เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,546
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ และประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน และอ่าวตังเกี๋ย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน และประเทศไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 6 ? 8 มิ.ย. 67 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนและประเทศลาวตอนบนเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้านตะวันตกของภาคกลาง และภาคตะวันออก ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 9 ? 11 มิ.ย. 67 ร่องมรสุมเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ยังคงทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออก ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ตลอดช่วง












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,546
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


UN เตือน 'นรกสภาพอากาศ' หลังโลกร้อนทุบสถิติ 12 เดือนติดต่อกัน

อุณหภูมิโลกร้อนทุบสถิติต่อเนื่องตลอดช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ทำให้สหประชาชาติออกมาเตือนว่า เราต้องรีบหาทางออกจากถนนที่มุ่งไปสู่นรกสภาพอากาศ



เมื่อ 5 มิ.ย. 2567 ?โครงการบริการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัส? (C3S) ซึ่งเป็นหน่วยงานติดตามความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศของสหภาพยุโรป เปิดเผยว่า อุณหภูมิของแต่ละเดือนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มตั้งแต่มิถุนายน 2566 ทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาลเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้านั้น

C3S บอกด้วยว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของช่วง 12 เดือนดังกล่าว จนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม สูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยในยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมถึง 1.63 องศาเซลเซียส ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ร้านที่สุดนับตั้งแต่พวกเขาเริ่มเก็บสถิติในปี 2483

อย่างไรก็ตาม ค่าเฉลี่ย 1.63 องศาเซลเซียสที่ว่านั้น ไม่ได้หมายความว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเกินขีดจำกับ 1.5 องศาเซลเซียสที่นานาประเทศตั้งเอาไว้ เพราะต้องคิดคำนวณค่าเฉลี่ยจากช่วงเวลายาวนานกว่านั้นอย่างน้อยหลายทศวรรษ

ขณะเดียวกัน องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ของสหประชาชาติ ประเมินว่า ตอนนี้มีโอกาสถึง 80% แล้ว ที่อย่างน้อย 1 ในช่วง 5 ปีข้างหน้า จะกลายเป็นปีแรกที่โลกมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่ายุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิน 1.5 องศาเซลเซียสตลอดทั้งปี เพิ่มขึ้นจากการประเมินในปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 66%

นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ พูดถึงการค้นพบทั้ง 2 ฉบับว่า รายนี้นี้กำลังเน้นย้ำว่าโลกนี้กำลังมุ่งไปผิดทาง และออกห่างจากการฟื้นฟูเสถียรภาพของระบบสภาพอากาศ

"ในปี 2558 โอกาสที่อุณหภูมิจะสูงเกินเกณฑ์อยู่ที่เกือบ 0%" นายกูเตร์เรสกล่าว และเสริมว่า เวลาในการย้อนคืนสถานการณ์กำลังจะหมดลงแล้ว พร้อมเรียกร้องให้ทั่วโลกลดการใช้และการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลลง 30% ภายในปี 2573

"เราต้องการทางลาดสำหรับออกจากถนนหลวงที่มุ่งไปสู่นรกสภาพอากาศ (climate hell)? เลขาธิการยูเอ็นกล่าว ?การต่อสู้เพื่ออุณหภูมิ 1.5 องศา จะรู้ผลแพ้ชนะภายในยุคปี 2020 นี้"

ที่มา : cna


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2790991
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,546
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


สุดสยอง เจอสัตว์ปริศนา นอนตาเหลือกบนหาดสิงคโปร์ ก่อนนึกได้ว่ามันคือปลา



สยองหนัก เจอสัตว์ปริศนา ถูกคลื่นซัดมานอนตาเหลือกบนผืนทรายที่ชายหาดในสิงคโปร์ ทำชายนักท่องเที่ยว 'เดนนิส ชาน' ช็อก ตกใจ หลังจากสายตาไปเห็นมันเข้า ก่อนต่อมา เดนนิส ชาน จะนึกได้ว่า สัตว์หน้าตาประหลาดตัวนี้ มันคือ ปลาสตาร์เกเซอร์

เดนนิส ชาน ได้โพสต์รูปสัตว์ปริศนาซึ่งเขาไปเห็นมันอยู่บนชายหาดในประเทศสิงคโปร์พร้อมกับเขียนข้อความในอินสตาแกรมว่า 'เป็นภาพที่ไม่ธรรมดาและน่าหลงใหล ปลาแปลกๆ เหล่านี้ฝังตัวอยู่ในทรายโดยมีเพียงแต่หัวของมันโผล่ขึ้นมา ดูเหมือนกำลังจ้องมองดวงดาว ขณะรอเหยื่อที่ไม่ทันสงสัย มันเหล่านี้คล้ายกับปลาหิน (Stonefish) และปลาแมงป่อง (Scorpionfish) ซึ่งหมายถึงว่าพวกมันยังมีหนามพิษที่สามารถต่อยจนเกิดความเจ็บปวดได้'

ทั้งนี้ ปลาสตาร์เกเซอร์ (Stargazer) เป็นปลาทะเลน้ำลึกในวงศ์ Uranoscopidae ในอันดับปลากะพง ซึ่งแบ่งออกเป็นประมาณ 50 ชนิดใน 8 สกุล พบอยู่ตามร่องน้ำลึกทั่วโลก โดยปลาสตาร์เกเซอร์ มีลำตัวยาว กลม หรือแบนลงเล็กน้อย ปลาสตาร์เกเซอร์มีลักษณะพิเศษคือมีดวงตา อยู่บนส่วนยอดของหัว ปากขนาดใหญ่ มีครีบที่มีพิษใช้ป้องกันตัว มักฝังตัวอยู่ใต้ผืนทรายเพื่อคอยดักจับเหยื่อ

ที่มา : mirror


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2790926
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,546
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


น่ายินดี! เต่ากระ "แม่เพรียง" ขึ้นวางไข่ครั้งแรกของปี บริเวณชายหาดเกาะทะลุ

ประจวบคีรีขันธ์ - เป็นเรื่องน่ายินดี! เต่ากระ "แม่เพรียง" ขึ้นวางไข่ครั้งแรกของปี บริเวณชายหาดเกาะทะลุ อีกครั้ง 148 ฟอง ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม (เตรียมการ)



วันนี้(5 มิ.ย.) นายสมเจตน์ จันทนา ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 สาขาเพชรบุรี ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม ว่าเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567 เวลา 19.50 น. เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม ร่วมกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากร ทะเลสยาม เดินลาดตระเวนบนพื้นที่ชายหาดเกาะทะลุ อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พบแม่เต่ากระ ชื่อ?แม่เพรียง? ขึ้นวางไข่บริเวณอ่าวในหุบของเกาะทะลุ จำนวน 1 รัง หมายเลขไมโครชิพ 933.076400505267 เป็นรังแรกของปี67 พิกัด 47P 0560234E 1223850N อยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม (เตรียมการ)

โดยเจ้าหน้าที่อช.อ่าวสยาม(เตรียมการ)และเจ้าหน้าที่มูลนิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม พบว่าแม่เต่ามี ขนาดลำตัว กว้าง 77 เซนติเมตร ยาว 89 เซนติเมตร ขนาดของหลุมกว้าง 19 เซนติเมตร ลึก 48 เซนติเมตร จุดวางไข่ห่างจากน้ำทะเล 9.50 เมตร และรอยพายกว้าง 74 เซนติเมตร จำนวนไข่ที่พบทั้งหมด 148 ฟอง
เจ้าหน้าที่จึงดำเนินการเคลื่อนย้ายรังไปยังบ่ออนุบาลของมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางธรรมชาติ โดยมีเจ้าหน้าที่มูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากร ทะเลสยาม เป็นผู้ดูแล ทั้งนี้ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเฝ้าระวังและเก็บข้อมูลตลอด 24 ชั่วโมง

ด้านนายเผ่าพิพัธ เจริญพักตร์ เลขาฯมูลนิธฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม กล่าวว่าตอนนี้ถือเป็นฤดูกาลของการขึ้นมาวางไข่ของแม่เต่ากระ ซึ่งจะเริ่มตัังแต่พฤษภาคมเรื่อยไปจนถึงเดือนกันยายน ปีนี้รังแรกเป็นเดือนมิถุนายน โดยคาดว่าปีนี้ก็น่าจะมีแม่เต่ากระ ขึ้นมาวางไข่บริเวณชายหาดเกาะทะลุต่อเนื่อง ซึ่งทางมูลนิธิฯมีการจัดเจ้าหน้าที่คอยออกลาดตระเวนร่วมกับเจ้าหน้าที่ อช.อ่าวสยาม(เตรียมการ)เป็นประจำในช่วงฤดูกาลวางไข่ รวมทั้งคอยดูแลการเพาะฟักจนเจริญเติบโตที่จะปล่อยกลับคืนสู่ท้องทะเล ซึ่งแม่เพรียงขึ้นมาวางไข่ค่อนข้างทุกปี อย่างน้อย9ปีแล้วและเป็นแม่ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ปีที่แล้วมี4แม่ขึ้นมาวางไข่ที่ชายหาดเกาะทะลุถึง28 รังด้วยกันโดยทางมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม จะมีการจดบันทึกการขึ้นวางไข่ของแต่ละแม่เป็นฐานข้อมูลทางวิชาการทุกปี


https://mgronline.com/local/detail/9670000048258

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,546
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


"SAGA" หนังดังระดับโลก ปักหมุดถ่ายทำที่ 3 อุทยานฯ ในไทย

ประเทศไทย โลเคชั่นถ่ายหนังสุดฮอต ล่าสุดเรื่อง "SAGA" ภาพยนตร์ดังระดับโลก เลือกเข้ามาถ่ายทำใน 5 จังหวัดของไทย และปักหมุดที่ 3 อุทยานแห่งชาติทางภาคใต้ โดยผ่านการพิจารณาแล้ว เน้นย้ำไม่ให้เกิดการรบกวนธรรมชาติ



พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า รู้สึกยินดีที่อุทยานแห่งชาติไทย ถูกเลือกให้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ดังระดับโลก เพราะนอกจากจะทำให้สถานที่ท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติในประเทศไทย เป็นที่รู้จักของต่างประเทศ ยังส่งผลที่ดีต่อการท่องเที่ยวในประเทศ สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนรอบแนวเขตอุทยาน และการท่องเที่ยวภายในจังหวัดนั้นด้วย

นอกจากนี้ ยังได้มีการกำชับให้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญต้องไม่กระทบและเกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงต้องเป็นการถ่ายทำภาพยนตร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน หรือคาร์บอนต่ำ ตลอดจนการรบกวนสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด


ด้านนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ระบุว่า กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้มีหนังสือแจ้งมายังกรมอุทยานแห่งชาติฯ ระบุว่า ?คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวิดีทัศน์ ได้อนุญาตให้ SAGA Productions Limited สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ สร้างภาพยนตร์เรื่อง ?SAGA? ระหว่างวันที่ 13 มิถุนายน ? 16 กรกฎาคม 2567 ระบุสถานที่ถ่ายทำประกอบด้วยกรุงเทพมหานคร จังหวัดพังงา จังหวัดกระบี่ จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดตรัง?สำหรับกรณีดังกล่าวข้างต้น บริษัท เปสตัน ฟิลม์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประสานงานการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ได้ยื่นขออนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ 3 แห่ง คือ บริเวณหาดซันเซท เกาะกระดาน อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง เป็นระยะเวลา 5 วัน บริเวณน้ำตกห้วยโต้ อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา จังหวัดกระบี่ ระยะเวลา 3 วัน และบริเวณเขาตาปู เกาะสองพี่น้อง เกาะนากายะ อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จ.พังงา ระยะเวลา 5 วัน โดยมีการจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตถ่ายทำภาพยนต์และวางหลักประกันความเสียหายระหว่างถ่ายทำตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว

จากการพิจารณาการเข้าถ่ายทำภาพยนตร์ดังกล่าว ซึ่งผ่านคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์มาแล้วว่ามีเนื้อหาและรูปแบบที่ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาในการถ่ายทำภาพยนตร์ในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตต้องไม่มีการปิดกั้นพื้นที่การถ่ายทำ มีการควบคุมเรื่องเสียง อุปกรณ์และเทคนิคต่างๆคำนึงถึงความปลอดภัย และต้องไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือรบกวนสัตว์ป่า ในการสร้างฉาก จัดแต่งสภาพพื้นที่จะต้องไม่มีการขุดเจาะ หรือเปลี่ยนแปลงพื้นที่ถ่ายทำและสภาพธรรมชาติที่มีอยู่ดั้งเดิม ให้เกิดความเสียหายหรือเสื่อมสภาพของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และไม่รบกวนนักท่องเที่ยวที่เข้าเที่ยวชมธรรมชาติ รวมถึงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขและการควบคุมที่กำหนดอื่นๆ โดยให้หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแต่ละแห่งเป็นผู้แทนในการกำกับดูแลการถ่ายทำให้เป็นไปตามระเบียบที่กำหนดอย่างเคร่งครัด


https://mgronline.com/travel/detail/9670000048140

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,546
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


ปี 2566 'โลกร้อน' ที่สุดในประวัติศาสตร์ จากน้ำมือมนุษย์
......... โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล


KEY POINTS

- การศึกษาใหม่พบ ปี 2566 "โลกร้อน" แตะระดับสูงสุดตลอดกาล โดย 92% ของความร้อนที่เกิดในปีที่แล้วมาจากมนุษย์

- ภาวะโลกร้อนเกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์เป็นปัจจัยหลัก จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามมา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ย้ำว่า นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ดีต่อโลกของเรา และไม่เป็นตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น

- นักวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า โลกยังไม่ได้ถึงจุดจบหากอุณหภูมิเกินขีดจำกัด 1.5 องศาเซลเซียส แต่มันจะทำให้โลกเข้าใกล้หายนะมากยิ่งขึ้น




การศึกษาใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Earth System Science Data กิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเผาถ่านหิน การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ส่งผลให้โลกของเราร้อนขึ้น 1.3 องศาเซลเซียส ในปี 2566 การวิเคราะห์ยังแสดงให้เห็นว่าปัจจุบันเหลือปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่สามารถปล่อยได้อีกประมาณ 200,000 ล้านตันเท่านั้น

หากสถานการณ์การปล่อย "ก๊าซเรือนกระจก" ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ อีก 5 ปีข้างหน้า โลกจะมีอุณหภูมิสูงเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับก่อนยุคอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้ข้อตกลงปารีสล้มเหลว และจะเกิดหายนะตามมามากมาย

การค้นพบนี้แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นโดยมนุษย์ยังคงทำให้โลกร้อนขึ้น และถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมช้าลงบ้างก็ตาม "อุณหภูมิโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมา" ศ.เพียร์ส ฟอร์สเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศ จากมหาวิทยาลัยลีดส์ ในสหราชอาณาจักร ผู้จัดทำรายงานกล่าว


โลกร้อนต่อเนื่อง

ตั้งแต่เดือนมิถุนายน - ธันวาคม 2566 มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทุบสถิติต่างๆ มากมาย เช่น กรกฎาคม 2566 เป็นเดือนกรกฎาคม ที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ในช่วงปลายทศวรรษ 1800 ทำให้ทั่วทั้งโลกเกิดภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำแข็งแอนตาร์กติกละลาย เกิดไฟป่าครั้งรุนแรงที่สุดในแคนาดา

สถานการณ์อุณหภูมิโลกยิ่งเลวร้ายลงอีก หลังจากเกิด ?ปรากฏการณ์เอลนีโญ? ในช่วงปีที่ผ่านมา และยังคงสร้างผลกระทบถึงปัจจุบัน แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะกล่าวว่า สภาพอากาศจะรุนแรงขึ้นในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะโลกร้อนเป็นหลักก็ตาม

ภาวะโลกร้อนเกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์เป็นปัจจัยหลัก จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามมา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ย้ำว่า นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ดีต่อโลกของเรา และไม่เป็นตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น

"ปี 2566 สถิติอุณหภูมิโลกถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิโลกในระยะยาวสูงขึ้นประมาณ 10% เป็นการชั่วคราว เราจะต้องยับยั้งไม่ให้ภัยธรรมชาติทั้งไฟป่า ภัยแล้ง น้ำท่วม และคลื่นความร้อนรุนแรงที่เกิดขึ้นในปี 2566 กลายเป็นเรื่องปกติ" -ศ.ฟอร์สเตอร์ กล่าว

ระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณมาก ยังส่งผลต่อสมดุลพลังงานของโลกอีกด้วย ทุ่นในมหาสมุทร และดาวเทียมกำลังติดตามการไหลของความร้อนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนลงสู่มหาสมุทร แผ่นน้ำแข็ง ดิน และชั้นบรรยากาศของโลก การไหลของความร้อนนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวถึง 50%

ศ.ฟอร์สเตอร์ กล่าวเสริมว่า การปล่อยเชื้อเพลิงฟอสซิลคิดเป็นประมาณ 70% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด และเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่แหล่งมลพิษอื่นๆ เช่น การผลิตปูนซีเมนต์ การทำฟาร์ม และการตัดไม้ทำลายป่า ตลอดจนการลดระดับการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ก็มีส่วนทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเช่นกัน

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ระหว่างปี 2557-2566 อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1.19 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าช่วงปี 2556-2565 ที่มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1.14 องศาเซลเซียส นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ภาวะโลกร้อนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เป็นผลข้างเคียงส่วนหนึ่งจากการลดการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ จากอุตสาหกรรมการขนส่งเชิงพาณิชย์ ซึ่งองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ได้ออกระเบียบใหม่ เปลี่ยนองค์ประกอบเชื้อเพลิง เพื่อลดมลพิษทางอากาศจากเรือ และจำกัดกำมะถัน ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา

นั่นอาจฟังดูว่าเป็นการช่วยโลก แต่ก็ไม่ได้ช่วยได้ทุกด้าน เพราะซัลเฟอร์ช่วยให้โลกเย็นลง โดยการสะท้อนแสงอาทิตย์กลับเข้าสู่อวกาศ ดังนั้นการเลิกใช้กำมะถันในเชื้อเพลิงทางทะเลแบบเร่งด่วน ตั้งแต่ปี 2020 ส่งผลให้มีอนุภาคกำมะถันอยู่ในชั้นบรรยากาศลดลง และสะท้อนรังสีดวงอาทิตย์ได้น้อยลง

ถึงแม้ว่ากฎระเบียบเปลี่ยนเชื้อเพลิงของ IMO นี้ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้เทียบเท่ากับปริมาณก๊าซเรือนกระจกในอัตราปัจจุบันถึง 2 ปี แต่ก็ไม่ได้มากพอที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนในระยะยาว


โลกร้อนใกล้แตะ 1.5 องศาเซลเซียส

การค้นพบล่าสุดเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับรายงานหลายฉบับที่ออกในปี 2567 เช่น สถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัสของสหภาพยุโรป หรือ C3S เปิดเผยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ว่าเมื่อปี 2566 อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้น 1.48 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ทำให้ปี 2566 เป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์

ขณะที่ การวิเคราะห์โดยนักวิทยาศาสตร์ของ NASA ก็สรุปเช่นเดียวกันว่าอุณหภูมิโลกในปีที่แล้วร้อนกว่ายุคก่อนยุคอุตสาหกรรมอยู่ที่ประมาณ 1.2 องศาเซลเซียส

แม้ว่าทุกองค์กรจะใช้วิธีการที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาต่างเห็นพ้องกันว่าปี 2566 เป็นปีที่มีอุณหภูมิร้อนที่สุดในโลกในรอบ 50 ปี

?เห็นได้ชัดว่าเราควรดำเนินการให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยเร็วที่สุด เพราะภาวะโลกร้อน อาจจะเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด? ยาน เอสเปอร์ นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศจากมหาวิทยาลัยโยฮันเนสกูเทนแบร์ก ในเยอรมนี กล่าว

นักวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า โลกยังไม่ได้ถึงจุดจบหากอุณหภูมิเกินขีดจำกัด 1.5 องศาเซลเซียส แต่มันจะทำให้โลกเข้าใกล้หายนะมากยิ่งขึ้น การศึกษาขององค์การสหประชาชาติแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบนิเวศของโลกมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในช่วงภาวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น 1.5-2 องศาเซลเซียส

รวมถึงการสูญเสียแนวปะการังของโลก พันธุ์พืช และสัตว์ต่างๆ ตลอดจนน้ำแข็งในทะเลอาร์กติก ตลอดจนเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่รุนแรง และสร้างผลกระทบต่อชีวิต และทรัพย์สิน

ในเดือนพฤศจิกายน นี้ ผู้นำโลกจะรวมตัวกันเพื่อเข้าร่วมการประชุมสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ COP29 ในอาเซอร์ไบจาน ที่มุ่งเป้าไปที่การเพิ่มอุณหภูมิโลกให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม


ที่มา: AP News, Phys, Space


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1130060

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,546
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


"ขยะล้นเมือง" คนไทยสร้างขยะเฉลี่ย 7.3 หมื่นตัน/วัน

ปี 2566 ประเทศไทยมีขยะมูลฝอยเกิดขึ้นประมาณ 26.95 ล้านตัน หรือประมาณ 73,840 ตัน/วัน เฉลี่ยเท่ากับ 1.12 กิโลกรัม/คน/วัน กรุงเทพสูงสุด 12,748 ตัน/วัน ขณะที่ถูกกลับมาใช้ประโยชน์ 9.31 ล้านตัน



"ขยะมูลฝอย" อีกหนึ่งปัญหาที่สำคัญที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งหากได้รับการจัดการอย่างไม่ถูกต้อง จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดมลพิษในด้านต่าง ๆ อาทิ กลิ่นเหม็นน้ำเสีย สัตว์พาหะนำโรค รวมถึงการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศของโลก

ขยะ คือ เศษวัสดุสิ่งของ จากการใช้งานหรือการบริโภคแล้ว ที่ใช้ประโยชน์อื่นอีกไม่ได้ และต้องการทิ้ง ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้ว ที่เกิดจากกระบวนการผลิต การจำหน่าย การบริโภค และกิจกรรมอื่นของมนุษย์ ได้แก่ ขยะมูลฝอยชุมชน ของเสียอันตรายชุมชน กากของเสียอุตสาหกรรม มูลฝอยติดเชื้อ ขยะบรรจุภัณฑ์ ขยะพลาสติก ขยะอาหาร

ขยะมูลฝอยเป็นขยะที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชน เช่น บ้านพักอาศัย สถานประกอบการค้า แหล่งธุรกิจ ร้านค้า สถานบริการ ตลาดสด สำนักงาน แบ่งได้เป็น 4 ประเภท

1.ขยะอินทรีย์ จำพวกเศษอาหาร เศษใบไม้ เศษหญ้า
2.ขยะรีไซเคิลจำพวกแก้ว กระดาษ โลหะ พลาสติก อลูมิเนียม ยาง
3.ขยะอันตราย ไม่ว่าจะเป็นถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่ สารเคมี
4.ขยะทั่วไปจำพวกเศษผ้า เศษไม้ เศษวัสดุต่าง ๆ

จากรายงานสถานการณ์ขยะมูลฝอยชุมชนของประเทศไทยปี 2566 พบว่าประเทศไทยมีขยะมูลฝอยเกิดขึ้นประมาณ 26.95 ล้านตัน หรือประมาณ 73,840 ตัน/วัน เฉลี่ยเท่ากับ 1.12 กิโลกรัม/คน/วัน เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรตามทะเบียนราษฎร์ปี พ.ศ.2566 ทั้งนี้เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ประมาณร้อยละ 5 ที่มีปริมาณขยะมูลฝอย 25.70 ล้านตัน

สำหรับปริมาณขยะมูลฝอย ภาคกลางมีปริมาณขยะมูลฝอยสูงที่สุด 31,339 ตัน/วัน ซึ่งเป็นขยะมูลฝอยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มากที่สุด 12,748 ตัน/วัน

รองลงมาเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีปริมาณขยะมูลฝอย 17,873 ตัน/วัน ภาคใต้ 9,705 ตัน/วัน ภาคตะวันออก 7,073 ตัน/วัน ภาคเหนือ 4,582 ตัน/วัน และภาคตะวันตก 3,268 ตัน/วัน ซึ่งยังไม่นับขยะที่ตกค้างในแต่ละปีที่มีจำนวนนับหมื่นตันต่อปี

จังหวัดที่มีปริมาณขยะมูลฝอยมากที่สุด 5 อันดับแรกได้แก่

1.กรุงเทพมหานคร มีปริมาณขยะ 12,748 ล้านตัน/วัน
2. จ.สมุทรปราการ มีปริมาณขยะ 3,465 ล้านตัน/วัน
3. จ.ชลบุรี มีปริมาณขยะ 3,374 ล้านตัน/วัน
4. จ.นครราชสีมา มีปริมาณขยะ 2,588 ล้านตัน/วัน
5. จ.นนทบุรี มีปริมาณขยะ 2,065 ล้านตัน/วัน

ทั้งนี้เนื่องจากในปี 2566 ประเทศไทยได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังจากวิกฤติของการแพร่ระบาดของโควิด-19 และได้เปิดประเทศเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว แรงงาน และการลงทุน เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้การบริโภคของประเทศสูงเพิ่มมากขึ้นไปพร้อมกัน

นอกจากนี้จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบริโภค กระแสสั่งสินค้าและอาหารออนไลน์เพื่อความสะดวกสบาย ล้วนเป็นปัจจัยส่งผลให้มีปริมาณขยะมูลฝอยชุมชนและขยะพลาสติกเพิ่มมากขึ้น

สำหรับภาพรวมการจัดการขยะมูลฝอย ที่เกิดขึ้น 26.95 ล้านตัน ถูกกลับมาใช้ประโยชน์ 9.31 ล้านตัน ขยะมูลฝอยที่ถูกกำจัดถูกต้อง ร้อยละ 10.17 ล้านตัน และ ถูกกำจัดไม่ถูกต้อง 7.47 ล้านตัน

โดยกระบวนการซาเล้งและบ้านเรือนจะนำไปจำหน่ายให้กับร้านรับซื้อของเก่า ถือเป็นกลไกทำให้เศษพลาสติกและบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ จากบ้านเรือน อาคาร สำนักงาน และแหล่งกำเนิดต่าง ๆ ถูกนำกลับไปใช้ประโยชน์

ทั้งนี้ชุมชนยังคงมีปัญหาในการจัดการขยะมูลฝอย ณ ต้นทาง โดยการคัดแยกขยะมูลฝอยยังคง ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ เนื่องจากขยะบรรจุภัณฑ์บางประเภทมีราคารับซื้อต่ำหรือไม่มีการรับ ซื้อโดยร้านรับซื้อของเก่า ทำให้ประชาชนทิ้งรวมกับขยะอื่น ๆ เพื่อนำไปกำจัดซึ่งเกิดจากการที่ไม่มี เครื่องมือ กลไกที่จะให้ผู้ประกอบการรับผิดชอบสินค้าและผลิตภัณฑ์ของตนเอง อีกทั้งกฎหมายในปัจจุบันไม่มีผลบังคับให้ประชาชนคัดแยกขยะมูลฝอย

ส่วนสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยและสถานีขนถ่ายขยะมูลฝอยขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นและเอกชนทั่วประเทศ ปี พ.ศ. 2566 มีสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยที่เปิดดำเนินงาน ทั้งสิ้น 2,079 แห่ง และสถานีขนถ่ายขยะมูลฝอย 36 แห่ง

ซึ่งในส่วนสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยที่เปิดดำเนินงาน 2,079 แห่ง แบ่งเป็นสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยซึ่งดำเนินการได้อย่างถูกต้อง จำนวน 114 แห่ง เช่น การฝังกลบอย่างถูกหลักวิชาการ หรือการฝังกลบแบบกึ่งใช้อากาศ

การกำจัดโดยการเผาเพื่อผลิตพลังงาน การกำจัดโดยการเผาที่มีระบบบำบัดมลพิษอากาศ ระบบหมักทำปุ๋ยหรือหมักเพื่อผลิตก๊าซชีวภาพ ระบบผลิตเชื้อเพลิงขยะ จากการคัดแยกหรือการบำบัด แบบเชิงกล-ชีวภาพ และระบบผสมผสาน

สถานที่กำจัดขยะมูลฝอยซึ่งดำเนินการไม่ถูกต้อง อีกจำนวน 1,965 แห่ง ประกอบด้วย การเทกองที่มีการควบคุม การเทกอง การเผากลางแจ้ง การกำจัดโดยการเผาไม่มีระบบบำบัดมลพิษอากาศ และการกำจัดที่มีการเทกองหรือเทกองที่มีการควบคุมภายใน สถานที่กำจัดขยะมูลฝอย

สถานที่กำจัดขยะมูลฝอยและสถานีขนถ่ายขยะมูลฝอยที่เปิดดำเนินการ ทั้ง 2,115 แห่ง โดยจังหวัดที่มีจำนวนสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยและสถานีขนถ่าย ขยะมูลฝอยมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จ.ขอนแก่น 122 แห่ง จ.เชียงราย 115 แห่ง จ.ชัยภูมิ 102 แห่ง จ.แม่ฮ่องสอน 97 แห่ง และ จ.ลำปาง 85 แห่ง

อย่างไรก็ตาม ยังคงพบว่า ขยะอาหารและขยะพลาสติกถูกพบเป็นจำนวนมากและเป็นสัดส่วนหลัก ของปริมาณขยะมูลฝอยที่ถูกนำไปกำจัดในสถานที่กำจัดขยะมูลฝอย สะท้อนให้เห็นว่าระบบการคัดแยก ขยะมูลฝอยยังคงไม่มีประสิทธิภาพเพียงพออาจทำให้เกิดปัญหาต่อระบบการกำจัดขยะมูลฝอย ซึ่งจะส่งผลให้สถานที่กำจัดขยะมูลฝอยหลายแห่งเต็มเร็วกว่ากำหนดหรือเกินกว่าศักยภาพในการรองรับ

แนวทางในการช่วยกันลดขยะ ทุกภาคส่วน รวมถึงคนไทยทุกคน ต้องลงมือปฏิบัติไปพร้อมกัน ใช้น้อยหรือลดการใช้ โดยใช้เท่าที่จำเป็น และเลือกซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ใช้ถุงผ้าไปซื้อของแทนถุงพลาสติก การใช้แก้วน้ำส่วนตัว ลดปริมาณเศษอาหาร รวมถึงการลดการใช้กล่องโฟม


https://www.thaipbs.or.th/news/content/340722

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:05


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger