เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 16-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีอากาศร้อนจัดบริเวณภาคเหนือและภาคกลาง ในขณะที่มีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยและทะเลจีนใต้เข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศร้อนในระยะนี้ไว้ด้วย

สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อน โดยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงสูง เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อน และมีการระบายอากาศที่ไม่ดี


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 27-28 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 34-37 องศาเซลเซียส
ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 16 - 18 มี.ค. 67 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง

ส่วนในช่วงวันที่ 19 - 21 มี.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด ประกอบกับมีลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างจะมีกำลังแรงขึ้น โดยบริเวณอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 16 ? 18 มี.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัดไว้ด้วย

ส่วนในช่วงวันที่ 19 ? 21 มี.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง สำหรับชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 16-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์


ทัวริสต์โวยขยะเกลื่อนหาดหนองแฟบ คนชุมชนเร่งเก็บทำความสะอาด

พบขยะเกลื่อนหาดหนองแฟบ มาบตาพุด กลุ่มประมงยันขยะจะถูกพัดเข้าฝั่งช่วง 3 เดือนของทุกปี จากลมเปลี่ยนทิศ เก็บได้วันละ 600 กก. ขณะที่ประธานชุมชนหนองแฟบ ยันหาดหนองแฟบจะจัดคนในชุมชน 3 คน ดูแลเก็บกวาดตลอดหาด



เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 15 มี.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวว่า มีขยะจำนวนมากถูกพัดลอยมาติดชายหาดหนองแฟบ ต.มาบตาพุด จ.ระยอง จำนวนมาก ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ขยะดังกล่าวมีหลายประเภททั้งพลาสติก โฟม ขวดพลาสติก และเศษไม้ พบเกลื่อนหาดบริเวณจุดจอดเรือประมงของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนประมงเรือเล็กหนองแฟบ ซึ่งเป็นลักษณะของหาดโค้งเว้า จึงพบเห็นขยะถูกพัดลอยเกลื่อนหาด โดยทางกลุ่มประมงยืนยันว่า ขยะจะถูกพัดเข้ามาติดหาด เก็บกองไว้ได้วันละประมาณ 600 กก. โดยทางกลุ่มประมงได้ร่วมกับชุมชน และภาคอุตสาหกรรม ช่วยกันเก็บรวบรวมไว้รอเจ้าหน้าที่เทศบาลมาเก็บไปกำจัดต่อไป แต่อย่างไรก็ตามขยะที่พบดังกล่าว จะมาทุกปีจากกระแสลมเปลี่ยนทิศในช่วง 3 เดือนนี้ ตั้งแต่เดือน มี.ค.-พ.ค.นี้ ซึ่งขยะส่วนใหญ่จะเป็นขยะที่ถูกทิ้งลงคลองน้ำ ก่อนจะไหลตามน้ำลงสู่ทะเล และถูกพัดเข้าฝั่งดังกล่าว

นายจรัญ เข็มกลัด ประธานวิสาหกิจชุมชนประมงเรือเล็กหนองแฟบ กล่าวว่า ขยะที่พบส่วนใหญ่มาจากฝั่ง เมื่อลมเปลี่ยนทิศจะถูกพัดเข้าฝั่งทุกปี ในช่วง 3 เดือนนี้ ซึ่งเดือนนี้มาเร็วกว่าทุกปี แต่ทางกลุ่มฯ ก็จะช่วยกันเก็บร่วมกัน 3 ฝ่าย มีกลุ่มประมง, ชุมชน, และภาคอุตสาหกรรม รวบรวมกองไว้บนฝั่ง เพื่อป้องกันไม่ให้มีการไหลลงทะเลอีก ก่อนจะมีเจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองมาบตาพุดมาเก็บไปกำจัดต่อไป ส่วนที่มีการเข้าใจว่า ขยะในทะเลที่พบส่วนใหญ่เกิดจากชาวประมง ขอยืนยันว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับส่วนอื่น โดยทางกลุ่มวิสาหกิจชุมชนประมงเรือเล็กหนองแฟบ เป็นกลุ่มที่มีการรักษ์สิ่งแวดล้อม เวลาออกทะเลขยะที่ติดตัวไปแทบไม่มี มีเพียงขวดน้ำกินไม่กี่ขวด ซึ่งขยะที่เห็นในทะเลส่วนใหญ่จะมาจากบนฝั่ง เช่น กระถางต้นไม้ โฟม พลาสติก เป็นต้น

ด้านนายอิทธิ แจ่มแจ้ง ประธานชุมชนหนองแฟบ กล่าวว่า การดูแลความสะอาดแนวหาดที่เชื่อมต่อจากหาดจุดจอดเรือกลุ่มวิสาหกิจชุมชนประมงฯ จะมีคนในชุมชน 3 คน ช่วยกันเก็บกวาดตลอดแนวหาด และจะมีจุดถังขยะไว้ใส่ขยะจากนักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนกินอาหาร ก่อนจะมีรถเก็บขยะของเทศบาลเมืองมาบตาพุดมาเก็บไปกำจัดต่อไป ยืนยันว่าตลอดแนวหาดมีคนดูแลตลอด


https://www.dailynews.co.th/news/3261344/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 16-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


การเดินทางไกล ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน เปิดภารกิจช่วยเหลือ '3 พะยูน' ................ โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล



ส่องภารกิจช่วยชีวิต "แมนนาที" (Manatee) 3 ตัว พะยูนหางกลมในฟลอริดา หรือ "วัวทะเล" ซึ่งเป็นคนละสายพันธุ์กับ "พะยูน" ในประเทศไทย ที่ใช้เวลานานเกือบ 3 ปี ผ่านการเดินทางกว่า 1,000 กิโลเมตร และใช้งบประมาณหลายแสนดอลลาร์ เพื่อรักษาสิ่งมีชีวิตที่ใกล้สูญพันธุ์

ปี 2021 เป็นปีที่เลวร้ายสำหรับ "แมนนาที" หรือ "วัวทะเล" พะยูนหางกลมที่อาศัยอยู่ในฟลอริดา เนื่องจาก "หญ้าทะเล" แหล่งอาหารของพวกมันเริ่มสูญพันธุ์ จากปัญหา "มลภาวะทางน้ำ" ที่มาจากสิ่งปฏิกูลและปุ๋ยสะสมมานานหลายทศวรรษ การเกิด "ปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ" (Red Tide) รวมถึงการชนกับเรือของมนุษย์ ทำให้แมนนาทีขาดอาหารตายไปนับร้อยตัว

ในปีนั้นสัตวแพทย์ได้ให้การช่วยเหลือแมนนาทีว่ายน้ำตามลำพังอยู่บนชายฝั่งตะวันตกของรัฐฟลอริดา โดยตัวแรกที่พบยังมีสายสะดือติดอยู่ ตัวที่ 2 พบเจอมันว่ายอยู่อย่างโดดเดี่ยวในคลอง ส่วนวัวทะเลตัวที่ 3 มีน้ำหนักน้อยมากเพียง 44 ปอนด์ ซึ่งน้อยกว่าน้ำหนักแรกเกิดพะยูนที่ 65 ปอนด์เสียอีก โดยทั้ง 3 ตัวที่ช่วยเหลือได้เป็นวัวทะเลเพศเมีย และถูกตั้งชื่อว่า "คาไลโอปี" "โซเลย์" และ "พิคโคลินา"

ไม่มีใครรู้ทำไมแมนนาทีน้อยทั้ง 3 ตัวถึงว่ายน้ำอยู่ตัวเดียวตอนที่เจอพวกมัน หรือเกิดอะไรขึ้นกับแม่ของพวกมัน โดยปกติแล้ว ลูกวัวทะเลจะอยู่กับแม่ได้นานถึงสองปี เพื่อเรียนรู้วิธีการหาอาหาร การว่ายน้ำ และหาแหล่งอาศัยบริเวณน้ำอุ่น เพื่อฝึกเอาตัวรอดจากความหนาวเย็น

"เห็นได้ชัดว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น" มอลลี่ ลิปพินคอตต์ ผู้จัดการสัตว์ท้องถิ่นฟลอริดาของสวนสัตว์ ZooTampa กล่าว


"ภาวะโลกร้อน" ทำร้าย "แมนนาที"

แมนนาทีเป็นหนึ่งในสัตว์ชนิดแรกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ตั้งแต่ปี 1973 คาดว่าจำนวนประชากรของพวกมันในตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ 1,000 ตัว แต่ด้วยการอนุรักษ์และดูแลพวกมันอย่างเต็มที่ จึงจำนวนแมนนาทีเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 10,000 ตัว จากการประเมินเมื่อปี 2022 เนื่องจากมีการเพิ่มพื้นที่อนุรักษ์ และแหล่งอาศัยให้แมนนาทีมากขึ้น อีกทั้งยังจำกัดความเร็วเรือที่แล่นผ่านพื้นที่ดังกล่าว

ในปี 2017 รัฐบาลสหรัฐได้ลดระดับภัยคุกคามของวัวทะเลลง ให้อยู่ในระดับถูกคุกคามแทน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะปลอดภัยมากขึ้น

"การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" และระบบการบริหารจัดการน้ำเสียไม่ดี เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ ซึ่งเป็นการรวมตัวขนาดใหญ่ของจุลชีพในทะเลรุนแรงขึ้น นักวิจัยพบว่า ภาวะโลกร้อนทำให้เกิดพายุหนักและลมแรงก็มีส่วนทำให้เกิดการชำระล้างผิวดิน และทำให้ฟอสฟอรัสจากดินไหลลงสู่แหล่งน้ำและทำให้สาหร่ายเซลล์เดียวแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็วและรุนแรงยิ่งขึ้น

เช่นเดียวกับการใช้ปุ๋ยในการเกษตรทำให้เกิดการรั่วไหลของฟอสฟอรัสลงสู่แหล่งน้ำ และระบบจัดการบำบัดน้ำเสียที่ไม่ดีก็เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ จนทำให้หญ้าทะเลที่เป็นอาหารของแมนนาทีไม่สามารถเจริญเติบโตได้

ดังนั้นนักวิจัยจึงพยายามลดมลพิษจากระบบบำบัดน้ำเสียไม่มีประสิทธิภาพและการรั่วไหลของฟอสฟอรัสในแหล่งที่อยู่อาศัยของแมนนาทีให้ได้มากที่สุด ในปี 2023 ความพยายามของนักวิจัยก็เป็นผลสำเร็จ เมื่อพวกเขาพบว่าหญ้าทะเลฟื้นตัวได้ดีในทะเลสาบน้ำเค็มชายฝั่งอินเดียนริเวอร์ ที่ในปี 2021 ประสบปัญหาหญ้าทะเลล้มตายทั่วทะเลสาบ


การเดินทางนับพันกิโลเมตร

ผ่านมาปีกว่าหลังจากการช่วยเหลือแมนนาทีน้อยทั้ง 3 ตัว พวกมันมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาก ในเดือนพฤศจิกายน 2022 พิคโคลินามีน้ำหนัก 375 ปอนด์แล้ว ส่วนคาไลโอปี มีน้ำหนักมากกว่า 400 ปอนด์ และ โซเลย์มีน้ำหนัก 475 ปอนด์ โดยในระยะแรกเจ้าหน้าที่ต้องให้อาหารพวกมันผ่านทางขวดนมทุก ๆ 4 ชั่วโมง

แม้จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นแต่พวกมันยังไม่สามารถกลับคืนสู่ธรรมชาติได้จนกว่าจะมีน้ำหนักอย่างน้อย 600 ปอนด์ ซึ่งเป็นขนาดที่จะช่วยให้พวกมันเหมาะสมในการเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเอง โดยปรกติแล้วแมนนาทีจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นวันละหนึ่งปอนด์ ดังนั้นการเพิ่มน้ำหนักมากขนาดนั้นจึงต้องใช้เวลาและใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ พวกมันจึงต้องย้ายจาก สวนสัตว์ ZooTampa ไปยังสวนสัตว์ซินซินนาติ ในรัฐโอไฮโอที่มีศูนย์ช่วยเหลือและฟื้นฟูพะยูนขนาดใหญ่กว่าแทน

เมื่อย้ายมาอยู่ในโอไฮโอ ทั้ง 3 ตัวยังได้รับการดูแลอย่างดี ที่นี่มีบุฟเฟ่ต์ผักนานาชนิดที่จัดวางเลียนแบบหญ้าทะเลให้พวกมันได้เลือกกิน ไม่ว่าจะเป็น ผักกาดเขียว อองดีฟ เคล กะหล่ำปลี ผักกวางตุ้ง ฯลฯ

วัวทะเลทั้ง 3 ตัว เข้าขากันได้เป็นอย่างดี โดยแต่ละตัวมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันไป คาไลโอปีมีนิสัยขี้สงสัย ฉลาด และเป็นตัวแสบที่สุด ส่วนโซเลย์ก็ดูอ่อนหวานและสบาย ๆ มีความสุขมากเมื่อผู้ดูแลมีอาหารมาล่อให้ทำตามคำสั่ง ส่วนน้องเล็กอย่าง พิคโคลินา จะอยู่ขี้อายมากที่สุด มักจะตัวติดกับพี่ ๆ เสมอ

11 เดือนผ่านไป ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2023 ถึงเวลาที่ทั้ง 3 ตัว จะต้องเดินทางกลับฟลอริดา ตอนนี้พวกมันหนักเพิ่มขึ้นประมาณสองเท่า พนักงานสวนสัตว์นำแมนนาทีเพิ่มขึ้นจากน้ำ หลังจากนั้นจับพวกมันใส่เปลญวนหนาพิเศษ ก่อนจะยกไปไว้ในกลุ่มโฟมหนา 8 นิ้ว

ในระหว่างการเคลื่อนย้าย พวกมันไม่ได้ถูกวางยาสลบ เพราะอาจจะทำให้พวกมันหายใจติดขัดระหว่างขนย้ายได้ และต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการเคลื่อนย้าย แต่พวกมันก็ไม่กระโตกกระตาก ยังคงสงบ นอนนิ่ง ๆ จนทีมวิจัยแปลกใจ

พฤติกรรมที่สงบของพะยูนอาจเป็นหนึ่งในคุณสมบัติเด่นที่ทำให้มันเป็นขวัญใจของมนุษย์ เจมส์ พาวเวลล์ ผู้เชี่ยวชาญพะยูนและผู้อำนวยการบริหารของสถาบันวิจัยพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำทะเลเคลียร์วอเตอร์

"ผมคิดว่าพะยูนทำให้ผู้คนรู้สึกสงบได้" พาวเวลล์กล่าว


ขึ้นเครื่องบินกลับบ้าน

DHL บริษัทขนส่งระดับโลกทำหน้าที่ขนส่งวัวทะเลทั้ง 3 ตัว กลับไปยังฟลอริดา โจ คอลโลปี ผู้อำนวยการอาวุโสของ DHL กล่าวว่า "เราอยากส่วนหนึ่งในการพาทุกตัวกลับบ้าน"

แม้ DHL จะขนส่งพะยูนมาแล้วหลายรอบ แต่เที่ยวบินนี้เป็นไฟลท์ที่มีพะยูนมากที่สุด นอกจากวัวทะเลน้อยทั้ง 3 ตัวแล้วมีพะยูนจากสวนสัตว์โคลัมบัสอีก 5 ตัวร่วมเดินทางด้วย นอกจากนี้ยังมีสัตวแพทย์และผู้ดูแลพะยูนเดินทางไปด้วย เพื่อคอยดูว่าพวกมันหายใจและพ่นละอองน้ำออกมาหรือไม่

พะยูนส่วนใหญ่จะนอนคว่ำระหว่างการเดินทาง แต่คาไลโอปีเป็นตัวเดียวที่นอนหงาย แม้พวกมันจะนอนนิ่ง ๆ ไม่ตกใจ ไม่ส่งเสียงรบกวน แต่บางครั้งพวกมันก็ขับถ่ายเวลาที่อยู่บนเครื่องบิน

ราคาตั๋วพะยูนจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับน้ำหนักและจำนวนสินค้าอื่นๆ ที่บรรทุกบนเที่ยวบิน สำหรับการเดินทางครั้งนี้สวนสัตว์ซินซินนาติจ่ายเงินประมาณ 21,000 ดอลลาร์สำหรับลูกวัวทะเลทั้ง 3 ตัว


กลับคืนสู่ธรรมชาติ

ในทศวรรษที่ผ่านมา พะยูนที่เป็นกำพร้า ป่วย หรือได้รับบาดเจ็บมากกว่า 800 ตัว พวกถูกส่งไปยังศูนย์ดูแลผู้ป่วยวิกฤติ ทำให้สวนสัตว์ ZooTampa และศูนย์อนุรักษ์อื่น ๆ กำลังก่อสร้างสระน้ำสำหรับดูแลที่ได้รับบาดเจ็บเพิ่มเติม

แม้ว่าการรักษาและฟื้นฟูวัวทะเลจะต้องใช้เงินหลายแสนดอลลาร์ และใช้เวลาหลายปี แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าที่ได้ช่วยเหลือพะยูนหางกลมที่ใกล้สูญพันธุ์

ลิปพินคอตต์ จาก ZooTampa กล่าวว่าเธอรู้สึกสบายใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือพะยูน เนื่องจากสัตว์เหล่านี้สามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงอายุ 60 ปี การใช้เวลาเพียง 1-2 ปี ในการฟื้นฟูพวกมันจึงเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามาก

พะยูนทั้ง 3 ตัวถูกปล่อยที่บริเวณทรีซิสเตอร์สปริงส์ ในแม่น้ำคริสตัล ฟลอริดา โดย ทีมงานได้อุ้มคาไลโอพีลงไปในน้ำก่อน มันค่อย ๆ ไถลลงจากเปล และว่ายน้ำจากไป ท่ามกลางเสียงเชียร์จากทีมพี่เลี้ยงและสัตวแพทย์ที่อยู่ดูแลกันมาตลอด

คาไลโอพีว่ายน้ำไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นเคย โดยมีอุปกรณ์ติดลอยตามหลัง เหมือนเด็กที่พึ่งย้ายเข้าโรงเรียนใหม่

หนึ่งชั่วโมงต่อมาก็ถึงคิวของโซเลย์ ส่วนพิคโคลินาลงน้ำในวันรุ่งขึ้น

ทั้งสามตัวกลับมาเจอกันอีกครั้ง และรวมตัวกันอยู่ครู่หนึ่ง โดยอยู่ห่างจากพะยูนตัวอื่น ๆ จากนั้นก็แยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเอง


ที่มา: The New York Times


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1117746
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 16-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย


นักวิจัยพบปะการังฟอกขาวทางเหนือของเกรตแบร์ริเออร์รีฟ



ซิดนีย์ 15 มี.ค. ? นักวิจัยออสเตรเลียกล่าววันนี้ว่า พบปะการังฟอกขาวที่บริเวณรอบ ๆ เกาะ 6 แห่งทางปลายด้านเหนือของเกรตแบร์ริเออร์รีฟ หลังจากหน่วยงานหนึ่งของรัฐบาลกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า พบสภาพปะการังฟอกขาวเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ทั่วหินปะการังที่ยาวที่สุดในโลกแห่งนี้

มายา ศรีนิวาสัน หัวหน้าคณะนักวิจัย กล่าวว่า การพบปะการังฟอกขาวรอบ ๆ อุทยานแห่งชาติเทอเทิ้ล กรุ้ป เป็นเรื่องที่น่าเสียใจมาก แต่สภาพปะการังอยู่ในขั้นที่ยังสามารถฟื้นฟูได้ตราบใดที่อุณหภูมิน้ำลดลงได้ทันเวลา เกาะ 6 แห่งในพื้นที่เทอเทิ้ล กรุ้ป ถูกเพิ่มใหม่เข้าไปในโครงการเฝ้าตรวจสอบที่มหาวิทยาลัยคุกกำลังดำเนินการอยู่ในแนวปะการังและข้อมูลที่รวบรวมได้จะฃ่วยในการวิเคราะห์เพิ่มเติมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับปะการังเมื่อเกิดปะการังฟอกขาว ไซโคลนและน้ำท่วม

การฟอกขาวเกิดขึ้นจากน้ำในมหาสมุทรมีอุณหภูมิอุ่นขึ้น ปะการังจะฟื้นตัวกลับมาเหมือนเดิมหากว่า น้ำมีความเย็นเพิ่มขึ้น แต่หากอุณหภูมิในมหาสมุทรยังคงสูงต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนาน ปะการังจะตายได้ เกรตแบร์ริเออร์รีฟ เกิดปะการังฟอกชาวรุนแรงมาแล้ว 5 ครั้ง ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า มีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ.


https://tna.mcot.net/world-1335515


__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 16-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก Nation


รู้จัก "กัลปังหา" คืออะไร หลัง "ซีแฟน" โผล่พ้นน้ำ กลายเป็นอันซีนแห่งใหม่เกาะสุกร



ทำความรู้จัก "กัลปังหา" คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรกับระบบนิเวศทางทะเล พร้อมพาชมความสวยงามของ "กัลปังหาแดง" ที่โผล่พ้นน้ำ หลังน้ำทะเลลดลงต่ำสุด สร้างความตื่นตาให้นักท่องเที่ยว จนกลายเป็นอันซีนแห่งใหม่ของเกาะสุกร จ.ตรัง

หากใครเคยไปเที่ยวทะเล หรือมีโอกาสได้ดำน้ำ คงจะได้ชม "กัลปังหา" ซึ่งมีลักษณะคล้ายพัด หรือบางชนิดก็เป็นเส้นเดี่ยวคล้ายแส้ ดูเผินๆ นึกว่าต้นไม้ คุณรู้หรือไม่ แท้จริงแล้ว กัลปังหา เป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลัง และมีความสำคัญกับระบบนิเวศใต้ทะเลด้วยนะ

วันนี้ Nation STORY ขอพาไปเที่ยวที่บริเวณหน้าหาดทรายทอง หมู่ที่ 2 ต.เกาะสุกร อ.ปะเหลียน จ.ตรัง เพื่อไปชมความสวยงามของ "กัลปังหาแดง" ที่โผล่พ้นน้ำในช่วงนี้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอันซีนของเกาะสุกร ว่าแล้วก็ออกเดินทางกันเลย
รู้จัก "กัลปังหา" คืออะไร หลัง "ซีแฟน" โผล่พ้นน้ำ กลายเป็นอันซีนแห่งใหม่เกาะสุกร

การเดินทางครั้งนี้ มี นายณัฐพัฒน์ พรหมเพชร ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเกาะสุกร ซึ่งเป็นคนเก็บข้อมูลและสำรวจกลุ่มกัลปังหาแดง หรือ ซีแฟน (Sea Fan) คนแรกในอำเภอปะเหลียน นำนักท่องเที่ยว ไปชมความสวยงามของกัลปังหาแดงที่โผล่พ้นน้ำ หลังน้ำทะเลลดลงต่ำสุด ห่างฝั่งประมาณ 400-500 เมตร และเป็นกัลปังหาแดงกลุ่มเดียวใน จ.ตรัง ที่อยู่ในเขตน้ำตื้น หรือที่ระดับความลึกประมาณ 20-40 เซนติเมตร นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถเดินไปชมได้อย่างใกล้ชิด

โดยในช่วงหน้าแล้งของทุกปี ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ในช่วงข้างแรม 1-3 ค่ำ ซึ่งเป็นช่วงที่น้ำทะเลลดลงต่ำสุด จะพบกัลปังหาแดงโผล่พ้นน้ำมากที่สุด และพบเพียงแห่งเดียวใน จ.ตรัง ที่อยู่ในเขตน้ำตื้น สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยว จนกลายเป็นอันซีนแห่งใหม่บนเกาะสุกร ที่เพิ่งถูกค้นพบเมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา


สำหรับ กัลปังหาแดง เป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลัง อยู่ในกลุ่มเดียวกับปะการัง มีหนวดลักษณะคล้ายขนนกคอยดักจับแพลงตอน ที่ลอยมากับน้ำกินเป็นอาหาร พบมากในบริเวณที่มีกระแสน้ำไหลหรือที่ระดับความลึก 3-10 เมตร แต่ช่วงเดือนมีนาคมนี้พบว่า กัลปังหาแดงทรุดโทรมลงไปมากกว่าเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เนื่องจากน้ำทะเลลดลงเป็นเวลานานกว่าปกติ ทำให้อุณหภูมิของน้ำร้อนขึ้น ยอดของกัลปังหาแดงจึงเริ่มแห้งตายเพราะโผล่พ้นน้ำเป็นเวลานาน แต่ยังคงมีกัลปังหาแดงที่เกิดใหม่อยู่ใต้ผิวน้ำโผล่ขึ้นมาให้เห็น

นายณัฐพัฒน์ เล่าว่า กัลปังหาแดง หรือซีแฟน กองนี้ มีความพิเศษตรงที่เป็นกัลปังหาแดงที่โผล่พ้นน้ำ ในข้อมูลที่เขาพยายามสืบค้นน่าจะเป็นกองเดียวที่เห็นอยู่ใน จ.ตรัง หรือกองเดียวในภาคใต้ โดยปกติแล้วซีแฟนจะอยู่ในระดับน้ำ 2-3 เมตร ถึง 10 กว่าเมตร แต่กองนี้เจอในระดับน้ำแค่หัวเข่า หรือว่าช่วงน้ำลงต่ำสุดจริง ๆ ก็สามารถเดินรอบกองนี้ได้โดยที่ไม่ต้องไปดำน้ำหรือนั่งเรือ แค่เดินมา 400-500 เมตรก็มาชมได้แล้ว ถือว่าเป็นหนึ่งอันซีนของเกาะสุกร

"ส่วนจุดเด่น คือ เป็นกองขนาดใหญ่มาก คือ 2-3 เมตร และมีความสมบูรณ์จนแทบจะไม่มีซีแฟนตัวไหนที่โผล่พ้นน้ำให้เจอได้ง่ายเลย เพราะพวกนี้จะอาศัยอยู่ใกล้ๆ ร่องน้ำหรือโซนที่มีแพลงตอนเพียงพอในการเจริญเติบโต แต่วันนี้เจอในระยะชายฝั่งถือว่าเป็นโชคดีของเกาะสุกรจริงๆ" นายณัฐพัฒน์ กล่าว

นายณัฐพัฒน์ บอกด้วยว่า เขามาเจอกัลปังหาแดง และสำรวจกองนี้เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว และได้เก็บข้อมูลทุกครั้งที่มีโอกาสหลังน้ำลด


ทำความรู้จัก "กัลปังหา"

อย่างที่กล่าวไปตอนต้น "กัลปังหา" เป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ BRT หรือ โครงการพัฒนาองค์ความรู้และศึกษานโยบายการจัดการทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทย (Biodiversity Research and Training Program : BRT) ซึ่งเขียนโดย คุณวรณพ วิยกาญจน์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุเกี่ยวกับกัลปังหาว่า

กัลปังหา (Gorgonians) เป็นสิ่งมีชีวิตในทะเลที่บางชนิดมีรูปร่างแผ่แบนคล้ายพัด จะเรียกว่าพัดทะเล (Sea fan) หรือบางชนิดมีลักษณะเป็นเส้นเดี่ยวคล้ายแส้ ก็จะเรียกว่าแส้ทะเล (Sea whip) ซึ่งถ้ามองเผินๆ แล้วกัลปังหาจะดูเหมือนต้นไม้

แต่ความจริงแล้ว กัลปังหาเป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลัง จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับปะการัง แต่ถูกแยกออกมาเป็น Subclass Octocorallia ซึ่งมีสมมาตรของร่างกายแบบรัศมี นอกเหนือจากรูปร่างลักษณะภายนอกที่เห็นแตกต่างกับปะการังแข็งแล้ว ตัวของกัลปังหาหรือที่เรียกว่า "โพลิป" (Polyp) แต่ละตัวนั้นจะมีหนวด (Tentacle) 8 เส้น ในขณะที่โพลิปของปะการังแข็งแต่ละตัวจะมีหนวด 6 เส้น หนวดเหล่านี้มีลักษณะคล้ายขนนก ทำหน้าที่กรองดักสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ล่องลอยอยู่ในมวลน้ำแล้วนำมากินเป็นอาหาร

บริเวณหนวดของมันยังมีเข็มพิษที่คอยช่วยในการจับเหยื่อพวกแพลงก์ตอนสัตว์อีกด้วย โดยจะพบกัลปังหามากในบริเวณที่มีกระแสน้ำไหล เนื่องจากกระแสน้ำมีส่วนช่วยในการพัดพาอาหารมาให้ และช่วยพัดพาสิ่งขับถ่ายหรือของเสียที่ถูกปลดปล่อยจากตัวกัลปังหาออกไป

กัลปังหา สามารถสืบพันธุ์ได้ทั้งแบบ "อาศัยเพศ" และ "ไม่อาศัยเพศ" เช่นเดียวกับปะการัง การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศนั้นใช้วิธี "แตกหน่อ" หรือ "การแยกออกจากกัน" ส่วนการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเป็นการผสมภายในระหว่างเซลสืบพันธุ์ของเพศผู้และเพศเมียที่มาจากต่างโคโลนีกัน โดยที่แต่ละโคโลนีของกัลปังหาส่วนใหญ่จะมีเซลสืบพันธุ์เพียงเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น


ประโยชน์ของ "กัลปังหา" ต่อระบบนิเวศทางทะเล

กัลปังหา มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยให้กับสัตว์ทะเลขนาดเล็ก หลายชนิด ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ อาจพบดาวเปราะ หอยเบี้ย ปู หรือกุ้ง เกาะติดอยู่ตามกิ่งก้านของกัลปังหาเป็นจำนวนมาก


ภัยคุกคามกัลปังหา

ภัยคุกคามของกัลปังหา คือ เรืออวนลาก อวนรุน และภัยส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อ ที่ว่ากันว่ากัลปังหา สามารถนำมาทำเป็นยารักษาโรคได้ มันจึงถูกลักลอบนำมาค้าขาย ผ่านรูปแบบทำเป็นเครื่องประดับ เครื่องรางของขลัง ซึ่งในแง่มุมบางส่วนของความเชื่อ สายมูบางคน ก็เชื่อในเรื่องพ้องเสียงของ "กัลปังหา" ถือเป็นเคล็ดเพราะชื่อเรียกคล้ายๆกับ "กันปัญหา" ขับไล่สิ่งชั่วร้าย แบ่งเป็น กัลปังหาดำ กัลปังหาทองดำ กัลปังหาขาว และ กัลปังหาแดง (เป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณ)

สำหรับสีของกัลปังหามีตั้งแต่สีขาว เหลือง ชมพู ม่วง แดง ไปจนถึงแดงเข้ม สีอิฐแดงสนิมเหล็ก และสีน้ำตาลเข้ม แต่เมื่อนำขึ้นมาจากทะเลตัวกัลปังหาจะตายเหลือแต่แกนที่มีสีดำมีลักษณะแข็ง


เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ห้ามมีไว้ในครอบครองหรือเพื่อการค้าขาย

สำหรับในประเทศไทย "กัลปังหา" ถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ห้ามมีไว้ครอบครอง หรือ ซื้อขายกันอย่างเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 เช่น ปะการัง กัลปังหา เต่าทะเล ดอกไม้ทะเล หอยมือเสือ หอยสังข์แตร จระเข้ เป็นต้น หากพบการครอบครองจะมีความผิดตามกฎหมาย มีโทษทั้งจำ ทั้งปรับ ตามพิจารณา

นี่ก็เป็นเรื่องราวของ "กัลปังหา" ที่ Nation STORY หยิบมาเล่าในวันนี้ จะเห็นได้ว่า แม้กัลปังหาจะมีเรื่องความเชื่อมาเกี่ยวข้อง จนกลายเป็นกระแสนำสู่การทำเป็น "เครื่องรางของขลัง" แต่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่ควรมีไว้ในครอบครอง หรือ ซื้อขายกัน เนื่องจากจะมีความผิดตามกฎหมาย

ดังนั้น หากใครได้ไปชม ก็ขอให้ดูอย่างเดียว ไม่เอาอะไรกลับมา นอกจากรูปถ่าย หรือความทรงจำดีๆ ที่ครั้งหนึ่ง เราได้เห็นความสวยงามของเจ้ากัลปังหา ด้วยตาของตัวเอง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
http://www1a.biotec.or.th/BRT/index....156-gorgonians
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7574655
https://news.ch7.com/detail/704542
https://www.komchadluek.net/amulet/536307
https://www.bangkokbiznews.com/business/990345
วิกิพีเดีย



https://www.nationtv.tv/news/region/378941500

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:04


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger