เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 17-07-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,798
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 17 กรกฎาคม 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือ เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ อ่าวไทย ภาคกลาง และภาคตะวันออกมีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักมากบางแห่งในบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มในระยะนี้ไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่าง มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่งในระยะนี้ไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 17 ? 18 ก.ค. 67 ร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ อ่าวไทย ภาคกลาง และภาคตะวันออกมีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักมากบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก

ส่วนในช่วงวันที่ 19 ? 22 ก.ค. 67 ร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง

ในช่วงวันที่ 17 ? 19 ก.ค. 67 คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 2 ? 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองและห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 20 ? 22 ก.ค. 67 คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง โดยทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่าง มีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองและห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 17 ? 19 ก.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 17 ? 19 ก.ค. 67



******************************************************************************************************



ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทย และคลื่นลมแรงบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย ฉบับที่ 10 (135/2567) (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 17?19 กรกฎาคม 2567)


ร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือ เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ อ่าวไทยภาคกลาง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ และมีฝนตกหนักมากบางแห่งขอให้ประชาชนในบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

จังหวัดที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง มีดังนี้


ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2567

ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู ชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี

ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง ลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี และราชบุรี รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา และภูเก็ต


ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2567

ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย พิษณุโลก กำแพงเพชร พิจิตร และเพชรบูรณ์

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี

ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี และราชบุรี รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา และภูเก็ต


ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2567

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดหนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร นครพนม มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี

ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี และตราด

ภาคใต้: จังหวัดระนอง และพังงา

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่าง ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ส่วนเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 17-19 ก.ค. 67









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 17-07-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,798
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


อึ้ง วาฬหายากที่สุดในโลก ถูกซัดเกยตื้นตายบนหาดนิวซีแลนด์



นักวิทยาศาสตร์ยืนยัน ซากวาฬปริศนาที่พบเกยตื้นตายที่นิวซีแลนด์เมื่อช่วงต้นเดือน คือวาฬสายพันธุ์หายากที่สุดในโลก ซึ่งยังไม่เคยมีใครเห็นตอนมีชีวิตมาก่อน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 16 ก.ค. 2567 ว่า นักวิทยาศาสตร์ของประเทศนิวซีแลนด์ยืนยันว่า ซากวาฬปริศนาความยาว 5 เมตร ซึ่งถูกพบเกยตื้นตายบริเวณชายหาดใกล้ปากแม่น้ำ 'ไทอารี' (Taiari) ในภูมิภาคโอตาโก ทางตอนใต้ เมื่อ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา เป็นซากของ วาฬฟันจอบ (spade-toothed whale) สายพันธุ์หายากซึ่งไม่มีใครเคยเห็นตอนมันยังมีชีวิตมาก่อน

ตัวตนของซากวาฬปริศนานี้ ได้รับการยืนยันโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล จากสำนักงานอนุรักษ์แห่งนิวซีแลนด์ และพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ?เต ปาปา? (Te Papa) โดยใช้วิธีตรวจสอบจากสีของลวดลาย, รูปทรงของกะโหลก, จงอยปาก และ ฟัน ก่อนจะพบว่า มันคือวาฬฟันจอบเพศผู้

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการตรวจสอบรหัสพันธุกรรม หรือ ดีเอ็นเอ โดยซากวาฬถูกเก็บในตู้แช่เย็น และตัวอย่างก็ถูกส่งไปยังมหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลหน่วยเก็บข้อมูลเนื้อเยื่อสัตว์จำพวกวาฬแห่งนิวซีแลนด์แล้ว เพื่อยืนยันตัวตนของมันเป็นขั้นสุดท้าย

แต่พวกเขาอาจต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน เนื่องจากในโลกนี้มีตัวอย่างวาฬฟันจอบถูกพบน้อยมาก และนักวิทยาศาสตร์ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับมันไม่มากนัก

"วาฬฟันจอบเป็นหนึ่งในสายพันธุ์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่รู้จักน้อยที่สุดในโลกยุคสมัยใหม่" ดร.เกบ เดวีส ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการชายฝั่งโอตาโก ของสำนักงานอนุรักษ์ของนิวซีแลนด์ กล่าว "นับตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1800 มีตัวอย่างวาฬสายพันธุ์นี้ถูกบันทึกไว้เพียง 6 ตัวทั่วโลก และ 5 จากทั้งหมดพบที่นิวซีแลนด์"

อนึ่ง การมีอยู่ของวาฬฟันจอบถูกบันทึกไว้เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1874 หลังมีการค้นพบกรามล่าง ซึ่งมีฟัน 2 ซี่ ของวาฬปริศนา ที่เกาะแชทัม ก่อนจะมีการพบกะโหลกอีก 2 ชิ้นนอกเกาะของนิวซีแลนด์กับชิลี ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถยืนยันได้ว่า นี่เป็นวาฬสายพันธุ์ใหม่

จากนั้นจึงมีการพบซากวาฬสายพันธุ์นี้ 2 ตัว เกยตื้นตายบนเกาะนอร์ท ของนิวซีแลนด์ ในปี 2553 และ 2560 แต่ซากวาฬเหล่านั้นเน่าเปื่อยอย่างหนักแล้ว

สำนักงานอนุรักษ์บอกอีกว่า ซากวาฬฟันจอบที่ถูกพบล่าสุดนี้ สมบูรณ์มากพอให้นักวิทยาศาสตร์มีโอกาสได้ผ่าชันสูตรเป็นครั้งแรก ซึ่งมันอาจช่วยให้พวกเขาคนพบข้อมูลใหม่ๆ ที่สำคัญเกี่ยวกับวาฬสายพันธุ์นี้

ที่มา : bbc


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2801217

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 17-07-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,798
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


พัฒนาเพาะเลี้ยงปลิงขาว ขยายการผลิตเชิงพาณิชย์



"ปลิงขาว" (Holothuria scabra) มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยโปรตีนและคอลลาเจน จึงนิยมนำมาปรุงอาหารบริโภค และใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตยาและอาหารเสริม

สำหรับประเทศไทยมีการจับปลิงขาวจากธรรมชาติขึ้นมาใช้ประโยชน์ในปริมาณมาก ทั้งเพื่อการบริโภคภายในประเทศและส่งออกต่างประเทศ

แม้กรมประมงจะสามารถเพาะพันธุ์ได้ตั้งแต่ปี 2551 เพื่อปล่อยเพิ่มปริมาณในแหล่งน้ำธรรมชาติ แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ประโยชน์ จึงได้มีการพัฒนารูปแบบการเพาะเลี้ยงเพื่อส่งเสริมให้เกิดการประกอบอาชีพ พร้อมขยายการเลี้ยงสู่การผลิตเชิงพาณิชย์

สัปดาห์ที่ผ่านมา กรมประมงได้ประชุมเสวนาในหัวข้อ "ผลสัมฤทธิ์โครงการขยายผลเทคนิคการอนุบาลและการเลี้ยงปลิงขาวสู่การผลิตเชิงพาณิชย์" เพื่อหนุนสร้างเครือข่ายและขยายผลการเพาะเลี้ยงให้เกษตรกรในวงกว้าง เพื่อรองรับความต้องการของธุรกิจร้านอาหาร-โรงแรมในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

หลังจากได้ดำเนินการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคนิคการเพาะเลี้ยงให้เกษตรกรในพื้นที่ 4 จังหวัด ประกอบด้วย พังงา กระบี่ ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช จำนวน 3 หลักสูตร ไปเมื่อปีที่แล้ว

และจากการติดตามผลการเพาะพันธุ์ อนุบาล และเลี้ยงปลิงขาวของเกษตรกรที่เข้ารับการถ่ายทอดความรู้ ปรากฏว่า

หลักสูตรที่ 1 เทคนิคการเพาะพันธุ์และอนุบาลลูกปลิงขาวระยะว่ายน้ำ (auricularia) ในโรงเพาะฟักมีเกษตรกร 1 ราย สามารถเพาะพันธุ์และอนุบาลลูกปลิงขาวได้

หลักสูตรที่ 2 เทคนิคการอนุบาลลูกปลิงขาวระยะก่อนลงเกาะ (doliolaria) จนได้ปลิงขาวระยะวัยรุ่นในโรงเพาะฟัก มีเกษตรกร 5 ราย สามารถอนุบาลลูกปลิงขาวจากระยะก่อนลงเกาะ จนได้ลูกปลิงขาวระยะวัยรุ่น

และหลักสูตรที่ 3 เทคนิคการเลี้ยงปลิงขาวในบ่อดิน มีเกษตรกร 5 ราย สามารถเลี้ยงปลิงขาวในบ่อดิน จนได้ปลิงขาวน้ำหนัก 100-300 กรัม

จากผลสำเร็จของโครงการ กรมประมงเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของเกษตรกรไทย จะสามารถเร่งผลักดันให้เกิดการเลี้ยงปลิงขาวสู่เกษตรกรในเชิงพาณิชย์ได้ในไม่ช้า และจะส่งผลให้ "ปลิงขาว" ขึ้นแท่นเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจทางเลือกใหม่ในอนาคตได้อย่างแน่นอน.


https://www.thairath.co.th/news/local/2801107

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 17-07-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,798
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


เสียงสะท้อนจาก "แหลมริ่ว" เอา-ไม่เอา "ท่าเรือแลนด์บริดจ์"
........ เรียบเรียง : ติชิลา พุทธสาระพันธ์ ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส ศูนย์ข่าวภาคใต้



เสียงสะท้อนชุมชนประมง แหลมริ่ว จ.ชุมพร เอาไม่เอาท่าเรือในโครงการชุมพร-ระนองแลนด์บริดจ์

วันนี้ (16 ก.ค.2567) นายอรุณ จันทร์หอม ชาวบ้านหมู่ 4 บ้านบางหยี ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน จ.ชุมพร ยังคงเร่งมือหมาดอวนปู ก่อนนำไปวางในทะเลที่อยู่ไม่ห่างจากบ้านมากนัก ซึ่งบางเดือนในช่วงที่ปูสมบูรณ์ ก็จะมีรายได้จากการจับปูนับพันบาท

ซึ่งแม้ว่าอีกไม่นานพื้นที่บริเวณหาดแหลมริ่ว ใน ต.บางน้ำจืด แห่งนี้ จะถูกพัฒนาท่าเรือขึ้นแต่สำหรับนายอรุณไม่กังวลมากนัก เพราะตัวแทนภาครัฐรับปากว่า จะชดเชยให้ทั้งค่าเรือลำละ 20,000-25,000 บาท และช่วยเหลือเป็นเงินเดือนตลอดระยะเวลาในการดำเนินโครงการนี้

"เขาก็ชดเชย เขาก็มาสำรวจแล้วว่า จะให้เดือนละเท่าไหร เขาก็จะให้ แต่ก็ยังไม่ชัดเจนนะ รู้ว่าจะให้สามเท่าตัว เขาก็ให้เดือนหนึ่งประมาณ 2 หมื่นกว่า หรือ 3 หมื่น ต่อเดือน" นายอรุณ กล่าว

จุดที่โครงการพัฒนาท่าเรือหาดแหลมริ่ว พาดผ่านหลัก คือ บริเวณ หมู่ 4 บ้านบางหยี ซึ่งโครงการนี้เป็นหนึ่งในหลายโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ ที่เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือ โครงการแลนด์บริดจ์


ซึ่งเครือข่ายกลุ่มรักษ์พะโต๊ะ เห็นว่า ในช่วง 3 วันที่ทางสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้เปิด 6 เวที เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนครั้งที่ 2 เป็นความตั้งใจที่จะแยกโครงการต่าง ๆ ออกจากกัน ทำให้ชาวบ้านไม่ทราบถึงผลกระทบโดยภาพใหญ่ของโครงการชุมพร-ระนองแลนด์บริจด์

และไม่ได้ให้ข้อมูลถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตของชาวบ้าน และยังตั้งข้อสังเกตถึงความพยายามผลักดันโครงการนี้ที่อาจมีการเมืองอยู่เบื้องหลัง

"รัฐแยกทำประชาพิจารณ์โครงการเป็นจุด ๆ แต่ไม่พูดความจริงว่า นี่คือโครงการขนาดใหญ่มาก ที่จะกระทบกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน ยกตัวอย่าง ทางรถไฟบอกว่า ตัวเองจะใช้พื้นที่ขนาดแค่นี้ ส่วนมอเตอร์เวย์ที่ยังไม่มา แต่อยู่ในแผน ก็จะเอาเนื้อที่เพิ่มอีก แล้วผลกระทบทั้งหมด ชาวบ้านก็จะมองไม่เห็นภาพรวมเลย และเป็นที่น่าสังเกต ว่าที่มีความพยายามผลักดันกฎหมายให้รองรับโครงการนี้ โดยพรรคการเมืองหนึ่งเท่านั้น" สมโชค จุงจาตุรัตน์ เครือข่ายกลุ่มรักษ์พะโต๊ะ กล่าว


หนึ่งในข้อกังวลของการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น 2 เวทีแรก ของสนข. ทั้งที่หมู่ 1 บ้านปากน้ำตะโก ต.ปากตะโก และในหมู่ 4 ต.บางน้ำจืด วันนี้คือ ในส่วนงานถมทะเลกว่า 5,800 ไร่

ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม บริษัทที่ปรึกษา ซึ่งเป็นตัวแทน สนข.ชี้แจงว่า ได้นำข้อห่วงใยใน 25 ประเด็น เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมาปรับแก้ และมีแนวทางป้องกัน พร้อมทั้งการเยียวยาที่จะมีกองทุนเข้ามาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบตลอดโครงการนี้

"มีคนถามว่า อยู่ห่างจากโครงการไปประมาณ 5 กิโลเมตร ถ้าคณะกรรมการจัดการกองทุนเห็นว่ามันได้รับผลกระทบ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของชาวบ้านบริเวณนี้ เราก็เอาเงินกองทุนตรงนี้ไปเยียวยา" น.ส.ศุภรัตน์ โชติสกุลรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม บริษัทที่ปรึกษา ตัวแทน สนข.กล่าว

โครงการพัฒนาท่าเรือบริเวณแหลมริ่ว จะมีการก่อสร้างท่าเทียบเรือชั่วคราว ใน ต.บางน้ำจืด ขนาดหน้าท่ายาว 240 เมตร จอดเรือขนาดความยาว 70 เมตรได้ 3 ลำ มีการขุดลอกประมาณ 130 ล้านลูกบาศก์เมตร มีงานก่อสร้างเขื่อนกันคลื่น และงานถมทะเลขนาดพื้นที่ 5,808 ไร่ ซึ่งคาดว่า ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 12 ปี โดยจะเริ่มดำเนินการในปี 2569

อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการก่อสร้าง เช่น คุณภาพของน้ำทะเล ที่อาจมีความขุ่น และโลหะหนักจากตะกอนที่ฟุ้งกระจาย ผลกระทบต่อทรัพยากรชีวภาพทางทะเล และปริมาณสัตว์น้ำที่อาจลดลง

ซึ่งทาง สนข.ชี้แจงถึงแนวทางจัดการ เช่น การติดตั้งม่านกั้นตะกอนล้อมรอบที่ทำการขุดลอก และตอกเสาเข็ม หรือ การจัดทำแผนกำจัดน้ำมันกรณีการเกิดการรั่วไหล ทั้งนี้ สนข.จะเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นกลุ่มย่อยใน จ.ชุมพร และระนอง รวม 5 เวทีตลอดสัปดาห์นี้


https://www.thaipbs.or.th/news/content/342088
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 17-07-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,798
Default

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


เมื่อวาฬทั้งฝูงกว่า 77 ตัวตาย จะจัดการกับซากพวกมันอย่างไร?
.......... โดย จอร์จีนา เดวีส์ บีบีซี สกอตแลนด์ นิวส์



กระบวนการอันน่าสลดในการกำจัดซากสัตว์ขนาดใหญ่ที่ตายบนชายหาดในสกอตแลนด์กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง หลังจากที่ฝูงวาฬนำร่องทั้งฝูงเกยตื้นที่หมู่เกาะออร์คนีย์

ในจำนวนนี้มีเพียง 12 ตัวจาก 77 ตัวที่ยังมีชีวิตอยู่

ตอนที่ฝูงวาฬเกยตื้นที่ชายหาดเทรสเนส บนเกาะแซนเดย์ มีวาฬเพียง 12 ตัว จาก 77 ตัว ที่ยังมีชีวิตอยู่ ทว่าสุดท้ายพวกมันถูกทำการุณยฆาตเมื่อความพยายามในการนำพวกมันกลับสู่ทะเลล้มเหลว

เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นการเกยตื้นครั้งใหญ่ที่สุดของวาฬในสกอตแลนด์ในรอบหลายทศวรรษ

สภาหมู่เกาะออร์คนีย์กล่าวว่า มีการหารือกับตัวแทนชุมชนเกี่ยวกับวิธีการกำจัดซากวาฬที่ดีที่สุด

หากพบวาฬที่เกยตื้นยังมีชีวิตอยู่ จะมีการประเมินเพื่อดูว่าจะสามารถนำพวกมันกลับสู่ทะเลได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ ถ้าไม่สามารถทำได้ พวกมันก็จะถูกทำการุณยฆาตและชันสูตรซาก

โครงการติดตามการเกยตื้นของสัตว์ทะเลในสกอตแลนด์ (SMASS) เป็นผู้รับผิดชอบกระบวนการเหล่านี้

ดร. บราวน์โลว์ ผู้อำนวยการของ SMASS ได้พูดคุยกับบีบีซีหลังจากที่วาฬมิงก์ยักษ์ตัวหนึ่งเกยตื้นที่นอร์ทเบอร์วิค ในอีสต์โลเธียนเมื่อปีที่แล้ว

ตอนนั้นวาฬขนาด 9 เมตร ตายลง หลังจากมันชนเข้ากับหินและเกยตื้น

ดร. บราวน์โลว์กล่าวว่าการชันสูตรซากสามารถเปิดเผยข้อมูลมากมายเกี่ยวกับชีวิตของวาฬและสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการเสียชีวิตของมัน

เขาได้อธิบายถึงตัวเลือกบางอย่างที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสามารถใช้ได้เพื่อทำการกำจัดซากวาฬ


เก็บกระดูกไว้ในพิพิธภัณฑ์

ดร. บราวน์โลว์ กล่าวว่า การตัดสินใจเลือกวิธีการกำจัดซากวาฬต้องพิจารณาความต้องการที่แตกต่างกัน

เขากล่าวว่า "คุณจำเป็นต้องนำซากวาฬที่ตายออกจากชายหาดสาธารณะเพื่อไม่ให้มันสร้างความทุกข์ใจให้กับผู้คนหรือปล่อยให้ของเหลวและไขมันจากร่างของวาฬออกมาสู่สิ่งแวดล้อม ซึ่งมันไม่เป็นอันตรายเท่าไหร่หรอก แต่ก็ไม่พึงประสงค์"

"จริง ๆ แล้วมีโรคไม่กี่ชนิดที่เราพบ ที่สามารถแพร่กระจายจากซากวาฬที่ตายแล้ว และเราได้ค้นคว้าอย่างละเอียด"

ตัวเลือกการกำจัดซากวาฬประกอบด้วย การนำซากวาฬไปยังสถานที่ฝังกลบ การฝังบนชายหาด หรือการเผาแบบบางส่วน

"เรานำซากของวาฬไปยังห้องปฏิบัติการของเราเพื่อทำการชันสูตร" ดร. บราวน์โลว์ กล่าวเสริม

"โครงกระดูกมักจะถูกตรวจสอบจากพิพิธภัณฑ์สกอตแลนด์และเพิ่มเข้าไปในคอลเล็กชันของพวกเขา"

"ส่วนชิ้นเนื้อจะถูกกำจัดในลักษณะเดียวกับซากสัตว์ที่ล้มตายจากฟาร์ม"


กลับสู่ทะเล

ในกรณีของวาฬ 55 ตัว ที่เกยตื้นบนเกาะลูอิสในเดือน ก.ค. 2023 ซากวาฬเหล่านั้นถูกนำไปฝังที่หลุมฝังกลบ เนื่องจากชายหาดบนเกาะลูอิสเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ดร.บราวน์โลว์ กล่าวว่า การนำซากวาฬกลับคืนสู่สิ่งแวดล้อมทางทะเลให้มากที่สุดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อ "การหมุนเวียนของสารอาหาร"

"การนำซากวาฬออกจากชายหาดและสิ่งแวดล้อมทางทะเลแล้วเผาหรือฝังกลบ จริง ๆ แล้วเป็นการปล้นแหล่งสารอาหารที่สำคัญของสิ่งแวดล้อมทางทะเล" เขากล่าว

ซากวาฬมีสารอาหารที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น แมงกานีส ฟอสฟอรัส เหล็ก และสังกะสี

"คุณไม่ต้องการปริมาณที่มาก แต่สารเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกระบวนการในระดับเซลล์" ดร. บราวน์โลว์ กล่าวเสริม

"สิ่งนี้เรียกว่า "whale fall" [อาจแปลเป็นภาษาไทยว่า "การร่วงหล่นของวาฬ"] ส่วนใหญ่จะใช้กับสัตว์ที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรระดับลึก ตอนที่พวกมันตายและจมลงสู่ก้นมหาสมุทร พวกมันจะกลายเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่สามารถสนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมหาศาล"

เขากล่าวว่าฉลามและสัตว์กินซากอื่น ๆ จะมากินเนื้อของวาฬ ขณะที่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอื่น ๆ เช่น หนอน จะกินโครงกระดูก


ฝังบนชายหาด

อีกวิธีหนึ่งในการนำวาฬกลับคืนสู่สิ่งแวดล้อมคือการฝังซากวาฬบนชายหาด

"เราสามารถฝังมันในพื้นที่ได้และมักจะประสบความสำเร็จมาก แม้ว่าจะต้องสร้างสมดุลกับการไม่สร้างความรำคาญให้สาธารณชนจากการมีซากสัตว์บนชายหาดที่ใช้เป็นสถานที่พักผ่อน" เขากล่าว

ดร. บราวน์โลว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในบางสถานการณ์วาฬที่เกยตื้นสามารถถูกลากกลับลงทะเลได้ แม้ว่าจะต้องวางตำแหน่งอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นอันตรายต่อการเดินเรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อซากของวาฬขนาดใหญ่จะยังคงลอยในทะเลได้อยู่

ชะตากรรมของซากวาฬมักขึ้นอยู่กับสองปัจจัย ได้แก่ ขนาดของมันและสถานที่ที่มันเกยตื้น

"วาฬขนาดใหญ่มากบางตัว เช่น วาฬฟิน (Fin) และวาฬเซอิ (Sei) หากพวกมันเกยตื้นบนเกาะที่ห่างไกล เราปล่อยให้มันย่อยสลายตามธรรมชาติได้" ดร.บราวน์โลว์ กล่าว

"ความไวของสัตว์กินซากเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก โดยเฉพาะนก พวกมันสามารถกินซากจากวาฬได้มากมาย และภายในหนึ่งปีหรือมากกว่านั้นจะเหลือไว้เพียงกระดูกที่สะอาดมากและระบบนิเวศทางทะเลที่ดีมาก"

โครงการ SMASS ก่อตั้งขึ้นเพื่อทำความเข้าใจสาเหตุของการเกยตื้นสำหรับวาฬ โลมา วาฬเพชฌฆาต แมวน้ำ ฉลามขนาดใหญ่ และแม้แต่เต่าทะเล

ดร.บราวน์โลว์ กล่าวว่า เขาเชื่อว่าวาฬมิงก์ที่เกยตื้นในนอร์ธเบอร์วิคถูกนำไปยังหลุมฝังกลบเพื่อกำจัด

"พูดตามตรงมันค่อนข้างน่าเศร้า" เขากล่าว "ผมเคยไปที่หลุมฝังกลบเพื่อทำการชันสูตรซากและมันเป็นจุดจบที่น่าหดหู่สำหรับสัตว์ที่งดงามเช่นนี้"

"มันเป็นการสิ้นสุดที่เหมาะสมสำหรับสัตว์เหล่านี้ มากกว่าจะเป็นการสิ้นสุดที่แท้จริงที่ต้องการ ทั้งจากมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ที่ต้องทำการวิจัยเกี่ยวกับพวกมัน และในแง่ของการให้ความเคารพต่อสัตว์ด้วย"


https://www.bbc.com/thai/articles/c0xjdgdnze5o

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:57


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger