#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยเริ่มมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 26 ? 27 มิ.ย. 67 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยด้านตะวันตก และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ส่วนในช่วงวันที่ 28 มิ.ย. ? 2 ก.ค. 67 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนฟ้าคะนอง กับมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคตะวันออก ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อนลง โดยทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 26 - 27 มิ.ย. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วยตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
'เชื้อเพลิงฟอสซิล' ถูกใช้เพิ่มขึ้นดัน 'ก๊าซคาร์บอน' พุ่ง โลกร้อนกว่าเดิม .......... โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล KEY POINTS - ปี 2023 มีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้น 2.1% ส่งผลให้มีปริมาณก๊าซคาร์บอนทะลุ 40,000 ล้านเมตริกตันเป็นครั้งแรก โดยการบริโภคน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซทั่วโลกเพิ่มขึ้น 1.5% - ขณะเดียวกันมีการใช้พลังงานหมุนเวียน และพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ก็ยังมีไม่มากพอที่จะตอบสนองความต้องการพลังงานทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น - ประเทศกำลังพัฒนาที่ยังต้องพึ่งเชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วมีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลลดลง ปี 2023 โลกบริโภคน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซในปริมาณมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ ?ก๊าซเรือนกระจก? ที่ทำให้โลกร้อนมีปริมาณพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุด ทำลายความหวังของนักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศที่พยายามรักษาไม่ให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส รายงานล่าสุดของสถาบันพลังงาน (EI) องค์กรวิชาชีพวิศวกร และผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ ในสาขาที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน พบว่า ในปี 2023 มีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้น 2.1% ส่งผลให้มีปริมาณก๊าซคาร์บอนทะลุ 40,000 ล้านเมตริกตันเป็นครั้งแรก สะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์ไม่ได้พยายามหยุดใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลเลย แม้ว่าผลกระทบของวิกฤติสภาพภูมิอากาศจะรุนแรง และเป็นอันตรายถึงชีวิตมากขึ้นก็ตาม "คลื่นความร้อน" ที่รุนแรงกว่าที่สุดในรอบหลายทศวรรษพัดถล่มมาแล้วทั่วโลก เริ่มตั้งแต่เดือเม.ย.ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และแอฟริกา และในตอนนี้กำลังแผ่ขยายพื้นที่ส่วนใหญ่ของสหรัฐ และยุโรป ทำให้เกิดไฟป่า พายุ และน้ำท่วมร้ายแรงในหลายพื้นที่ ในขณะเดียวกัน รายงานพบว่าในปี 2023 มีการใช้พลังงานหมุนเวียน และพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ความต้องการพลังงานทั่วโลกก็เติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน จนจำเป็นต้องใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเข้ามาเติมเต็ม จูเลียต ดาเวนพอร์ต ประธานสถาบันพลังงานกล่าวว่า "ปีที่ผ่านมาเป็นอีกปีที่โลกต้องการพลังงานมากที่สุด พลังงานเป็นศูนย์กลางของความก้าวหน้าของมนุษย์ และตอนนี้มันกลายเป็นศูนย์กลางในการเอาชีวิตรอดของเราด้วย" ประเทศกำลังพัฒนาบริโภคเชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้น ในปี 2023 การบริโภคน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซทั่วโลกเพิ่มขึ้น 1.5% โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก รายงานระบุว่าเมื่อปีที่แล้ว โลกทำลายสถิติการบริโภคน้ำมันมากกว่า 100 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็นครั้งแรก โดยสหรัฐยังคงเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุด มีผลผลิตเพิ่มขึ้น 8% หากเทียบสัดส่วนการใช้พลังงานโดยรวม พบว่า พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลยังคงเป็นแหล่งพลังงานหลักของโลก โดยในปี 2023 ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลสูงถึง 81.5% ลดลงเพียง 0.5% จากปี 2022 ซึ่งการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้นอย่างมากในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ปริมาณการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลของอินเดียเพิ่มขึ้น 8% ในปี 2022 และเป็นครั้งแรกที่อินเดียใช้ถ่านหินมากกว่าจำนวนที่ทวีปยุโรป และอเมริกาเหนือรวมกัน ขณะที่ประเทศจีนมีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มสูงขึ้นเพิ่มขึ้น 6% เป็นผลมาจากการสิ้นสุดมาตรการล็อกดาวน์ช่วงโควิด-19 ทำให้ธุรกิจ และอุตสาหกรรมต่างๆ กลับมาฟื้นตัว อย่างไรก็ตามสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลโดยรวมของประเทศกำลังลดลง เพราะจีนยังคงเพิ่มการลงทุนในการผลิตพลังงานหมุนเวียนจำนวนมหาศาลอย่างต่อเนื่อง นิค เวย์ธ ผู้บริหารระดับสูงของสถาบันพลังงานกล่าวเสริมว่าการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานกำลังเกิดขึ้นช้าเกินไปในหลายภูมิภาค "ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เราสังเกตเห็นสัญญาณของความต้องการเชื้อเพลิงฟอสซิลถึงจุดสูงสุดแล้ว ตรงกันข้ามกับประเทศกำลังพัฒนาที่ยังต้องพึ่งเชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น" เวย์ธ กล่าว ประเทศพัฒนาแล้วเริ่มใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลลดลง การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมีแนวโน้มที่จะถึงจุดสูงสุด และเริ่มลดลง ในสหรัฐมีสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลลดลงเหลือ 80% ของพลังงานที่ใช้ทั้งหมด ขณะที่ในยุโรปมีการใช้ เชื้อเพลิงฟอสซิลคิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 70% และถือเป็นครั้งแรกที่มีตัวเลขลดลงในระดับนี้นับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นเพราะความต้องการที่ลดลง และการหันไปใช้พลังงานหมุนเวียน นับตั้งแต่เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครนในปี 2022 ทำให้ยุโรปเลิกพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย ตามรายงานพบว่าในปี 2023 ความต้องการก๊าซของยุโรปโดยรวมลดลง 7% หลังจากลดลง 13% ในปี 2022 ก่อนหน้า รายงานระบุว่าการผลิตพลังงานจากพลังงานหมุนเวียน (ไม่รวมไฟฟ้าพลังน้ำ) เพิ่มขึ้น 13% เป็นผลมาจากคนเริ่มหันมาใช้พลังงานลม และแสงอาทิตย์เพิ่มมากขึ้น แต่พลังงานหมุนเวียนก็ยังมีไม่มากพอที่จะตอบสนองความต้องการพลังงานทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น 2% ในปี 2023 "ในปีที่ผ่านมาพลังงานหมุนเวียนมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นปีที่มีการผลิตพลังงานหมุนเวียนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ความต้องการพลังงานทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เชื้อเพลิงฟอสซิลยังคงมีบทบาทสำคัญ แทบไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย" -ไซมอน วาร์ลีย์ รองประธานและหัวหน้าฝ่ายพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติของบริษัท KPMG ผู้ร่วมเขียนรายงานกล่าว ขณะที่ เดฟ โจนส์ ผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลเชิงลึกระดับโลกของกลุ่มนักคิดด้านสภาพอากาศ Ember กล่าวว่า นี่เป็นสัญญาณเตือนให้รัฐบาลตื่นตัว "โลกยังคงหิวกระหายพลังงานเช่นเคย พลังงานหมุนเวียนจำเป็นต้องถูกนำมาใช้เพิ่มขึ้นให้มากกว่าการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล พร้อมจับตาดูการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองให้น้อยลง" เขากล่าวกับ CNN เพื่อจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส จากก่อนยุคอุตสาหกรรม ตามข้อตกลงปารีสเมื่อปี 2015 โลกจำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงครึ่งหนึ่งภายในสิ้นทศวรรษนี้ ที่มา: CNN, Financial Times, Reuters, The Guardian https://www.bangkokbiznews.com/environment/1133122
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
เตือน ! แมงกะพรุนหัวขวดโผล่ทะเลภูเก็ตโดนพิษเจ็บ 3 คน เตือน " แมงกะพรุนหัวขวด" พิษร้ายถึงตายถ้าสัมผัส พบโผล่ทะเลภูเก็ตบริเวณอ่าวหลา อ่าวทือ เกาะราชาใหญ่ จ.ภูเก็ต มีคนเรือและนักดำน้ำโดนพิษบาดเจ็บ 3 คน วันนี้ (26 มิ.ย.2567) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) แจ้งเตือนจ้งพบแมงกะพรุนหัวขวด (Physalia sp.) บริเวณอ่าวหลา อ่าวทือ เกาะราชาใหญ่ จ.ภูเก็ต ขอให้นักท่องเที่ยว และผู้ทำกิจกรรมทางทะเลในบริเวณดังกล่าวระมัดระวัง เนื่องจากแมงกะพรุนหัวขวด เป็นแมงกระพรุนพิษร้ายแรง ให้ระวังการสัมผัส หากโดนแมงกะพรุนดังกล่าวเข้าไปจะทำให้มีอาการปวดแสบปวดร้อน อาจส่งผลต่อระบบผิวหนัง ระบบประสาทหัวใจและอาจเสียชีวิตได้ กรณีหากโดนสัมผัสควรใช้วัสดุแข็งเขี่ยหนวดออกจากร่างกาย ห้ามใช้มือสัมผัสโดยตรง และห้ามนวดหรือทายาใด ๆ ใช้น้ำส้มสายชูราดบริเวณที่สัมผัสอย่างต่อเนื่อง ไม่น้อยกว่า 30 วินาที และห้ามใช้น้ำจืดในการล้างแผลโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้พิษกระจายเร็วขึ้น และรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ล่าสุดรับแจ้งจากบริษัท ซีฟาร์เรอร์ ไดเวอร์ ภูเก็ต จำกัด พบเจ้าหน้าที่เรือ 1 คนได้รับบาดเจ็บ หายใจติดขัด ปัจจุบันนำส่งถึงโรงพยาบาล อาการปลอดภัยแล้ว รวมทั้งนักดำน้ำ 2 คน โดยขณะนี้มีการติดตั้งป้ายเตือนภัยบริเวณชายหาดที่พบแมงกระพรุนหัวขวดแล้ว ขณะที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จัดทำแอปพลิเคชัน Marine Warning Application on Mobile ระบบเตือนภัยท่องเที่ยวทางทะเล (Marine Tourism Warning System) เป็นระบบแจ้งเตือนภัยนักท่องเที่ยวหรือประชาชนในพื้นที่ใกล้จุดเกิดเหตุ ในการเฝ้าระวังและรวบรวมสถิติการเกิดปรากฏการณ์ภัยทางทะเล เช่น น้ำทะเลเปลี่ยนสี คลื่นย้อนกลับ ปัญหาคราบน้ำมัน จุดที่พบแมงกะพรุนพิษ และการกัดเซาะชายฝั่งในรูปแบบ Web Application และ Mobile Application โดยมีเมนูการใช้งาน ประกอบด้วย แสดงจุดเตือนภัยตามพิกัดที่เกิดเหตุในรัศมีที่กำหนด ระบบแจ้งเตือนบนมือถือ (Notification) พร้อมให้ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับระบบรับแจ้งเหตุฉุกเฉินเกี่ยวกับภัยพิบัติทางทะเลและชายฝั่ง https://www.thaipbs.or.th/news/content/341402
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|