน รวมทั้งดูว่าถ้าอพยพไปที่อื่นจะมีหญ้าทะเลพอหรือไม่ และเรามีการตรวจสุขภาพพะยูนทั้งซากที่เจอ และพะยูนในทะเล ดูว่าว่ายน้ำปกติหรือไม่ รูปร่างผิดปกติหรือไม่ หรือถ้าพบพะยูนป่วยเรากับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยตรัง ได้ร่วมมือกันจะอนุบาลพะยูนอยู่แล้วโดยทีมสัตวแพทย์ เตรียมยา เตรียมแผนจัดการอาหารไว้แล้ว เมื่อถามว่า พะยูนเป็นสัตว์สงวน และสัตว์ตามบัญชีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์(ไซเตส) วิกฤตที่เกิดขึ้น จะส่งผลต่อภาพการอนุรักษ์ของประเทศไทยหรือไม่ อธิบดีกรมทช.กล่าวว่า ตนเชื่อว่าการระดมทุกสรรพกำลังในเรื่องเหล่านี้ เป็นเครื่องยืนยันให้ต่างชาติเห็นว่าเราใส่ใจเรื่องพะยูน รวมทั้งดูแลบ้านให้พะยูนด้วย เป็นการทุ่มเทเพื่อดูแลอนุรักษ์พะยูนในประเทศไทยและในจังหวัดตรัง https://www.matichon.co.th/local/qua...e/news_4470440
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
ภาวะโลกเดือดกับชะตากรรมของมหาสมุทร (ตอนที่ 2) มหันตภัยปะการังฟอกขาว ....... โดย เพชร มโนปวิตร "เมื่อไหร่เราจะหยุดเสแสร้งว่าหากอุณหภูมิเพิ่มขึ้นไม่เกิน 2 องศาปะการังน่าจะรอด ในเมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยเพิ่มขึ้นแค่ 1 องศาเราก็เห็นปะการังในเกรทแบริเออร์รีฟฟอกขาวไปกว่า 90% แล้ว" ? Prof. Terry Hughes James Cook University งานวิจัยล่าสุดที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร Scientific Reports คาดการณ์ว่ามีโอกาสถึง 90% ที่อุณหภูมิเฉลี่ยบนพื้นผิวโลกจะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงปี 2024 บางภูมิภาคจะได้รับผลกระทบรุนแรงมากกว่าที่อื่น โดยเฉพาะพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ บางส่วนของอเมริกากลางและทะเลแคริบเบียน สิ่งที่ตามมานอกจากสภาวะแห้งแล้งรุนแรงและไฟป่าแล้ว ยังหมายถึงปรากฏการณ์ที่อาจเรียกได้ว่าทะเลเดือด หรือภาวะคลื่นความร้อนใต้น้ำที่จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ อุณหภูมิที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นในระดับทำลายสถิติอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ปี 2023 ที่ผ่านมาก็เพิ่งจะถูกบันทึกว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดโลกมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดตั้งแต่เคยมีการเก็บข้อมูลมาตั้งแต่ปี 1850 ทำลายสถิติอุณหภูมิสูงสุดเมื่อปี 2016 ขาดลอยและเมื่อเทียบกับหลักฐานในอดีต อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจากก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมราว 1.5 องศาของปี 2023 น่าจะเป็นอุณหภูมิเฉลี่ยที่สูงที่สุดในรอบ 1 แสนปีที่ผ่านมา "เราเคยเห็นแล้วว่าความร้อนระดับนี้จะสร้างปัญหารุนแรงให้กับโลกขนาดไหน เราจึงต้องการเตือนให้ทุกคนเตรียมตัว" Deliang Chen ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์โลกแห่งมหาวิทยาลัยโกเตนเบิร์ก หนึ่งในนักวิจัยกล่าว การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิบนบกและในทะเลคาดว่าจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวรุนแรงที่สุดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และจะทำให้แนวปะการังจำนวนมากตายลงในปีนี้ "ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อแนวปะการังกำลังเข้าสู่ภาวะที่เราไม่เคยเจอมาก่อน และเรากำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์" Ove Hoegh-Guldberg ศาสตราจารย์ด้านปะการังแห่งมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ให้ความเห็น อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ปีนี้อากาศจะร้อนมากผิดปกติเพราะเรายังอยู่ในช่วงของเอลนีโญ (El Nino) อันเป็นปรากฏการณ์การเปลี่ยนทิศทางของกระแสน้ำและกระแสลมในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งโดยเฉลี่ยเกิดขึ้นเป็นวงรอบทุก ๆ 5-7 ปี จากที่ในภาวะปกติกระแสลมที่รู้จักกันในชื่อลมสินค้าตะวันออก (Eastery Trade Wind) เคยพัดจากฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก (อเมริกาใต้) ไปยังฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก (ออสเตรเลีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) โดยนำพากระแสน้ำอุ่นมาด้วย ทำให้เอเชียและออสเตรเลียได้รับความชุ่มชื้นฝนตกชุก ส่วนชายฝั่งของอเมริกาใต้ก็จะได้กระแสน้ำเย็นที่ไหลเข้าแทนที่ นำพาธาตุอาหารจากทะเลลึกขึ้นมาสู่น้ำตื้น ทำให้ปลาชุกชุม เป็นแหล่งอาหารของนกทะเลและการทำประมงชายฝั่งที่สำคัญ แต่ระหว่างที่เกิดเอลนีโญ กระแสลมสินค้าตะวันออกอ่อนกำลัง กระแสลมพื้นผิวและกระแสน้ำจะเคลื่อนที่กลับทิศจากฝั่งตะวันตกไปสู่ตะวันออกของมหาสมุทรแทน ทำให้เกิดฝนตกหนักทางอเมริกาใต้ ส่วนออสเตรเลียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดความแห้งแล้ง อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติ อุณหภูมิของมหาสมุทรเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนและส่งผลกระทบต่อแนวปะการังอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์เริ่มสังเกตว่าปะการังเกิดการฟอกขาวเป็นบริเวณกว้าง (Mass coral bleaching) บ่อยครั้งขึ้นเรื่อย ๆ คนทั่วไปอาจไม่เคยทราบมาก่อนว่าปะการังความจริงเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่มีโครงสร้างเรียบง่ายแต่สามารถสร้างโครงสร้างแข็งอันสลับซับซ้อนใหญ่โต เกิดเป็นระบบนิเวศทางทะเลที่หลากหลายอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อใดที่อุณหภูมิสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน ปะการังจะเกิดความเครียด และขับเอาสาหร่าย zooxanthellae ที่คอยผลิตอาหารให้ปะการังออกจากตัวจนเหลือแต่โครงสร้างหินปูนขาว ๆ เหมือนโครงกระดูก ถ้าอุณหภูมิไม่ลดลงในเร็ววัน ปะการังที่ฟอกขาวส่วนใหญ่จะตายลง บางโคโลนีอายุหลายสิบปี บางโคโลนีอาจมีอายุหลายร้อยปี อาจตายลงทั้งหมดภายในเวลาไม่กี่อาทิตย์ เปรียบไปจึงไม่ต่างอะไรกับไฟป่า ถ้าไฟไหม้ไม่หนักมาก ต้นไม้อาจจะฟื้นกลับมาได้เอง แต่ถ้าไหม้หนัก ไหม้นาน ป่าทั้งป่าก็ตายเรียบ และใช้เวลานานกว่าจะสามารถฟื้นตัวเองกลับมาได้ ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวที่รุนแรงระดับโลกครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 1998 ซึ่งฆ่าปะการังทั่วโลกไปราว 16% ภายในปีเดียว ครั้งที่สองคือปี 2010 ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อแนวปะการังทางฝั่งอันดามันของประเทศไทย ซึ่งทำให้ปะการังแข็งในหลายพื้นที่ตายลงเป็นจำนวนมาก แนวปะการังน้ำตื้นภายในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ที่เคยเป็นป่าดงดิบใต้น้ำกลายสภาพเป็นสุสานซากปะการังสุดลูกหูลูกตา ภายในเวลาไม่กี่เดือนแนวปะการังที่เคยอุดมสมบูรณ์ตายลงมากกว่า 90% ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวระดับโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้นต่อเนื่องและยาวนานที่สุดระหว่างปี 2014-2017 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวส่งผลให้แนวปะการังเกรทแบริเออร์รีฟ ที่มีความยาวกว่า 2,300 กิโลเมตรเกิดฟอกขาวอย่างรุนแรงสองปีซ้อนคือในปี 2016 และ 2017 ทำให้แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ตายลงราวครึ่งหนึ่ง และยังเกิดฟอกขาวรุนแรงซ้ำอีกครั้งในปี 2020 และ 2022 ศาสตราจารย์ Terry Hughes แห่งมหาวิทยาลัย James Cook และคณะ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลปะการัง 100 แห่งทั่วโลก พบว่าปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวในช่วงหลังเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงกว่าเดิม จากที่เคยเกิดขึ้นครั้งใหญ่ทุก ๆ 25-30 ปีในช่วงต้นทศวรรษ 1980s กลับลดสั้นลงเหลือแค่ทุก ๆ 6 ปีโดยเฉลี่ยในปัจจุบัน จนแทบไม่เปิดโอกาสให้ปะการังได้ฟื้นตัว อนาคตของระบบนิเวศที่มีความหลากหลายที่สุดในทะเลกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน "มันเหมือนการขึ้นชกกับนักมวยรุ่นเฮฟวี่เวท คุณอาจจะยืนระยะได้สักยก แต่พอขึ้นยกสอง คุณมีโอกาสถูกน็อคแน่ ๆ" Dr. Mark Eakin แห่ง NOAA ผู้ดูแลระบบเตือนภัยปะการังฟอกขาว Coral Reef Watch กล่าว "ปรากฏการณ์ฟอกขาวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น สอดรับกับโมเดลสภาพภูมิอากาศที่พยากรณ์ไว้เป๊ะ ๆ จากสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้น ภายในกลางศตวรรษนี้ ปะการังส่วนใหญ่ทั่วโลกจะต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ฟอกขาวอันเนื่องมาจากอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นของน้ำทะเลเกือบทุกปี ถ้าไม่ทุกปี" แต่ก่อนอาจจะมีช่วงอุณหภูมิลดต่ำลงอันเป็นผลจากปรากฏการณ์เอลนีโญ-ลานีญา แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นในปัจจุบันทำให้ ปีที่ควรจะมีอุณหภูมิหนาวเย็น ร้อนกว่า ปีที่ควรจะร้อน เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ?เดี๋ยวนี้ไม่มีปีที่หนาวเย็นอีกแล้ว (ในทะเล) มีแต่ปีที่ร้อน กับร้อนเกินไป? Dr Eakin กล่าว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคืองานวิจัยของ Ove Hoegh-Guldberg และคณะ ที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร Science เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยได้ทำการวิเคราะห์รูปแบบอุณหภูมิผิวทะเลในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาแล้วพบว่ามีโอกาสสูงมากที่จะเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกตลอดปี 2024 นี้ "หน้าร้อนปีนี้อาจจะเป็นหน้าร้อนแรกที่พวกเราไม่เคยพบเจอมาก่อน และสิ่งที่น่ากลัวก็คือมันอาจเป็นจุดเปลี่ยน (tipping point) ที่เราไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้ว เราอาจพบกับพายุที่รุนแรงที่สุดที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เราไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่ออุณหภูมิกระโดดสูงขึ้นไปขนาดนั้น" Ove Hoegh-Guldberg ให้สัมภาษณ์ไว้ระหว่างการเข้าร่วมประชุมภาคีสมาชิกว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ COP28 ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ข่าวร้ายก็คือ งานสำรวจทางอากาศและใต้น้ำล่าสุดทางตอนใต้ของแนวปะการังเกรทแบริเออร์รีฟพบว่า เริ่มมีการฟอกขาวเป็นบริเวณกว้างแล้ว ในขณะที่ทางตอนเหนือเริ่มมีการฟอกขาวเป็นบางจุด ปะการังนอกจากจะมีความสวยงามอันนำมาสู่การท่องเที่ยวที่มีมูลค่ามหาศาล ระบบนิเวศประเภทนี้ยังมอบนิเวศบริการให้กับคนหลายร้อยล้านคนทั่วโลก ทั้งในแง่แหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ และปราการป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติ นอกจากผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนแล้ว ในปัจจุบันปะการังหลายแห่งอยู่ในสภาวะเสื่อมโทรมอันเนื่องมาจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะขยะ ตะกอนจากการพัฒนาชายฝั่ง และการทำประมงมากเกินขนาด รวมไปถึงการท่องเที่ยวที่ไม่รับผิดชอบ นักวิจัยด้านปะการังต่างเรียกร้องให้มีความพยายามลดก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง ในขณะเดียวกันก็ต้องลดผลกระทบต่าง ๆ จากกิจกรรมมนุษย์ให้มากที่สุด ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวคือหลักฐานสำคัญว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันเป็นผลพวงจากการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืนของมนุษย์นั้นส่งผลกระทบรุนแรงและกว้างไกลขนาดไหน ถ้าโลกลงมือแก้ปัญหาโลกร้อนไม่ทันการณ์? นักวิทยาศาสตร์คาดว่าปรากฏการณ์ฟอกขาวจะฆ่าปะการังเกือบทั้งหมดภายใน 30 ปีข้างหน้า ถึงตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับประชากรกว่า 1 พันล้านคนที่พึ่งพาอาศัยแนวปะการังในการดำรงชีวิต จะเกิดอะไรขึ้นกับกุ้ง หอย ปู ปลา และเศรษฐกิจหมุนเวียนด้านการท่องเที่ยวปีละกว่า 1.2 ล้านล้านบาท https://decode.plus/20240301-coral-b...oral-bleaching
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก Nation
"ดร.ธรณ์" ปลื้ม "พัชรวาท" แก้ไขปัญหาหญ้าทะเลเสื่อมโทรม ดร.ธรณ์ นักวิชาการด้านประมง ปลื้ม "พัชรวาท วงษ์สุวรรณ" รองนายกฯ และรมว.ทส. มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาหญ้าทะเลเสื่อมโทรม พื้นที่ จ.ตรัง และจ.กระบี่ เพื่อฟื้นฟูกลับมาให้เป็นแหล่งอาหารของพะยูนต่อไป ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะคณะทำงานขับเคลื่อนการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาการเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเลในบริเวณจังหวัดตรังและจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า ตนในฐานะคณะทำงานฯ รู้สึก ดีใจที่ได้เห็น นักวิชาการด้านทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง จากหลากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐเอกชนและมหาวิทยาลัย รวมถึงอาสาสมัครที่ได้มาร่วมกันแก้ไขปัญหาหญ้าทะเล ในพื้นที่จังหวัดตรังและกระบี่ ซึ่งทุกภาคส่วนได้ให้ความสำคัญกับปัญหาความเสื่อมโทรมของหญ้าทะเล และต้องขอขอบคุณ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ห่วงใยในปัญหาดังกล่าว โดยได้สนับสนุนงบประมาณสำหรับงานวิจัยให้กับคณะทำงานแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทั้ง 8 โครงการ ซึ่งถือเป็นการศึกษา วิจัยเกี่ยวกับปัจจัยหรือสาเหตุความเสื่อมโทรมของหญ้าทะเลให้ครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านระบบนิเวศหญ้าทะเล ด้านสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ และด้านสมุทรศาสตร์และสิ่งแวดล้อมบริเวณแหล่งหญ้าทะเล เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูสภาพเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเลจังหวัดตรังให้กลับคืนมาสมบูรณ์ โดยเร็วที่สุด และยั่งยืนอีกครั้ง ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ติดตามสถานการณ์แหล่งหญ้าทะเลเสื่อมโทรมในพื้นที่จังหวัดตรังและจังหวัดกระบี่ มาโดยตลอดพร้อมได้สั่งการให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จัดตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาการเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเลในบริเวณจังหวัดตรังและจังหวัดกระบี่ รวมถึงได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์แก้ปัญหาหญ้าทะเลตรังอย่างใกล้ชิด เมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยกรมทะเลได้ส่งทีมนักวิชาการร่วมกับนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยที่มีการสอนด้านทรัพยากรทางทะเล กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช มูลนิธิเพื่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดตรัง และอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล ออกสำรวจตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลและดินตะกอน เพื่อเร่งหาสาเหตุการเกิดปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้ จากการดำเนินงานที่ผ่านมา คณะทำงานฯ ได้ปฏิบัติหน้าที่ครอบคลุมในทุกภารกิจทั้งการบินสำรวจพะยูนด้วย UAV Lider scan การสำรวจชายฝั่งด้วย USV การจัดทำแบบจำลองลักษณะสมุทรศาสตร์กายภาพ การศึกษาการปนเปื้อนของโลหะหนัก และการติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพหญ้าทะเลเชิงพื้นที่ จ.ตรัง เพื่อหาสาเหตุการตายของหญ้าทะเลให้เร็วที่สุด ก่อนจะฟื้นฟูหญ้าทะเลที่เสื่อมโทรมให้กลับมาเป็นแหล่งอาหารของพะยูนไทยต่อไป https://www.nationtv.tv/news/pr/378941388
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|