#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวตังเกี๋ยและพายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออกและภาคใต้ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย อนึ่ง หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงที่ปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางได้ทวีกำลังขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันแล้ว คาดว่าจะมีแนวโน้มเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศจีนตอนใต้ในช่วงวันที่ 31 พ.ค. ? 1 มิ.ย. 67 หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ ส่วนพายุโซนร้อน ?เอวิเนียร์? บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันแล้ว และขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 31 พ.ค. ? 5 มิ.ย. 67 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ในขณะที่หย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณอ่าวตังเกี๋ยและทะเลจีนใต้ตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคกลางด้านตะวันตก ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบน ทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อนึ่ง พายุโซนร้อนกำลังแรง ?เอวิเนียร์? มีแนวโน้มการเคลื่อนตัวเข้าใกล้ตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่นในช่วงวันที่ 30?31 พ.ค. 67 โดยพายุนี้ไม่มีผลกระทบต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
หนุ่มตกปลาโชคดี พบอำพันทะเลถูกคลื่นซัดเกยหาดป่าตอง เผยถ้าของจริงขายได้กว่า 3 ล้านบาท ศูนย์ข่าวภูเก็ต - หนุ่มตกปลารับโชคหนัก พบอำพันทะเลถูกคลื่นซัดเกยหาดป่าตอง หนักกว่า 3 กก. ขอผู้รู้ช่วยตรวจสอบ ใช่อ้วกวาฬของจริงหรือไม่ ถ้าของจริงขายได้ 3 ล้านบาท วันนี้ (30 พ.ค.) จากกรณีมีการโพสต์ข้อความ ว่า มีหนุ่มตกปลาพบอำพันทะเล ถูกคลื่นซัดเกยหาดป่าตองในสื่อโซเชียล ซึ่งเป็นภาพ ชายหนุ่มถือก้อนไขมันสีขาวอยู่ในมือ จึงได้สอบไปยัง นายสมศักดิ์ อายุ 43 ปี ชายหนุ่มในภาพ ทราบว่า ขณะไปตกปลาที่หาดป่าตอง เมื่อวันที่ 29 พ.ค.67 เวลาประมาณ 20.30 น. พบก้อนสีขาวขนาดใหญ่ลอยมาติดชายหาด จึงหยิบมาดู ในเบื้องต้นคิดว่าน่าจะเป็นอ้วกวาฬ หรืออำพันทะเล เหมือนที่เคยเห็นในข่าว จึงได้นำก้อนไขมันดังกล่าวกลับมาที่บ้าน ชั่งน้ำหนักดู พบว่าหนักประมาณ 3 กิโลกรัม และนำมาจุดไฟดูพบว่า มีกลิ่นหอม ออกคาวๆ ซึ่งในเบื้องต้นมั่นใจว่าน่าจะอ้วกวาฬ แต่อยากให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจสอบให้แน่ชัดว่าใช่ของจริงหรือไม่ ถ้าใช่ของจริงสามารถขายได้ในราคากิโลกรัมละ 1 ล้านบาท สำหรับก้อนนี้มีขนาดประมาณ 3 กิโลกรัม สามารถขายได้สูงถึง 3 ล้านบาท https://mgronline.com/south/detail/9670000046550
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
อ.ธรณ์ เปิด 10 ภาพ 10 แนวปะการังฟอกขาวภาคตะวันออก อยู่ในขั้นหายนะ! วานนี้ ( 29 พ.ค.67) ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกาะติดสถานการณ์แนวปะกะรังฟอกขาวทั่วประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat โดยเปิด 10 ภาพจากโดรน เห็น 10 แนวปะการังภาคตะวันออกในยุคทะเลเดือด พร้อมยกเคส "เกาะมันใน" มาวิเคราะห์หาแนวทางรับมือ อาจารย์ธรณ์ เผยว่า "10 ภาพ 10 แนวปะการังในยุคทะเลเดือด ทั้งหมดเป็นภาพถ่ายจากโดรน ซึ่งมองเห็นชัดเจนว่าทุกแห่งฟอกขาวรุนแรง ส่วนแนวปะการังแห่งอื่นๆ ในจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด เกือบทั้งหมดตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ทั้งนั้น หากสถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง คาดว่านี่คือหายนะครั้งร้ายแรงที่สุดหนหนึ่งของทะเลไทย" อาจารย์ธรณ์ ยกเคส "เกาะมันใน ระยอง" เป็นจุดที่กรมทะเล/คณะประมงเก็บข้อมูลอุณหภูมิน้ำทะเลต่อเนื่อง เพียงพอที่จะนำมาวิเคราะห์สถานการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้น จึงขอนำมาเล่าให้เพื่อนธรณ์ฟัง ดูภาพจากกราฟประกอบ กราฟมี 2 เส้น ดำคือปี 2566 ส้มคือปี 2567 (ปีนี้) ในภาวะปรกติ น้ำทะเลจะร้อนสุดช่วงกลางเดือนเมษายน-กลางเดือนพฤษภาคม ปี 66 เกิดเอลนีโญช่วงกลางปี ทำให้อุณหภูมิน้ำช่วงก่อนหน้า ไม่ได้รับผลจากเอลนีโญ ทะเลจึงร้อนปรกติ ไม่เกิดการฟอกขาว ปี 67 เอลนีโญส่งผล ผมแบ่งเป็น 4 ช่วง A B C D A - มกราคม หน้าหนาว น้ำควรเย็นสุดในรอบปี แต่เอลนีโญส่งผลแรง ทำให้อุณหภูมิน้ำสูงกว่าปรกติ 2 องศา (ดูจุดค่าเฉลี่ย) แม้น้ำไม่ร้อนเกินเส้นวิกฤต (31 องศา) แต่น้ำร้อนสะสมทำให้ปะการังเริ่มเครียด B - กลางเดือนกุมภาพันธ์-กลางมีนาคม น้ำเริ่มร้อนตามฤดูกาล เอลนีโญอ่อนกำลังลงแต่ยังส่งผล ทำให้น้ำร้อนปีนี้ไปถึงเส้นวิกฤตตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม แทนที่จะเป็นสิ้นเดือนมีนาคมเหมือนปีปรกติ น้ำปีนี้ร้อนเร็วขึ้น 2 สัปดาห์ ทำให้ระยะเวลาที่ปะการังแช่น้ำร้อนนานขึ้น C - เมษายน-ต้นพฤษภาคม อุณหภูมิน้ำเฉลี่ยสูงกว่าเส้นวิกฤต 1.5 องศา สูงกว่าปีก่อนเกือบ 1 องศา หลังจากปะการังแช่น้ำร้อนเร็วกว่าปรกติ น้ำยังร้อนขึ้นต่อเนื่อง ในปัจจุบัน น้ำก็ยังร้อนกว่าเส้นวิกฤต D - กลางเดือนพฤษภาคม-สิ้นเดือน แม้ว่าเอลนีโญจะยุติลงแล้ว เส้นกราฟส้มลงมาทับเส้นดำ แต่โลกร้อนทำให้อุณหภูมิน้ำยังร้อนอยู่ กว่าน้ำจะเย็นลงจนต่ำกว่าเส้นวิกฤต ต้องเข้าเดือนมิถุนายน ถ้าเป็นปีก่อน อุณหภูมิจะลดลงอย่างเร็ว ได้แต่หวังว่าปีนี้จะเป็นเช่นนั้น สรุป ปะการังฟอกขาวรุนแรงเพราะ???? - น้ำร้อนถึงจุดวิกฤตเร็วกว่าปรกติ 2 สัปดาห์ ทำให้ปะการังแช่น้ำร้อนรวมกันนานถึง 10 สัปดาห์ - ที่จุดพีค น้ำร้อนกว่าเส้นวิกฤต 1.5 องศา ต่อเนื่อง 6 สัปดาห์ ด้วยเหตุนี้ ปะการังจึงฟอกขาวทั้งในที่ตื้นและที่ลึก ต่างจากปีปรกติที่อาจฟอกขาวเฉพาะที่ตื้น เนื่องจากแสงและน้ำลงต่ำ อย่างไรก็ตาม ในที่ลึก 6-8 เมตร ปะการังฟอกขาวระดับรุนแรงน้อยกว่าที่ตื้น แสงแดดและระดับน้ำยังคงส่งผล ข้อมูลเหล่านี้จึงมีประโยชน์สำหรับการรับมือคราวหน้า (เอลนีโญ) หากจะทำ shading ควรทำตั้งแต่ต้นเมษายน เพื่อช่วยลดแสงให้ปะการังตอนร้อนจัด หากฟอกขาวรุนแรง ทุกที่โดนหมด การปิดจุดดำน้ำเฉพาะบางจุดทำยากมากในเชิงปฏิบัติ เพราะไม่มีจุดสำรอง การสร้างความเข้าใจ เช่น ใส่ชูชีพ อย่าโดนปะการัง ไม่ให้อาหารปลา ฯลฯ เป็นทางออกสำหรับวันนี้ การย้ายปะการังอาจทำได้ยาก ยกเว้นแปลงปลูกที่เคลื่อนย้ายได้ เราอาจย้ายสัตว์อื่น เช่น หอยมือเสือ หอยมือเสือที่กรมทะเลย้ายไปตามคำแนะนำของผม ตอนนี้รอดเกือบหมด ตายเพียง 1 ตัว ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี การลดแสงให้สัตว์อื่น เช่น ดอกไม้ทะเล หอยมือเสือ เป็นเรื่องที่ควรศึกษา เช่นเดียวกับ shading ปะการังที่ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ เทคนิคต่างๆ ที่คณะประมงพัฒนาร่วมกับปตท.สผ. มีประโยชน์อย่างยิ่ง ตอนนี้เราขยายผลไปติดตามในบริเวณอื่นๆ โดยเฉพาะหมู่เกาะหมาก พัฒนาสายพันธุ์ปะการังทนร้อนในบ่อ ทำได้แต่ลงทุนสูงมาก เราอาจพยายามช่วยปะการังในแปลงเพาะปลูกในทะเล เพื่อให้เหลือรอดอยู่บ้าง จากนั้นค่อยนำไปขยายพันธุ์ต่อหลังน้ำร้อนผ่านไป จะประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า "ยังมีอีกหลายเรื่องมากที่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมจึงไปทะเลแทบไม่หยุด อีก 2 วันจะไปต่อ หนนี้ขอข้ามประเทศบ้าง จะไปติดตามงานที่มัลดีฟส์ เมื่อเข้าสู่ยุคโลกเดือด นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลมีงานเพียบเลยจะพยายามให้ถึงที่สุดจ้ะ" ???????????????????? ขอบคุณเพื่อนธรณ์ที่กรุณาส่งภาพเกาะช้างและเกาะหวายมาให้ ใครมีโอกาสถ่ายภาพไว้ หากไม่รบกวน ส่งมาหลังไมค์ได้ครับ จะได้รวบรวมไว้เพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลงและหาแนวทางฟื้นฟูในวันหน้า https://mgronline.com/greeninnovatio.../9670000046390
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า
น้ำหญ้าเน่าไหลลงหาดดังระยอง จนทะเลกลายเป็นสีดำ ส่งกลิ่นเหม็นยาวกว่า 3 กม. พบน้ำสีดำไหลมาจากคลองลงสู่ทะเลจนกลายเป็นสีดำ ชาวบ้านเผยสาเหตุเกิดจากการน้ำที่หมักหมมของหญ้าจนเน่า พอฝนตกก็ไหลมาทุกปี แต่ปีนี้จะมีกลิ่นเหม็น วอนแก้ไขหวั่นกระทบการท่องเที่ยว เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 30 พ.ค.67 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มีน้ำสีดำจำนวนมากไหลลงสู่ทะเล หาดแม่รำพึง บริเวณคลองห้วยหว้า ข้างหมู่บ้านสบายสบาย ม.5 ต.ตะพง อ.เมือง จ.ระยอง ส่งผลให้ไหลลงไปในทะเล ทำให้น้ำทะเลกลายเป็นสีดำยาวกว่า 3 กิโลเมตร มีกลิ่นเหม็นเน่า จึงเดินทางไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงริมชายหาดแม่รำพึง ตรงจุดที่รับแจ้ง พบว่า น้ำในคลองเป็นสีดำมีกลิ่นเหม็นหญ้าเน่า เป็นคลองที่มีน้ำไหลลงไปในทะเล น้ำสีดำจำนวนมากไหลทะลักลงสู่ทะเลตลอดเวลา ทำให้น้ำทะเลกลายเป็นสีดำตลอดแนวยาวกว่า3 กิโลเมตร แนวคลื่นที่ซัดเข้ามาเป็นน้ำสีดำ กับฟองสีขาว ส่งผลให้ไม่มีนักท่องเที่ยวไม่กล้าลงเล่นน้ำ กลายเป็นหาดร้าง เพราะกลัวน้ำจะมีพิษ จากการสอบถามนายนิรุต เก๋งมูล อายุ 45 ปี ชาวบ้านออกมาหาปลาริมชายหาด ได้เปิดเผยว่า สำหรับน้ำสีดำ เป็นน้ำจากหญ้าเน่าที่หมักหมมมาเป็นเวลานาน พอฝนตกลงมาจำนวนมาก น้ำสีดำจึงไหลลงมาในคลองห้วยหว้า และไหลลงสู่ทะเล ซึ่งไหลมาเป็นประจำทุกปี ซึ่งมีกลิ่นเหม็น และใครถูกน้ำอาจจะแพ้เป็นผดผื่นคันได้ ด้านแม่ค้าริมชายหาดแม่รำพึง ได้เปิดเผยว่า ตั้งแต่เกิดเหตุน้ำสีดำไหลลงสู่ทะเล ก็ไม่มีนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำ ลงมาเห็นน้ำทะเลกลายเป็นสีดำ ก็ไม่กล้าลงไปสัมผัส เพราะมีกลิ่นเหม็นด้วย จึงต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางแก้ไขด้วย ตลอดทั้งวัน นักท่องเที่ยวหายหมด เมื่อเห็นน้ำทะเลสีดำ ก็กลับกันหมด ขายของไม่ได้เลย จึงต้องงการให้แก้ไข เป็นแบบนี้ทุกปี แต่ก็แก้ไขไม่ได้ ขณะที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้าหมู่เกาะเสม็ด และ เจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่า จ.ระยอง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ พบว่าน้ำสีดำเป็นน้ำหมักหมมของเศษวัชพืช ที่ไหลลงมาหลังฝนตกลงมา น้ำฝนจึงพาเอาเศษวัชพืช และ น้ำสีดำไหลลงสู่ทะเล ซึ่งเป็นประจำทุกปีในช่วงต้นฤดูฝน หลังจากนั้นน้ำสีดำก็จางหายไป โดยจะมีการหาทางป้องกัน เพื่อไม่ให้กระทบต่อการท่องที่ยวต่อไป https://www.naewna.com/local/807780
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
[COLOR="DarkSlateBlue"]ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
โปรดสัตว์ได้บาป กรมประมง ร่วม สำนักพุทธฯ ขวางนักบุญปล่อย 'เอเลี่ยนสปีชีส์' กรมประมง ร่วม สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ ประชาสัมพันธ์ มหันตภัยร้ายสัตว์น้ำต่างถิ่น ก่อนระบบนิเวศ พัง ให้แก่ผู้ขายสัตว์น้ำสำหรับปล่อยทำบุญและประชาชน ให้รู้ เข้าใจ "เอเลี่ยนสปีชีส์" แนะทางบุญ ปล่อยสัตว์น้ำพื้นถิ่น ยกเว้นเต่า ปลาดุก ต้องระวังแต่ละสายพันธุ์ เอเลี่ยนสปีชีส์ หรือสัตว์ต่างถิ่น เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบวงกว้างในภาคการประมงและภาคเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ส่วนหนึ่งของปัญหาดังกล่าวมาจากการปล่อยสัตว์น้ำต่างถิ่นลงในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นสาเหตุที่สำคัญส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศดั้งเดิมในแหล่งน้ำธรรมชาติ ทั้งในเรื่องความหลายหลายของชนิดสัตว์น้ำ ความสูญเสียเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสุขอนามัย ซึ่งปัญหาค่อย ๆ เด่นชัดและปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้งตามหน้าสื่อต่าง ๆ นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ปัญหาการรุกรานของสัตว์น้ำต่างถิ่น หรือ เอเลี่ยนสปีชีส์ในแหล่งน้ำสาธารณะต่าง ๆ ของประเทศไทยเป็นปัญหาใหญ่ ประกอบกับประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ ประชาชนส่วนใหญ่นิยมเข้าวัดทำบุญ-ทำทานในวันสำคัญทางพุทธศาสนาหรือวันสำคัญอยู่เสมอ ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมที่มักมาคู่กันกับการทำบุญ คือ การปล่อยปลา ภายใต้ความเชื่อว่า การทำบุญปล่อยปลานั้น คือ การให้ชีวิต โดยให้โอกาสให้ชีวิตหนึ่งได้มีโอกาสเติบโต ซึ่งถือเป็นกุศลทาน อีกทั้งยังมีความเชื่อว่าการปล่อยสัตว์น้ำลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติเป็นการเพิ่มจำนวนและฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำในธรรมชาติให้คงอยู่ รักษาระบบนิเวศให้สมบูรณ์ เป็นแหล่งอาหาร และเป็นแหล่งประกอบอาชีพให้แก่ชุมชนและประชาชนทั่วไป แต่ในทางตรงกันข้าม การปล่อยสัตว์น้ำโดยมิได้พิจารณาองค์ประกอบและนิเวศวิทยาแหล่งน้ำและชีววิทยาของสัตว์น้ำ จะเป็นเหมือนดาบสองคมที่จะส่งผลต่อความหลายหลายของชนิดพันธุ์ และสมดุลของระบบนิเวศ การสื่อสารและประชาสัมพันธ์ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปล่อยทั้งแก่ผู้ขายและผู้ปล่อยสัตว์น้ำ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องสื่อสารให้เข้าใจในทิศทางเดียวกันและเพื่อให้การปล่อยสัตว์น้ำเป็นการสร้างบุญอย่างที่ตั้งใจอย่างแท้จริง กรมประมงในฐานะหน่วยงานที่ดูแลสัตว์น้ำ แหล่งน้ำและนิเวศของแหล่งน้ำ ได้จัดทำสื่อเพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกต้อง ผ่านสื่อต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ? สัตว์น้ำที่ปล่อยได้ เช่น ปลาตะเพียน ปลากระแห ปลาแก้มช้ำ ปลาสร้อยขาว ปลาโพง (ปลาสุลต่าน) ปลากาดำ ปลายี่สกไทย ปลาหมอไทย ปลาช่อน ปลาบู่ทราย ปลาสลาด ปลากราย ปลาสวาย ปลากดเหลือง ปลากดแก้ว ฯลฯ ซึ่งปลาเหล่านี้เป็นสัตว์น้ำพื้นถิ่นของประเทศไทยมีประโยชน์ต่อระบบนิเวศและไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมที่สำคัญปลาเหล่านี้ เป็นปลาที่สามารถอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วไปได้ นอกจากนี้ ยังมีสัตว์น้ำที่ปล่อยได้แต่ต้องเฉพาะพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อให้สัตว์น้ำเหล่านั้นสามารถมีชีวิตรอดและเจริญเติบโตได้ เช่น ปลาไหลนา กบนา ต้องปล่อยในบริเวณที่มีน้ำไหลเอื่อย พื้นที่เป็นดินแฉะ เพื่อปลาไหลจะได้สามารถขุดรูอาศัยอยู่ได้ ส่วนการปล่อยเต่านั้น ไม่แนะนำให้ปล่อย เนื่องจากผู้ปล่อยต้องสามารถแยกได้ว่า เต่าที่จะปล่อยเป็นเต่าบกหรือเต่าน้ำ เพราะหากเรานำเต่าบกไปปล่อยลงน้ำ เต่าบกจะไม่สามารถว่ายน้ำได้และตายในที่สุด ซึ่งความแตกต่างระหว่างเต่า 2 ชนิดนี้นั้น จะพิจารณาพังผืดเชื่อมต่อระหว่างนิ้ว โดยเต่าน้ำจะมีพังผืดเชื่อมต่อระหว่างนิ้ว เพื่อใช้สำหรับว่ายน้ำและมีเล็บแหลมขนาดเล็ก ส่วนเต่าบกจะไม่มีพังผืดและมีเล็บขนาดใหญ่ และสัตว์น้ำอีกชนิดหนึ่ง ที่กรมประมงไม่แนะนำให้ปล่อย คือ ปลาดุก เพราะผู้ปล่อยต้องแยกชนิดพันธุ์ของปลาดุกที่ทำการปล่อยได้ โดยสายพันธุ์ปลาดุกที่สามารถปล่อยได้ คือ ปลาดุกนา เท่านั้น ส่วน ปลาดุกเทศ หรือ ปลาดุกรัสเซีย ปลาดุกอัฟริกัน (บิ๊กอุย) ห้ามปล่อยเด็ดขาด เพราะเป็น เอเลี่ยนสปีชีส์ ก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบนิเวศและสัตว์น้ำพื้นเมืองของไทยอย่างมาก โดยการแยกระหว่างปลาดุกไทยและปลาเทศนั้น ทำได้ยากมาก ดังนั้น การปล่อยปลาดุกในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อจากที่วัด หรือ ซื้อจากหน้าเขียง จึงเป็นเรื่องที่น่ากังวลอยู่มากในขณะนี้ ? สัตว์น้ำที่ห้ามปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือ แหล่งน้ำสาธารณะ เช่น ปลาซัคเกอร์ หรือ ปลากดเกราะ หรือ ปลาเทศบาล ปลาหมอคางดำ กุ้งเครฟิช ปลาหางนกยูง ปลาทับทิม ปลาดุกแอฟริกัน เต่าแก้มแดง (เต่าญี่ปุ่น) ตะพาบไต้หวัน และปลาต่างถิ่นสวยงาม ซึ่งสัตว์น้ำเหล่านี้ ถือเป็นสัตว์น้ำต่างถิ่น เอเลี่ยนสปีชีส์ ก่อให้เกิดปัญหาต่อระบบนิเวศ เกิดความสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นต้นเหตุของการสูญพันธุ์ของสัตว์น้ำพื้นเมือง และส่งผลกระทบต่อบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกรในกรณีที่สัตว์น้ำเหล่านี้หลุดรอดเข้าไปในบ่อ เช่น ปลาซัคเกอร์ ปลาหมอคางดำ เป็นต้น ถึงแม้ว่าที่ผ่านมากรมประมง ได้ประชาสัมพันธ์ในเรื่องการปล่อยสัตว์น้ำมาอย่างต่อเนื่องแต่ปัจจุบันยังพบกับปัญหาการแพร่ระบาดของสัตว์น้ำต่างถิ่นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปลาดุกลูกผสมและปลาดุกบิ๊กอุย ปลาซักเกอร์ และปลาหมอคางดำ เป็นต้น และเพื่อให้การเผยแพร่ข้อมูลและการประชาสัมพันธ์บรรลุเป้าหมาย กรมประมง ได้ขอความอนุเคราะห์ไปยังสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ ในการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับหน่วยงานสำนักงานพุทธศาสนาในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ เพื่อประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ ความตระหนัก ให้กับภิกษุ พุทธศาสนิกชน ในบริเวณวัด และศาสนสถานเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ผู้ขาย และมีนโยบายที่จะจัดกิจกรรมสร้างความรู้ความเข้าใจและส่งเสริมให้ผู้ขายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเป็นกระบอกเสียงให้แก่กรมประมง นอกจากนี้ กรมประมงอยากจะเชิญชวนประชาชนหันมาบริโภคสัตว์น้ำรวมถึงสัตว์น้ำต่างถิ่นที่สามารถบริโภคได้ ทั้งปลาดุกและปลาหมอคางดำ เพื่อร่วมลดจำนวนและผลกระทบของสัตว์ต่างถิ่นในแหล่งน้ำธรรมชาติได้อีกทางหนึ่ง และในกรณีที่พบสัตว์น้ำต่างถิ่นในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ ท่านสามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดโดย 1. ลงปูนขาว หรือ กากชา เพื่อฆ่าศัตรูปลา ในการเตรียมบ่อก่อนลงลูกปลาที่เลี้ยงทุกครั้ง 2. ใช้ถุงกรองเพื่อกรองน้ำเข้าบ่อ ป้องกันไม่ให้ปลาซัคเกอร์ ปลาผู้ล่าอื่น ๆ รวมถึงศัตรูปลาเข้าสู่บ่อเลี้ยง 3. หากพบปลาซัคเกอร์ในบ่อต้องรีบดำเนินการจับขึ้น โดยใช้แห อวน หรือลอบ เพื่อควบคุมและกำจัดปลาซัคเกอร์ไม่ให้แพร่ระบาดจำนวนมาก 4. หากพบปลาซัคเกอร์ในแหล่งน้ำใกล้เคียงบ่อเลี้ยงให้รีบกำจัด และแจ้งกรมประมงเพื่อหาทางควบคุมและกำจัดออกจากแหล่งน้ำ โปรดสัตว์ได้บาป กรมประมง ร่วม สำนักพุทธฯ ขวางนักบุญปล่อย ?เอเลี่ยนสปีชีส์? นอกจากนี้ กรมประมงขอความร่วมมือประชาชน งด ละ เลิก ปล่อยสัตว์น้ำต่างถิ่น หรือ เอเลี่ยนสปีชีส์ ลงในแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างเด็ดขาด รวมถึงมีการป้องกันไม่ให้หลุดรอดลงสู่แหล่งน้ำ และในกรณีที่ไม่ต้องการเลี้ยงสัตว์น้ำต่างถิ่นหรือเอเลี่ยนสปีชีส์แล้ว ให้นำมามอบให้กับหน่วยงานของกรมประมงทั่วประเทศ เพื่อเป็นการป้องกันและลดโอกาสในการเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของสัตว์น้ำดังกล่าว หากท่านต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ หรือ สัตว์น้ำต่างถิ่น สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ กองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมง โทร. 0 2579 5281 หรือ ที่เวปไซต์ กรมประมง https://www.bangkokbiznews.com/busin...onomic/1129285
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
ไขปริศนา "เกาะสมุย" เขย่า 2.4 เหตุหินแกรนิตฐานใต้พื้นดินขยับ แผ่นดินไหว 2.4 สะเทือนเกาะสมุย ประชาชนรับรู้แรงสั่นสะเทือนวงกว้าง เหตุเกิดในชุมชน กรมทรัพยากรธรณี ถกร่วมกรมอุตุนิยมวิทยา ยืนยันไม่อยู่ในแนวรอยเลื่อน สรุปเบื้องต้นหินแกรนิตฐานใต้พื้นดิน 4-5 กม.ขยับ วันนี้ (30 พ.ค.2567) เมื่อ 08.24 น.กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยม วิทยา รายงานว่าเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 2.4 ศูนย์กลางแผ่นดินไหว อยู่ที่ ต.อ่างทอง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ความลึก 4 กิโลเมตร รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน นอกจากนี้กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว ระบุว่า แผ่นดินไหวดังกล่าวอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ อ.เมือง จ.กระบี่ ประมาณ 196 กม.โดยผู้ที่อยู่พื้นที่ดังกล่าว ออกมาโพสต์ว่ารู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน คล้ายกับมีแผ่นดินไหว ก่อนจะได้รับการยืนยันว่า เกิดแผ่นดินไหวขึ้นจริงๆ นอกจากนี้ยังมีการแจ้งมูลรับแจ้งการรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากประชาชนหลายจุด เช่น ต.บ่อผุด ต.หน้าเมือง ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เช่น ชั้น 2 บ้านสะเทือน สองทีตึงๆ คล้าย ระเบิด หรือ ช้อกเวฟ สัญญานกันขโมยรถโดยรอบดัง ส่วนอีกคนบอกว่า ชั้น 1 นั่งทำงานอยู่ในตึกนึกว่าอะไรตกหรือรถชนกำแพง ขณะที่บางคนบอกว่า อยู่ทาวน์เฮาส์ ชั้น 1 ความรู้สึกเหมือน อะไรระเบิด แบบตึ้ม แล้วสั่นครื่นๆ ยันเกาะสมุยปลอดภัย-ไม่อยู่แนวแผ่นดินไหว ด้านนายสมศักดิ์ วัฒนปฤดา ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ปรึกษาทางการบริหารจัดการทรัพยากรธรณี ให้สัมภาษณ์ไทยพีบีเอสออนไลน์ สาเหตุที่คนในเกาะสมุยรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนในวงกว้าง เนื่องจากเกิดใกล้ชุมชน และระดับความลึกแค่ 4 กม. ทำให้ประชาชนตื่นตกใจ จากการตรวจสอบเบื้องต้น ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญธรณีวิทยา กรมอุตุนิยมวิทยา ยืนยันว่า แผ่นดินไหวบนเกาะสมุย ไม่ได้มีสาเหตุจากแผ่นดินไหวจากรอยแนวรอยเลื่อน โดยเฉพาะแนวรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย ที่อยู่ห่างถึง 60-80 กม.ที่มีการวางตัวในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ มีการเลื่อนตัวตามแนวระนาบเหลื่อมซ้าย ประชาชนในพื้นที่ อ.กะปง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ถือว่าไกลกัน "แผ่นดินไหว 2.4 บนเกาะสมุย ไม่เกิดบนแนวรอยเลื่อน แต่สาเหตุการเลื่อนตัวของหินแกรนิตฐานที่มีการขยับตัว ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ชาวบ้านเคยรับรู้แรงสั่นสะเทือนมารอบหนึ่ง" นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนสาเหตุของปัจจัยที่ทำให้หินแกรนิตฐานใต้พื้นดินที่ลึกลงไป 4-5 กม.มีการขยับตัวจนเกิดแผ่นดินไหวครั้งนี้ ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากกระแสน้ำใต้ดินจากธรรมชาติ เหมือนกับหินผุ แต่ยืนยันว่า และพื้นที่เกาะสมสมุยไม่เสี่ยงแผ่นดินไหว และเสี่ยงดินถล่ม "ยืนยันและได้พูดคุยกับทางเทศบาลเกาะสมุย เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน นักท่องเที่ยวแล้วว่าเกาะสมุยเป็นโซนปลอดภัยไม่ได้อยู่ในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว และไม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาฟเตอร์ช็อก" ส่วนช่วงหลายปีก่อนในพื้นที่จ.พังงา เคยเกิดแผ่นดินไหวมาจากรอยเลื่อนคลองมะรุ่น เมื่อวันที่ 13 ก.พ.2566 เคยแผ่นดินไหวขนาด 3.7 ในต.ท่านา อ.กะปง จ.พังงา และประชาชนรับรู้แรงสั่นไหวเนื่องจากเกิดที่ระดับความลึก 4 กม. และในอดีตประวัติเคยขยับ 4.3 ใน ต.ศรีสุนทร จ.ภูเก็ตเมื่อ 16 เม.ย.2555 ขณะที่ผลศึกษาประวัติเมื่อ 2,000 ปีก่อนเกิดระดับปานกลาง 6.8 https://www.thaipbs.or.th/news/content/340545
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#7
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
น้องนีโม่ กับบ้านที่หายไป! ผลพวงวิกฤตปะการังฟอกขาว จังหวัดกระบี่ สถานการณ์ปะการังฟอกขาวยังไม่ดีขึ้น หลังปะการังที่เขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ จ.กระบี่ เปลี่ยนจากสีเหลืองทองกลายเป็นสีขาวซีด วิกฤตปะการังฟอกจาว จ.กระบี่ ยังไม่ดีขึ้น วานนี้ 29 พ.ค. นี่เป็นสภาพของดอกไม้ทะเล บริเวณหมู่เกาะโลคอล ซึ่งมีเกาะยาวาซัม เกาะแดง เกาะสี่ เกาะแม่อุไร ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ ซึ่งมีสภาพเปลี่ยนสีจากสีเหลืองทองกลายเป็นสีขาวซีด ดอกไม้ทะเลเหล่านี้เป็นเสมือนบ้านของเหล่าปลาการ์ตูน หรือที่ทุกคนเรียกว่าปลานีโม่ ภาพใต้น้ำนี้ถูกบันทึกไว้โดยทีมนักดำน้ำของ SCUBA Expert Krabi ซึ่งมี น.ส.ปรัญญา พันธุ์ตาจิต หรือครูอุ๋ม เป็นครูสอนการดำน้ำ บ้านน้องนีโม่กำลังจะหายไป นอกจากดอกไม้ทะเลบ้านของเจ้านีโม่แสนน่ารักเหล่านี้ จะได้รับผลกระทบแล้ว แนวปะการังหลากชนิดในบริเวณนี้ ก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นปะการังสีขาว เกือบทั้งหมด เรียกว่าเจอภาวะฟอกขาวมากกว่า 70% ของพื้นที่ จนกลายเป็นวิกฤตที่น่าเป็นห่วงอยู่ในขณะนี้ น.ส.ปรัญญา หรือครูอุ๋ม ให้ข้อมูลว่า ภาพตามในคลิป เป็นภาพที่เพิ่งบันทึกมาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ขณะเธอและเพื่อนๆ ไปดำน้ำสำรวจ เพราะเป็นห่วงวิกฤตประการังฟอกขาว ซึ่งตอนนี้เกิดสถานการณ์นี้แทบทุกเกาะในไทย และยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จุดที่เธอลงไปดำน้ำสำรวจอยู่ที่ความลึกตั้งแต่ 3 - 14 เมตร พบว่าอุณหภูมิน้ำทะเลสูง 32-34 องศา ซึ่งอุณหภูมิปกติจะอยู่ที่ 28 - 30 องศาเท่านั้น จึงเป็นห่วงว่าอนาคตสถานการณ์จะรุนแรงมากขึ้น สั่งงดกิจกรรมใต้น้ำทุกชนิด ตอนนี้ทางอุทยานฯ สั่งให้งดกิจกรรมท่องเที่ยว ดำน้ำ ในพื้นที่พวกนี้ไว้ก่อนแล้ว หากในอีก 1 เดือนข้างหน้า ยังไม่มีฝนตกลงมาจนทำให้อุณหภูมิน้ำลดลง จะยิ่งน่าเป็นห่วงมากขึ้น ผู้ประกอบการเองก็กังวล ว่าแนวโน้มอนาคตเราอาจไม่ได้เห็นสีสันสวยงามของปะการังอีกก็เป็นได้ ในส่วนของดอกไม้ทะเล ซึ่งเป็นบ้านของปลานีโม่ ก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ปีก่อนนี้ที่เกิดการฟอกขาว ดอกไม้ทะเลจะยังปกติดี แต่ปีนี้ถือว่าหนัก หากดอกไม้ทะเลเจอผลกระทบจนตายลง ปลานีโม่ที่อาศัยอยู่ก็จะตายไปด้วย เพราะพวกมันจะไปอาศัยที่อื่นไม่ได้ และจะไม่มีที่หลบภัย จึงภาวนาให้วิกฤตนี้หมดไปโดยเร็ว สิ่งที่ทุกคนจะช่วยกันได้ ก็คือการลดก๊าซคาร์บอน ที่ส่งผลให้เกิดสภาวะโลกร้อน https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/850692
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|