เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,526
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 28-29 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 3 ? 8 มิถุนายน 67 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง และมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคกลาง และภาคตะวันออก

สำหรับในช่วงวันที่ 2 ? 3 มิ.ย. 67 คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 4 ? 8 มิ.ย. 67 บริเวณทะเลอันดามันตอนบน ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ตลอดช่วง









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,526
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ปาฏิหาริย์หินงามตะรุเตา ถึงขั้นพิฆาตชีวิต คนต้องคำสาป!



ทะเล "ตะรุเตา" มีพื้นที่ทะเลรวมเกาะต่างๆประมาณ 1,490 ตารางกิโลเมตร หรือราว 931,250 ไร่ ในเขตจังหวัดสตูล โดยเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย

ทะเลแห่งนี้เคยลี้ลับยากจะเดินทางไปถึง เวลาที่เหมาะสำหรับเดินทางมีเพียง 3 เดือนใน 1 ปี ด้วยว่าทะเลมีความปั่นป่วนจากมรสุมรุนแรงสร้างความสูงคลื่นแต่ละลูกอย่างน้อย 2-3 เมตรขึ้นไป

เรือที่ใช้สัญจรไปมามีเพียงหมู่เรือประมงซึ่งต้องใช้เวลานานค่อนวันค่อนคืนเท่านั้น มนุษย์ที่อาศัยใช้ชีวิตอยู่บนเกาะกลางท้องทะเลแห่งนั้น มันจึงห่างยิ่งกว่าไกลปืนเที่ยงเสียอีก

นี่เป็นเหตุผลหนึ่ง...ที่ทำให้เกิดกลุ่ม "โจรสลัด" ขึ้นคอยดักปล้นเรือสำเภาสินค้าจากจีน ที่เข้ามาทำการค้าขายในแผ่นดินสยาม โดยวิธีการปล้นสลัดจะบังคับเรือเป้าหมายเก็บใบด้วยคำสั่ง "โละผ่าง"

เพื่อหยุดเรือมิให้แล่นตามแรงลม แล้วจัดการกวาดทรัพย์สมบัติเสบียงกรังจนหนำใจ ...หากต่อสู้หรือขัดขวาง ประกาศิตมีเพียงอย่างเดียว คือ...ฆ่าทิ้งแล้วเผาเรือจมสู่ก้นทะเลทันที!

ปฏิบัติการชั่วโฉดครั้งนั้นร้อนถึงเจ้าอาณา นิคมอังกฤษ ขณะครอบครองดินแดนเพื่อนบ้าน ต้องส่งกองเรือมากวาดล้าง เพราะเดือดร้อนไปทั่วถึงฝั่งมลายู แล้วความจริงก็ถึงถูกเปิดเผย...สลัดที่ว่าคือนักโทษฉกรรจ์ผู้ถูกจองจำอยู่ในคุกธรรมชาติตะรุเตาช่วงปี 2484 ถึง 2487 ซึ่งต้องทนทุกข์ทรมานและอดๆอยากๆจากผู้คุมฉ้อฉลที่คอยเบียดบังข้าวปลาอาหารเลี้ยงนักโทษ

จากนั้นทะเลตะรุเตาก็ปิดฉากการปล้นสะดมเรือสำเภาเหล่าพ่อค้าวาณิช คงเหลือแต่ปัญหานายทุนผู้มีอิทธิพลบุกคืบเข้ามาฉกฉวยทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งมีชีวิต จาก "เหนือฟ้า" อันเต็มไปด้วยนกนานาชนิด "ใต้บาดาล" ทั้งกุ้งหอยปูปลาแสนจะสมบูรณ์ อีกทั้งป่าไม้แล้วก็สัตว์ป่าใต้ฟ้าเหนือบาดาลกลางทะเลกว้าง

ที่น่าสลดประชากรเต่ากระ เต่ามะเฟืองเต่าตนุ ซึ่งหวั่นๆจะสูญพันธุ์ในเร็ววันจนต้องเร่ง อนุบาลขยายพันธุ์แล้วส่งกลับทะเลบ้านของมัน...จึงควรรู้ ?เกาะไข่? เกาะเล็กๆอยู่ระหว่างเกาะอาดัง-ราวี กับหลีเป๊ะซึ่งมีชะง่อนหินรูปโพรงถ้ำครอบชายหาดสวยยิ่งกว่าภาพถ่าย

ที่นี่เคยเป็นแหล่งเต่าขึ้นมาวางไข่ประจำทุกปี...ปัจจุบันน่าเสียดายที่ไม่มีเช่นนั้นอีกแล้ว?

แม้แต่ "กุ้งการัง" หรือ "กุ้งมังกร" ที่เคยชุกชุมตามโขดหินใต้บาดาลก็ถึงวันจางหาย...ที่เห็นขณะนี้ล้วนเป็นกุ้งนำเข้าจากทะเลเพื่อนบ้านแทบทั้งสิ้น ปัญหานี้โทษใครไม่ได้...นอกจากบ้านเรามีกฎหมายเหมือนไม่มี ดีไม่ดีมีเจ้าหน้าที่แอบไปเอี่ยวอยู่ด้วย? ไม่เช่นนั้นคงไม่ปล่อยให้ใช้วิธีทำประมงด้วยวัตถุระเบิดอย่างเสรี อีกอย่างขณะนั้นยังไม่มีศาลเจ้าองค์ใดให้เห็นเป็นที่ยำเกรง

มาถึงคอนเทนต์ที่คนยุคนี้ชอบสร้าง กรณีเมืองไทยฮอตฮิตหาแดนมหัศจรรย์ปั้นเป็นสินค้าขายท่องเที่ยวขายทั้งในและต่างประเทศเชิง "อะเมซิ่ง ไทยแลนด์" ซึ่งขายดิบขายดีมานาน

ทะเลตะรุเตามี "เกาะหินงาม" ห่างฝั่งสตูล 85 กิโลเมตร ห่างเกาะอาดัง-ราวี 2.5 กิโลเมตร และเกาะหลีเป๊ะ 5.5 กิโลเมตร องค์ประกอบคือ...งดงามน่าพิศวงด้วยเป็นเกาะขนาดเล็ก ประดับด้วยหินก้อนกลมเกลี้ยงสลับเลื่อมลาย ยามใดถูกน้ำทะเลสาดใส่แวววับจับเป็นสีดำคาดน้ำตาลอมเหลือง

ความแปลกตรงเป็นเกาะที่ปราศจากเม็ดทรายเช่นชายหาดทั่วๆไป...

นักธรณีวิทยาสันนิษฐานว่า หินชนิดนี้คือ "ออบซิเดียน" ภูเขาไฟ มีซิลิกาทำให้เกิดความหนืด สูงพอที่จะระเบิดอย่างรุนแรงเมื่อหลายพันปีก่อน และเชื่อว่าลักษณะดังกล่าว...น่าจะมีส่วนเอื้อให้ฉลามเข้ามาป้วนเปี้ยน ด้วยไม่มีเม็ดทรายคอยรบกวนดวงตาของมัน ก่อนปี 2517 ขณะตะรุเตายังไม่มี พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติควบคุม เกาะหินงามได้ชื่อว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ลี้ลับ เวลานั้นเกิดมีข่าวลับๆแพล็มออกมาว่า...หินแสนงามจำนวนหนึ่งได้ถูกบุคคลมากบารมีรายหนึ่ง โกยใส่ลำเรือไปมอบให้คนระดับยอดปิรามิดบ้านเมืองถึงเมืองหลวง เพื่อใช้เป็นเครื่องตกแต่งคฤหาสน์หลังงาม โดยไม่อายต่อผีสางเทวดาที่จับตามอง

ครั้งนั้นเช่นกันคนมักคุ้นกับเกาะนี้ ต่างรู้ดีว่าหินแต่ละก้อนมีกฎหมายสงวนแต่ไร้คนดูแล กระนั้นก็มีเทพสถิต ณ แดนต่างมิติพิทักษ์ ที่ไม่ว่าใครหน้าไหนลองหยิบฉวยเอาไป เป็นต้องได้เจอดีไม่เป็นอันกินอันนอน...จนต้องนำไปไถ่บาปไว้กับวัดแทนคืนสู่ทะเล อาการถึงจะทุเลาลง

ต่อเมื่อมีการประกาศยกพื้นที่ทะเลตะรุเตาเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรกของไทย เกาะหินงามมีคุณค่าควรฟูมฟักไม่ต่างไข่ในหิน แต่ก็เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้

โดยห้ามผู้ใดทำลายหรือหยิบฉวยเป็นสมบัติตนเด็ดขาด

นับแต่วันนั้น...ทะเลที่เคยลี้ลับอัศจรรย์โดยธรรมชาติเป็นผู้ออกแบบ ก็กลายเป็นแหล่งชุมนุมนักท่องเที่ยว เริ่มแต่คุกเก่าตะรุเตาซึ่งประจันหน้าเกาะลังกาวีมาเลเซีย ถึงเกาะอาดัง-ราวี เกาะไข่ เกาะหลีเป๊ะและเกาะหินงาม โดยมีเรือเร็วโดยสารใช้เวลาเดินทางไปเกาะตะรุเตาถึงหลีเป๊ะและหินงามย่นสั้นกว่าแต่ก่อน

แล้วก็เพราะธรรมชาติของหินออบซิเดียนนั้นงามกลมเกลี้ยง ช่างยั่วยวนให้คนมาถึงแอบขโมยกลับออกไป โดยลืมไปว่า...หินแต่ละก้อนนั้นล้วนมีคำสาปซ่อนอยู่ภายใน และไม่สนใจป้ายห้ามเตือนจากอุทยานแห่งชาติ ปาฏิหาริย์...จึงอุบัติตามมาพลันกับคนที่อยากลองดี มีอาการไม่สู้ดียามเดินทางกลับ หรือป่วยไข้ไม่ปกติสุขตลอดเวลาที่ครอบครองหินเหล่านั้น

บ่อยครั้งเวลานั้นหินที่ถูกขโมยมาจะถูกส่งคืนสู่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติ พร้อมคำขอขมาจากถิ่นต่างๆที่ไกลไปถึงประเทศแดนไกล เพื่อนำไปสู่ที่อยู่เดิมคือเกาะหินงามของมัน...กระทั่งปี 2524 ผู้ดูแลพื้นที่อย่างเป็นทางการได้สร้างศาลเจ้าพ่อตะรุเตาขึ้น โดยอัญเชิญวิญญาณเจ้าหน้าที่ที่จากไปด้วยภารกิจทางทะเลมาสถิต ณ ศาลแห่งนี้ ก็ยิ่งเพิ่มความขลังให้กับเกาะหินงามมากขึ้น อะไรไม่ว่า...จะด้วยปาฏิหาริย์หรือมนต์คำสาปที่มีจริง และแสดงให้เห็นกันช้าหรือเร็วในพิภพนี้ก็ตาม ปรากฏว่า...ได้เกิดข่าวครึกโครมบนหน้าสื่อทุกแขนง ถึงชายผู้มากมีบารมีฝืนท้าทายคำสาปแช่ง ที่นำหินอัคนีจากเกาะหินงามไปบรรณาการบุคคลระดับยอดปิรามิดบ้านเมือง...

ถูก...ลอบสังหารต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากกลางเมืองใหญ่ภาคใต้

"ศรัทธา"...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้..."ลบหลู่".


https://www.thairath.co.th/lifestyle/culture/2790048

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,526
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


หาดวนกรปิดกิจกรรมดำน้ำตื้นชั่วคราว จากเหตุปะการังฟอกขาว-น้ำลงต่ำสุดในรอบปี

อุทยานแห่งชาติหาดวนกร จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปิดกิจกรรมดำน้ำตื้น และการท่องเที่ยวบริเวณ "เกาะจาน-เกาะท้ายทรีย์" ชั่วคราว จากสถานการณ์ปะการังฟอกขาว และน้ำลงต่ำสุดในรอบปี



วันที่ 2 มิ.ย. เพจ "Hatwanakorn National Park อุทยานแห่งชาติหาดวนกร จ.ประจวบคีรีขันธ์" ได้ประกาศ เรื่อง ปิดกิจกรรมดำน้ำตื้น (Snorkeling) และการท่องเที่ยว บริเวณเกาะจานและเกาะท้ายทรีย์ เป็นการชั่วคราว โดยระบุข้อความว่า

"ด้วยอุทยานแห่งชาติหาดวนกรได้มีการสำรวจติดตามสถานการณ์ฟอกขาว พบว่าบริเวณเกาะจานและเกาะท้ายทรีย์ และแนวปะการังโดยรอบมีการฟอกขาว อีกทั้งยังได้ตรวจสอบตารางข้อมูลการคำนวณระดับน้ำขึ้นน้ำลง โดยกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ พบว่าระดับน้ำทะเล ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 เป็นต้นไปมีระดับน้ำที่ต่ำลงมากในช่วงเวลากลางวัน และจะมีระดับน้ำที่ขึ้นสูงในช่วงเวลากลางคืน จึงทำให้ไม่เหมาะแก่การเข้าไปดำน้ำชมปะการัง เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศของปะการังและเกิดอันตรายต่อนักท่องเที่ยว

อุทยานแห่งชาติหาดวนกรพิจารณาแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อแนวปะการัง รวมถึงลดผลกระทบจากกิจกรรมประเภทต่างๆ ที่อาจส่งผลให้ปะการังเกิดการฟอกขาว และมิให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศของปะการัง รวมถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 ประกอบระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2563

ขอประกาศปิดกิจกรรมดำน้ำตื้น (Snorkeling) และการท่องเที่ยวบริเวณเกาะจานและเกาะท้ายทรีย์เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์การฟอกขาวของปะการังจะอยู่ในระดับที่ดีขึ้น และระดับน้ำขึ้นน้ำลงมีความเหมาะสมกับการดำน้ำชมปะการัง โดยทางอุทยานแห่งชาติหาดวนกรจะประกาศประชาสัมพันธ์แจ้งให้ทราบอีกครั้ง"


https://mgronline.com/onlinesection/.../9670000047304

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,526
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


เศร้า! นักดำน้ำเผยภาพ "เกาะฉางเกลือ แสมสาร" พบปัญหาปะการังฟอกขาวรุนแรง

โซเชียลฯ แห่วิจารณ์ หลังพบภาพเกาะฉางเกลือ แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พบปัญหาปะการังฟอกขาวในระดับรุนแรง ด้านชาวเน็ตเศร้า ชี้เป็นปัญหาใหญ่ ควรช่วยกันเร่งแก้ไขก่อนจะสายเกิน



วันนี้ (2 มิ.ย.) เพจ "VET Edutainment" ได้เผยภาพปัญหาปะการังฟอกขาว โดยระบุข้อความว่า

"วันนี้ผมมา snorkle ที่แสมสาร ยอมรับเลยว่าปัญหาปะการังฟอกขาวมันรุนแรงแบบอิหยังวะมาก ในรูปคือฟอกขาวสนิท แต่เห็นเยอะที่เป็นสีฟ้าอ่อนสดใส มองเผินๆ จะเหมือนปะการังสวยจัง สีสันสดใส แต่ความจริงคือ zooxanthellae มันหายไปหมดแล้ว เหลือแต่เนื้อปะการังที่รอวันตายครับ 2 มิถุนายน 2567, เกาะฉางเกลือ แสมสาร สัตหีบ"

ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว (Coral Bleaching) คือภาวะที่ปะการังมีสีซีดจางลงจนมองเห็นเป็นสีขาว ซึ่งเป็นผลมาจากการสูญเสียสาหร่ายที่ชื่อว่า ซูแซนเทลลี (Zooxanthellae) สาหร่ายซูแซนเทลลีคือสาหร่ายขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของปะการัง ดํารงชีวิตอยู่ร่วมกับปะการัง "แบบพึ่งพากัน" (mutualism) โดยสาหร่ายจะทําหน้าที่สังเคราะห์แสงเพื่อสร้างอาหาร ช่วยเร่งกระบวนการสร้างหินปูนรวมถึงการสร้างสีสันให้แก่ตัวปะการัง ส่วนปะการังก็ให้ที่อยู่แก่สาหร่าย โดยปกติในเนื้อเยื่อของปะการังไม่ได้มีสีสันสวยงาม มันเป็นเพียงเนื้อเยื่อใสๆ เท่านั้น ส่วนสีที่เราเห็นในปะการังล้วนเป็นสีที่ได้รับมาจากสาหร่ายซูแซนเทลลี ซึ่งอาจจะเป็นสีแดง สีส้ม สีเขียว หรือน้ำตาล ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของซูแซนเทลลีที่เข้าไปอาศัยอยู่ในตัวปะการัง ในภาวะปกติปะการังกับสาหร่ายต่างใช้ชีวิตอย่างเกื้อกูลกัน กระทั่งเมื่อใดที่สภาพแวดล้อมในทะเลมีการเปลี่ยนแปลง หรือมีสภาวะไม่เหมาะสม เช่น อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ความเค็มของน้ำทะเลลดลง สาหร่ายซูแซนเทลลีจะออกจากเนื้อเยื่อของปะการังเพื่อความอยู่รอด ส่งผลให้ปะการังเหลือเพียงเนื้อเยื่อใสๆ เผยให้เห็นสีขาวของโครงสร้างหินปูนที่อยู่ภายใน หรือที่เรียกว่า "ปะการังฟอกขาว" นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ต้นเหตุของการฟอกขาว สาเหตุของการเกิดปะการังฟอกขาวนั้นมีได้หลายปัจจัย แต่สาเหตุสําคัญคาดว่ามาจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำทะเล จากการศึกษาของศูนย์ชีววิทยาทางทะเลภูเก็ต พบว่าปะการังที่พบในประเทศไทยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในน้ำทะเลที่อุณหภูมิ 28-29 องศาเซลเซียส แต่หากน้ำทะเล อุณหภูมิสูงประมาณ 30-31 องศาเซลเซียส ติดต่อกันประมาณ 3-4 สัปดาห์ ก็จะมีผลให้ปะการังเกิดการฟอกขาวขึ้น สําหรับปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลให้เกิดปะการังฟอกขาว เช่น ความเค็มของน้ำทะเลที่เปลี่ยนไป เนื่องจากน้ำจืดที่ไหลลงสู่ทะเลปริมาณมากอันเนื่องมาจากพายุฝน ตะกอนที่ถูกน้ำจืดไหลพัดพามาจากบนฝั่ง หรือแม้แต่มลพิษที่เกิดจากการใช้ประโยชน์ทางทะเล ก็ล้วนมีผลให้เกิดการฟอกขาวได้ทั้งสิ้น


https://mgronline.com/onlinesection/.../9670000047346

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,526
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


ช่วยทุกทางหวังปะการังแปลงอนุบาลรอดจากการฟอกขาว



กระบี่ - ช่วยทุกทางหวังปะการังรอดพ้นจากการฟอกขาว กรมทะเล ร่วมอุทยานฯ และเครือข่ายอนุรักษ์ฯ ย้ายปะการังจากแปลงอนุบาลหน้าถ้ำไวกิ้ง เกาะพีพีเล จังหวัดกระบี่ เพื่ออนุบาลเพิ่มโอกาสรอดจากการฟอกขาว

ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง ร่วมกับอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 3 จังหวัดตรัง และเครือข่ายอาสาสมัครร้านดำน้ำบนเกาะพีพี ร่วมกันดำเนินการย้ายปะการังจากแปลงอนุบาลหน้าถ้ำไวกิ้ง เกาะพีพีเล จังหวัดกระบี่ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา

โดยปะการังดังกล่าวร้านดำน้ำในพื้นที่นำโดย Mr. Andrew Hewett ได้ร่วมกันกับเครือข่ายนักดำน้ำในพื้นที่ อนุบาลปะการังมาเป็นระยะเวลา 2 ปี จนมีขนาดเหมาะสมพร้อมย้ายปลูก จำนวน 480 โคโลนี โดยย้ายปลูกที่ระดับน้ำลึกใกล้แปลงอนุบาลเดิม เพื่อเพิ่มโอกาสรอดจากการฟอกขาว ปะการังที่ได้รับการอนุบาลคือปะการังเขากวาง ซึ่งพบการฟอกขาวน้อยกว่า 5% สำหรับปะการังในธรรมชาติที่อยู่โดยรอบพบการฟอกขาว 70-80% ของพื้นที่ ค่าอุณหภูมิน้ำทะเล 32 องศาเซลเซียส

และปะการังที่ย้ายปลูกในครั้งนี้ ศูนย์วิจัยฯ ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ และเครือข่ายอาสาสมัครนักดำน้ำบนเกาะพีพี ติดตามผลการเจริญเติบโตและอัตราการรอดของกิ่งพันธุ์ปะการังต่อไป การดำเนินการในครั้งนี้มีผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์และกำหนดมาตรการ กอท. เป็นผู้ประสานงานและเข้าร่วมด้วย


https://mgronline.com/south/detail/9670000047245

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,526
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยโพสต์


น้ำแข็งขั้วโลกละลาย สะเทือน 'การบิน'


เครดิตภาพ : AFP

เหตุการณ์เครื่องบิน Singapore Airlines ตกหลุมอากาศรุนแรงระหว่างเดินทางจากกรุงลอนดอนของอังกฤษไปยังสิงคโปร์จนต้องร่อนลงจอดฉุกเฉินที่กรุงเทพฯ และทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก สร้างกระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับอันตรายของการนั่งเครื่องบินขึ้นทันที เหตุระทึกขวัญสิงคโปร์แอร์ไลน์ยังไม่ทันจาง ก็เกิดเหตุระทึกซ้ำ ทำนองเดียวกันกับสายการบิน Qatar Airways ที่ตกหลุมอากาศขนาดใหญ่ แต่เคราะห์ดีไม่มีคนเสียชีวิต แต่มีผู้บาดเจ็บสิบกว่าคน

หลังเกิดเหตุการณ์ที่สร้างความตกอกตกใจให้กับคนทั้งโลก ก็มีนักวิชาการออกมาชี้ว่า หลุมอากาศใหญ่นี้ เป็นผลพวงของภาวะโลกร้อน แต่ความเห็นนี้ ก็ยังเป็นข้อสันนิษฐาน ที่ต้องรอการพิสูจน์ข้อเท็จจริงอีกระยะ โดยขณะนี้ ทางสิงคโปร์แอร์ไลน์เอง ก็อยู่ระหว่างการสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง ขณะที่ องค์กรด้านการบินจากสหรัฐอเมริกา ก็บินมาร่วมสอบสวนด้วย


"หลุมอากาศ"เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ จนส่งผลกระทบต่อเครื่องบินโดยไม่คาดคิด จะเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกที่รุนแรงขึ้น และภาวะที่โลกร้อนขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ ลองมาฟังความเห็นจากนักวิชาการ อ.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อม ที่เจาะลึกสภาพอากาศที่แปรปรวนซึ่งเป็นภัยต่อการบินที่เริ่มรุนแรงได้อย่างไร

อ.สนธิ คชวัฒน์ กล่าวว่า เหตุการณ์เครื่องบิน Singapore Airlines ตกหลุมอากาศ ตามด้วยสายการบิน Qatar Airways มีผู้บาดเจ็บ ทำให้เกิดความวิตกภาวะโลกรวนจะทำให้เกิดเหตุลักษณะนี้มากขึ้น โลกร้อนทำให้อุณหภูมิบนผิวโลกสูงขึ้น 1.2 ถึง 1.4 องศาเซลเซียส จากยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนี้ทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองมากขึ้น ซึ่งเครื่องบินมีเทคโนโลยีเรดาห์ที่ตรวจจับได้ ทำให้นักบินสามารถบินอ้อมหรือหลบเลี่ยงก้อนเมฆฝนหรือพายุ หรือประกาศเตือนเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารและลูกเรือได้ อย่างไรก็ตาม ในการบินแต่ละครั้งนอกจากเครื่องบินจะต้องเจอกับความปั่นป่วนจากสภาพอากาศแปรปรวนจากพายุฝนฟ้าคะนองแล้ว ยังมีงความปั่นป่วนอีกรูปแบบ ในวันภาวะอากาศแจ่มใส หรือ Clear Air Turbulence (CAT) หรือที่เรียกว่าหลุมอากาศ ด้วย ซึ่งอย่างหลังนี้ปัจจุบัน ยังไม่มีเทคโนโลยีใดตรวจจับได้ นักบินจึงหลีกเลี่ยงได้ยาก

นักวิชาการรายนี้อธิบายถึงภาวะ Clear Air Turbulence ว่า จะมีลมกรด หรือ Jet Stream เป็นลมระดับบนที่ระยะความสูงระหว่าง 7.0 ถึง 16 กิโลเมตรจากผิวโลก ซึ่งมีความเร็วเฉลี่ย 200 ถึง 400 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง และเคลื่อนที่จากซีกโลกตะวันตกไปยังตะวันออกมีความเร็วลดลง ในบางช่วงบางขณะ จะทำให้ความหนาแน่นของมวลอากาศบริเวณนั้นลดลง ปีกของเครื่องบินพยุงไม่ไหว ทำให้เครื่องบินตกหลุมอากาศ ขณะนี้มีข้อมูลในแอตแลนด์ติกเหนือหรือสหรัฐ สถิติตั้งแต่ปี 1979 -ปี 2020 พบเครื่องบินตกหลุมอากาศจากสภาวะอากาศปลอดโปร่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 55 ขณะเดียวกันวิจัยระบุว่าเกิดจากภาวะโลกร้อนทำให้ความเร็วลมลดลง

" ขณะนี้ในทางการบินให้นักบินทั่วโลกทำบันทึกข้อมูลเส้นทางบินที่ตกหลุมอากาศเอาไว้ และส่งข้อมูลไปที่องค์การการบินระหว่างประเทศ เพื่อใช้เตือนตำแหน่งหลุมอากาศเพื่อประโยชน์ด้านการบิน ในอนาคต 4-5 ปี จากนี้ คาดว่าจะพัฒนานวัตกรรมตรวจจับมวลอากาศที่บางลงได้ " อ.สนธิ กล่าว

ส่วนการแบ่งชั้นความรุนแรงความปั่นป่วนในสภาพอากาศ "ตกหลุมอากาศ (Air Pocket)" ที่เครื่องบินบินผ่าน มีหลายระดับ อาจารย์สนธิอธิบายเริ่มจากความรุนแรงน้อย เครื่องบินถูกโยนขึ้นลงประมาณ 1 เมตร ความรุนแรงปานกลาง ประมาณ 3-6 เมตร ความรุนแรงมาก 30 เมตร เหมือนกรณีเครื่องบิน Singapore Airlines นักบินต้องบินหนีออกจากสภาพความปั่นป่วนหรือแถบลมกรดนี้ ด้วยการลดเพดานบินลงมาอีก 1.8 กิโลเมตร ผู้โดยสารถึงถูกโยนตัวอีกครั้ง หากไม่ได้คาดเข็มขัด จะได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

" นักวิจัยระบุความปั่นป่วนในอากาศแจ่มใสที่เพิ่มขึ้นตอนนี้เป็นตกหลุมอากาศระดับความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง แต่ถ้าอุณหภูมิยิ่งร้อนขึ้น ยังไม่ลดโลกร้อน ไม่ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในปี พ.ศ. 2593 จะทำให้เครื่องบินตกหลุมอากาศในระดับรุนแรงในช่วงอากาศแจ่มใสถึง 40% ปกติการตกหลุมอากาศมักจะเกิดในหน้าหนาวและซีกโลกตะวันตกมากกว่า แต่ระยะหลังเกิดเหตุในแถวตะวันออกกลาง แถบภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีสภาพอากาศร้อนขึ้น แต่อยากฝากเรื่องตกหลุมอากาศ ถ้าบินภายในประเทศและบินภายในภูมิภาคเดียวกันไม่ต้องวิตกกังวล เทคโนโลยีตรวจจับเมฆพายุฝนฟ้าคะนองได้ และไม่เกิด Clear Air Turbulence อย่างไรก็ตาม ผู้โดยสารควรรัดเข็มขัดทุกที่นั่งและตลอดเวลาขณะอยู่บนเครื่อง " อ.สนธิ กล่าว

ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมระบุอีกว่า ปรากฎการณ์เอลนีโญจะเป็นตัวการทำให้เกิดการตกหลุมอากาศเพิ่มขึ้น ปรากฎการณ์เอลนีโญ เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่กระแสน้ำอุ่นอยู่ระหว่างทวีปออสเตรเลียกับอินโดนีเซียเคลื่อนที่ไปอเมริกาใต้ โดยหอบเอาความชื้นไปหมด ทำให้ประเทศไทยและอาเซียนเจอความแห้งแล้งและสภาพอากาศร้อน ซึ่งปี 67 นี้เราเจอเอลนีโญ ร้อนสูงสุดถึง 44 องศาเซลเซียส แต่หากกระแสน้ำอุ่นพัดกลับมาทางอาเซียนและไทยจะนำความชื้นมาด้วย จะเกิดปรากฎการณ์ลานีญา ซึ่งคาดว่า ปลายปีนี้หรือต้นปี 2568 ไทยต้องเฝ้าระวังอุทกภัยรุนแรง เมื่อโลกร้อนทำให้กระแสน้ำอุ่นผกผันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างเร็ว เดี๋ยวเอลนีโญและลานีญา เกิดการปั่นป่วนในทะเล

น้ำแข็งขั้วโลกที่ละลายอย่างรวดเร็ว จะเป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดปรากฎการณ์หลุมอากาศมากขึ้น อ.สนธิ กล่าวว่า โลกร้อนขึ้น ส่งผลน้ำแข็งขั้วโลกละลาย โดยนักวิทยาศาสตร์ว่ารายงานทุก 10 ปี น้ำแข็งขั้วโลกจะละลาย 13% หรือคิดเป็นพื้นที่น้ำแข็งละลาย 13.45 ล้านตารางกิโลเมตร ธารน้ำแข็งที่ละลายกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งขนาดเล็กเต็มไปหมด ไหลลงสู่ทะเล เมื่อเจอความเค็มของทะเลเกิดเป็นสีน้ำเงินและดำ เรียกว่า Dark surface เดิมธารน้ำแข็งจะสะท้อนความร้อนของแสงอาทิตย์ออกไปได้ 80% แต่ สำหรับ Dark Surface กลับเป็นตัวดูดซับความร้อน ส่งความร้อนแพร่กระจายไปตามน้ำทะเลทั่วโลก น้ำแข็งยิ่งละลายจะยิ่งเพิ่มพื้นที่ดูดซับความร้อนมากขึ้น ทำให้พื้นที่ส่วนต่างๆ ของโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นมาก ทำให้เกิด Clear Air Turbulence มากขึ้น มีการคาดการณ์ว่า หากน้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอีก 1.8 เมตร ในปี 2100 ยังไม่พูดถึงผลกระทบปะการังฟอกขาวจากน้ำทะเลร้อนมากขึ้น

ปีนี้สภาพอากาศแปรปรวนขึ้นมาก นักวิชาการรายนี้ บอกอีกว่า อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นสาเหตุหลักเป็นที่แน่ชัดว่ามาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีรายงานเดือนมีนาคม ปี 2567 โลกปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นจนถึง 4.7 ล้านส่วนในล้านส่วน เพิ่มมากอย่างก้าวกระโดด ขณะที่ประเทศไทยเองปล่อยก๊าซคาร์บอนสูงจากการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างเครื่องปรับอากาศ เพราะอากาศร้อนมากทะลุ 40 องศาเซลเซียส ผลที่ตามมา คือสภาวะภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส เป็นภาวะโลกร้อน เมื่อขยับเป็น 1.2-1.4 องศาเซลเซียส เรียกว่า โลกรวน แต่ถ้าสูงขึ้น 1.5 องศาเมื่อไหร่ เข้าสู่ภาวะโลกเดือด

" ปัญหาโลกร้อนทวีความรุนแรงมากขึ้น จากเวที COP27 ประเทศต่างๆ ต้องลดการใช้พลังงานร้อยละ 40 ภายในปี 2573 ซึ่งประเทศไทยเป็นรัฐภาคี ไทยยังไม่สามารถลดปล่อยก๊าซได้ แม้จะมีการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถ EV แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก สิ่งที่ประชาชนทำได้คือ ปลูกต้นไม้เพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ขณะที่เมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานครมีมีพื้นที่สีเขียวเพียง7 ตารางเมตรต่อคน แต่มาตรฐานขั้นต่ำของ WHO คือ 9.0 ตร.ม. ต่อคน รวมถึงต้องรักษาต้นไม้ใหญ่เอาไว้ และปลูกเพิ่ม ขณะเดียวกันบ้านเรามีการเผาตอซังฟางข้าว เกิดฝุ่นพิษ เผาขยะในที่โล่ง รัฐบาลต้องเอาจริงเอาจัง รวมถึงจัดการผู้ลักลอบเผาป่า ตลอดจนเลิกรับซื้อสินค้าเกษตรที่มีส่วนทำลายป่าไม้ " อ.สนธิ กล่าว

ส่วน พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาวะโลกร้อนที่อยู่ระหว่างการจัดทำประชาพิจารณ์ อ..สนธิ แสดงทัศนะว่า ร่าง พ.ร.บ.โลกร้อนฉบับนี้ไปเน้นเรื่องคาร์บอนเครดิต เอกชนหรือนายทุนปล่อยก๊าซจากการทำอุตสาหกรรม ให้ไปปลูกต้นไม้เพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งนี่คือกลไกความเป็นกลางทางคาร์บอน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนับได้เท่ากับศูนย์ แนวทางการปลูกป่าเพื่อเพิ่มแหล่งสะสมก๊าซคาร์บอนตามธรรมชาติ มีเสียงคัดค้านจากภาคประชาสังคม เอกชนไปเช่าที่ปลูกป่า โดยไม่ได้ลดจากแหล่งกำเนิด สภาพอากาศก็ยังร้อนเหมือนดิม แต่ในสหรัฐใช้วิธีการจ้างประชาชนปลูกป่าในป่าเสื่อมโทรมแทน รัฐบาลคิดเป็นคาร์บอนเครดิตขายให้นายทุน ถ้ารัฐบาลไทยไม่กระเตื้องในการแก้ปัญหาโลกร้อน จะยิ่งเผชิญภัยพิบัติรุนแรงขึ้น เหลืออีกไม่กี่ปีจะบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร แผนไม่ชัดเจน จะเร่งทันหรือไม่ เป็นโจทย์ที่ท้าทายและต้องอาศัยการบูรณาการร่วมกันแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


https://www.thaipost.net/news-update/597030/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,526
Default

ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


'จีน'เตรียมสร้าง'พิพิธภัณฑ์โบราณคดีทางทะเล'ในปีนี้ แห่งแรกของประเทศ

แห่งแรกของประเทศ จีนเตรียมสร้าง 'พิพิธภัณฑ์โบราณคดีทางทะเล' ในปีนี้



2 มิ.ย.67 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รัฐบาลท้องถิ่นของจีนยืนยันว่าจะเริ่มการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์โบราณคดีทางทะเลระดับชาติขึ้นที่นครชิงเต่า เมืองชายฝั่งในมณฑลซานตงทางตะวันออกของประเทศ ในปี 2024 นี้

หน่วยงานทางการของนครชิงเต่าระบุว่า พิพิธภัณฑ์แห่งนี้กำหนดสร้างขึ้นในเขตพัฒนาเศรษฐกิจชิงเต่า โอเชียนเทค วัลเลย์ (Qingdao Oceantec Valley) บนพื้นที่ 29,333 ตารางเมตรตามที่วางแผนไว้ โดยเป็นพื้นที่ก่อสร้างรวมประมาณ 26,000 ตารางเมตร

สำนักบริหารของเขตพัฒนาเศรษฐกิจชิงเต่า โอเชียนเทค วัลเลย์ กล่าวว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์โบราณคดีทางทะเลแห่งแรกในจีน จะจัดแสดงประวัติศาสตร์โบราณคดีทางทะเล ผลสำเร็จที่เกี่ยวข้อง และนำเสนออารยธรรมทางทะเลยุคโบราณ พร้อมนำโบราณวัตถุใต้น้ำหายากต่างๆ มาจัดแสดงแบบถาวร

นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะเป็นช่องทางสำคัญในการให้ความรู้แก่สาธารณชน และการวิจัยวิทยาศาสตร์ด้านงานโบราณคดีทางทะเล ตลอดจนนำเสนอความพยายามของจีนในการปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมที่อยู่ใต้น้ำ

สำนักฯ ระบุว่าพื้นที่จัดนิทรรศการหลักจะมีทั้งหมด 4 แห่ง ได้แก่ โซนศูนย์วิจัยโบราณคดีแห่งชาติ โซนงานอนุรักษ์และบูรณะโบราณวัตถุใต้น้ำ โซนการท่องเที่ยวโบราณคดีใต้น้ำ และโซนงานโบราณคดีทางทะเลของนครชิงเต่า

สำนักฯ คาดว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะสร้างคุณูปการให้แก่ความมุ่งมั่นของนครชิงเต่า ในการส่งเสริมงานอนุรักษ์โบราณวัตถุทางวัฒนธรรมและงานด้านโบราณคดี ตลอดจนการพัฒนาเมืองท่องเที่ยวชายฝั่งทะเล และเมืองประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมระดับชาติ


https://www.naewna.com/inter/808191

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #8  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,526
Default

ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


"ภูกระดึง" ประกาศปิด 4 เดือน ตั้งแต่ 1 มิ.ย.-30 ก.ย. 67 เพื่อให้ธรรมชาติฟื้นตัว


SHORT CUT

- ประกาศปิดการท่องเที่ยวและพักแรมในอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ประจำปี พ.ศ.2567

- ปิดแหล่งท่องเที่ยวและการพักแรมบนยอดเขา ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน - 30 กันยายน 2567

- การท่องเที่ยวบริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวศรีฐาน (เชิงเขา) และแหล่งท่องเที่ยวน้ำตกตาดฮ้อง พื้นที่หน่วยพิทักษ์ฯ ที่ ภด ๓ (นาน้อย) ยังเปิดให้บริการตามปกติ




อุทยานแห่งชาติ "ภูกระดึง" ประกาศปิดการท่องเที่ยวและพักแรมประจำปี 2567 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน - 30 กันยายน 2567

อุทยานแห่งชาติภูกระดึง กำหนดปิดการท่องเที่ยวและพักแรมบนยอดเขา "ภูกระดึง" โดยประกาศผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า

ตามประกาศกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ฉบับลงวันที่ 18 ธันวาคม 2566 เรื่อง ปิดการท่องเที่ยวและพักแรมในอุทยานแห่งชาติและวนอุทยาน ประจำปี พ.ศ. 2567 ได้ทบทวนช่วงเวลาปิดการท่องเที่ยวและพักแรมในอุทยานแห่งชาติและวนอุทยาน เพื่อให้การบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวประจำปี พ.ศ. 2567 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

สอดคล้องกับสภาพอากาศในแต่ละฤดูกาลและความสามารถในการรองรับได้ของทรัพยากร เปิดโอกาสให้ทรัพยากรธรรมชาติได้ฟื้นตัว รวมทั้งมีความปลอดภัยต่อการท่องเที่ยวมีความชัดเจนสำหรับการดำเนินกิจกรรมหรือการอนุญาตเพื่อการท่องเที่ยว และการประชาสัมพันธ์ข้อมูลแก่นักท่องเที่ยว นั้น

อุทยานแห่งชาติภูกระดึง พิจารณาแล้ว เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามประกาศกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชดังกล่าว จึงประกาศปิดแหล่งท่องเที่ยวและการพักแรมในอุทยานแห่งชาติภูกระดึง

ทุกแหล่งตั้งแต่ วันที่ 1 มิถุนายน 2567 - 30 กันยายน 2567 ส่วนการท่องเที่ยวบริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวศรีฐาน (เชิงเขา) และแหล่งท่องเที่ยวน้ำตกตาดฮ้อง ที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่ชาติ ที่ ลย.3 (นาน้อย) ยังเปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวตามปกติ สำหรับปีการท่องเที่ยว 2568 (1 ตุลาคม 2567 - 31 พฤษภาคม 2568)


https://www.springnews.co.th/keep-th...ronment/850739

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:22


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger