#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคตะวันออก ทั้งนี้เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้นเป็นปานกลาง ในขณะที่ร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณภาคเหนือตอนบนและประเทศลาวเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบน และอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากในช่วงระหว่างบ่ายถึงค่ำ อุณหภูมิต่ำสุด 27-29 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 12 ? 14 ส.ค. 67 ร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ และประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับในช่วงวันที่ 15 ? 17 ส.ค. 67 ร่องมรสุมกำลังปานกลางจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ตลอดช่วง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนบริเวณทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วยตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
นักท่องเที่ยวพบลูกพะยูนเกยตื้น เกาะปอดะ ล่าสุดเจ้าหน้าที่ดูแลอาการดีขึ้นว่ายน้ำร่าเริง เพจ "กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง" โพสต์คลิปนักท่องเที่ยวพบลูกพะยูน เพศผู้เกยตื้นเพียงลำพัง บริเวณเกาะปอดะ ล่าสุดเจ้าหน้าที่ดูแลใกล้ชิด อาการดีขึ้นว่ายน้ำร่าเริง วันนี้ (11 ส.ค.) เพจ "กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง" โพสต์คลิปวิดีโอนักท่องเที่ยวพบลูกพะยูน เพศผู้เกยตื้นเพียงลำพัง บริเวณเกาะปอดะ ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ อยู่ในสภาพอ่อนแรง ตาจมลึกแสดงถึงภาวะขาดน้ำ โดยทางเพจรายงานว่า "ดร.ปิ่นสักส์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้กล่าวถึงสถานการณ์ลูกพะยูนเกยตื้นว่า จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2567 เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง (ศวอล.) รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ว่ามีนักท่องเที่ยวพบลูกพะยูนมีชีวิต?ว่ายเพียงลำพัง ??บริเวณเกาะปอดะ ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่? จึงได้ประสานงานเข้าพื้นที่เพื่อช่วยเหลือเบื้องต้นและทำการขนย้ายมารักษาและอนุบาลที่สถาบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง จากการตรวจสอบพบว่าเป็นลูกพะยูน เพศผู้? อายุประมาณ? 1-2 เดือน ความยาว 102 ซม. น้ำหนัก 13.8 กก. ลูกพะยูนสภาพอ่อนแรงและตาจมลึกแสดงถึงภาวะขาดน้ำ แต่ยังสามารถยกหัวขึ้นหายใจได้ พบรอยบาดแผลบริเวณส่วนจมูกและหัวเล็กน้อย ร่างกายค่อนข้างผอม บริเวณตาซ้ายขุ่น เสียงปอดมีความชื้นเล็กน้อย? ลำไส้มีการบีบตัว? และพะยูนยังมีความอยากกินอาหาร ทีมเจ้าหน้าที่ให้การดูแลตลอด? 24? ชั่วโมง? โดยมีการป้อนนมทดแทนและน้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง เพื่อชดเชยภาวะการขาดน้ำ?? มีการใช้นมผงเด็กเป็นนมทดแทนให้กับพะยูน? และทางสัตวแพทย์?จะวางแผนในการตรวจสุขภาพ?อย่างละเอียดต่อไป ทั้งนี้ สามารถติดตามสถานการณ์ช่วยเหลือชีวิตลูกพะยูนอย่างใกล้ชิดได้ที่ เพจกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง" ล่าสุด เพจดังกล่าวได้โพสต์คลิปรายงานความคืบหน้าระบุว่า "อัพเดท อาการน้องพะยูนเกยตื้นตอนนี้ น้องพะยูนอาการดีขึ้น กินอิ่ม และเริ่มว่ายสำรวจบ่ออนุบาลฯ ค่ะ มาร่วมส่งกำลังใจให้พี่ๆ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกท่านที่ช่วยกันช่วยชีวิตและดูแลน้องพะยูนนะคะ" https://mgronline.com/onlinesection/.../9670000073645
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
โลกร้อนสุดอันตราย! นักวิทยาศาสตร์ค้นพบแนวปะการังใหญ่สุดในโลกของออสเตรเลีย "เกรทแบริเออร์รีฟ" เป็นอันตรายจากน้ำทะเลร้อนสุดในรอบ 400 ปี รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - แนวประการังใหญ่ที่สุดในโลก เกรทแบร์ริเออร์รีฟ (Great Barrier Reef) ของออสเตรเลียกำลังตกอยู่ในอันตรายจากน้ำทะเลที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นสูงสุดในรอบ 400 ปี นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นยอมรับสุดเศร้า ?โลกกำลังสูญเสียหนึ่งในแลนด์มาร์กไป? อึ้งมากมีถึง 54 ประเทศทั่วโลกตั้งแต่กุมภาพันธ์ปีที่แล้วพบแนวปะการังของประเทศตัวเองตายเป็นจำนวนมากจากสภาพอากาศโลกเปลี่ยนแปลง รอยเตอร์รายงานวันพฤหัสบดีที่ 8 ส.ค ว่า โลก เดอะเกรทแบร์ริเออร์รีฟ (Great Barrier Reef) ถือเป็นระบบนิเวศน์ที่มีชีวิตใหญ่ที่สุดในโลกมีขนาดความยาว 2,400 ก.ม ขนาดใหญ่ตั้งอยู่นอกชายฝั่งของรัฐควีนสแลนด์ แนวปะการังเดอะเกรทแบร์ริเออร์รีฟนั้นสามารถสร้างรายได้ให้ออสเตรเลียจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การประมงและอุตสาหกรรมอื่นๆได้ถึง 6.4 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย( 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) อ้างอิงจากรายงานปี 2017ของ Deloitte Access Economics analysis ตามการรายงานของบลูมเบิร์ก เดอะเกรทแบร์ร์เออร์รีฟที่ถูกขึ้นบัญชีมรดกโลกขององค์การยูเนสโกนั้นปัจจุบันยังไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ใน 'บัญชีมรดกโลกที่ตกอยู่ในอันตราย' ถึงแม้ว่าสหประชาชาติจะแนะนำก็ตาม กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ออกมาเตือนล่าสุดว่า แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดของโลกกำลังตกอยู่ในอันตรายจากภัยคุกคามที่เกิดขึ้น(Existential threat)หลังจากปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว (Coral Bleaching)เกิดขึ้นบ่อยครั้งหากว่ามหาสมุทรยังคงอุ่นขึ้นในอัตตราในปัจจุบัน บลูมเบิร์กรายงานว่า ทะเลคอรัล(Coral Sea) ถูกพบร้อนจัดเมื่อไม่กี่ปีมานี้โดยที่มีความร้อนสูงสุดอยู่ที่ปีนี้และในปี2017 และปี 2020 ได้รับการประเมินว่าอยู่ในภาวะ 'อุ่นที่สุด' ในรอบไม่ต่ำกว่า 4 ศตวรรษ อ้างอิงจากการวิจัยที่มีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไม่กี่แห่งของออสเตรเลียซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่วันพฤหัสบดี(8) เบนจามิน เฮนลีย์ (Benjamin Henley) นักวิชาการประจำมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น และยังเป็น 1 ในผู้แต่งร่วมของผลงานวิจัยแสดงความเห็นว่า "โลกกำลังสูญเสียหนึ่งในแลนด์มาร์กของตัวเองไป" และกล่าวแสดงความเห็นว่า "ผมค้นพบว่ามันเป็นโศกนาฎกรรมโดยสมบูรณ์แบบ มันยากที่จะเข้าใจว่ามันเกิดขึ้นภายใต้การเฝ้าดูของพวกเราในช่วงชีวิตของพวกเราได้อย่างไร มันช่างเป็นสิ่งที่น่าเศร้าเอามากๆ" ข้อมูลอุณหภูมิล่าสุดตั้งแต่มกราคมไปจนถึงมีนาคมของปีนี้เกิดขึ้นสูงสุดตามการบันทึก นักวิทยาศาสตร์ออสเตรเลียชี้ รอยเตอร์รายงานว่า ตามปกติแล้ว แนวปะการัง (coral reefs) ช่วยปกป้องแนวชายฝั่งจากการสึกกร่อนและยังเป็นบ้านที่อาศัยของปลาหลากหลายพันธุ์สายพันธุ์และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญสร้างรายได้ให้กับประเทศต่างๆมากมาย รอยเตอร์ระบุว่า มีไม่ต่ำกว่า 54 ประเทศและภูมิภาคประสบปัญหาภาวะปะการังฟอกขาวในแนวปะการังของประเทศเหล่านั้นนับตั้งแต่กุมภาพันธ์ปี 2023 จากการที่สภาพอากาศโลกเปลี่ยนแปลงทำให้น้ำทะเลพื้นผิวของมหาสมุทรอุ่นขึ้น องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ NOAA (U.S. National Oceanic and Atmospheric Administration) กล่าว ด้าน ลิสซา ชินด์เลอร์ (Lissa Schindler) ผู้จัดการโครงการ เกรต แบร์ริเออร์ รีฟ ประจำมูลนิธิอนุรักษ์ทางทะเลออสเตรเลีย AMCS (Australian Marine Conservation Society) กล่าวว่า งานวิจัยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า แคนเบอร์ราจำเป็นต้องทำให้มากกว่านี้เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนของตัวเอง "ออสเตรเลียต้องเพิ่มความทะเยอทะยานของตัวเอง การปฎิบัติ และข้อผูกพันในการต่อสู้กัยการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศและปกป้องทรัพย์สินทางธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของพวกเรา" AMCS เป็นองค์กรที่ไม่แสวงกำไรของออสเตรเลียมีเป้าหมายเพื่อปกป้องชีวิตสัตว์น้ำในมหาสมุทรและระบบนิเวศน์มหาสมุทร อ้างอิงจากเว็บไซต์ทางการขององค์กร https://mgronline.com/around/detail/9670000073530
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|