#141
|
||||
|
||||
อยากไปแสบๆคันๆในทะเลแดงมั่งจ้ะ น้องโอ.... กำแพงที่กั้นยิวและปาเลสไตน์ออกจากกันนั้น เห็นแล้วเศร้าใจค่ะ.... โลกนี้เปิดกว้าง.....แต่มนุษย์ชอบสร้างกำแพงขวางโลก ทั้งกำแพงที่เป็นวัตถุและกำแพงใจ.... คิดแล้ว....อยากรื้อกำแพงบ้านตัวเองจัง แต่คนข้างบ้านเขาต้องไม่ยอมแน่ๆ.... พอเรารื้อ....เขาก็ต้องสร้างกำแพงใหม่อีก...
__________________
Saaychol |
#142
|
|||
|
|||
เยรูซาเล็ม มีความหมายว่า มรดกแห่งสันติภาพ มาจากภาษาฮิบรู โดยประกอบด้วยคำว่า เยรูซา ที่แปลว่า มรดก และ ซาเล็ม ที่แปลว่า สันติภาพ ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ภายใต้การปกครองของกษัตริย์เดวิด กษัตริย์องค์ที่ 2 แห่งอาณาจักรยิว 1 พันปีก่อนคริสตกาล โดชาวยิวตั้งรกรากในดินแดนแห่งนี้มาเกือบ 2 พันปีก่อนคริสตกาล
|
#143
|
|||
|
|||
ด้วยเหตุที่เยรูซาเล็มผ่านการปกครองหลายเชื้อชาติตั้งแต่กรีก โรมัน เปอร์เชีย อาหรับและเติร์ก ก่อนจะตกถึงมืออิสราเอล หลังสงคราม 6 วันในปี 1967 ทำให้ดินแดนนี้รับเอาอารยธรรมจากหลายชาติข้างต้นเอาไว้แบบเต็มๆ ถึงขั้นที่อวดได้ว่า แทบจะไม่มีเมืองใดในโลกที่เพียบพร้อมไปด้วยการผสมผสานประวัติศาสตร์ การเมือง วัฒนธรรม และศาสนา เช่นเยรูซาเล็มอีกแล้ว
อย่างไรก็ดี แม้ทั้งยิว คริสต์ และอิสลาม จะอ้างว่า เยรูซาเล็มเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของตน แต่ความสำคัญของเยรูซาเล็มสำหรับทั้ง 3 ศาสนานี้กลับต่างกัน สำหรับยิวแล้ว เยรูซาเล็มทั้งหมดถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ โอบล้อมด้วยภูเขา “เทมเพิล เมาต์” และล้อมด้วยกำแพง 4 ด้าน โดยเรียกพื้นที่ส่วนนี้ว่า “เมืองเก่า” (Old City) แม้ว่ากำแพงทั้ง 4 ด้านจะถูกแบ่งออกเป็น 4 องค์ประกอบตามความเชื่อ คือ อาร์เมเนีย คริสต์ ยิว และมุสลิม ก็ตาม ส่วนความเชื่อของชาวคริสต์ เยรูซาเล็ม คือ สถานที่ประสูติ เผยแพร่ศาสนา สวรรคต และฟื้นคืนชีพ ของพระเยซู ขณะที่ความสำคัญของเยรูซาเล็มต่อมุสลิม อยู่ที่เพียง “โดมแห่งศิลา” หรือ “มัสยิดโอมาร์” (Dome of the Rock) สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 7 ทับพื้นที่ “เมืองเก่า” ของยิว โดยใช้ศิลปะมุสลิมทั้งหมด มีหินก้อนใหญ่เด่นเป็นสง่า ซึ่งเชื่อว่า เป็นจุดที่ท่านนะบี มูฮัมหมัด ศาสดาของศาสนาอิสลาม เดินทางขึ้นสู่สรวงสวรรค์เพื่อไปพบพระอัลเลาะห์ โดยโดมแห่งศิลาสีทองอร่ามจัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันดับ 3 ของชาวมุสลิม รองจากนครเมกกะและเมดินา ย้อนกลับไปที่ความสำคัญของเยรูซาเล็มต่อชาวยิว ส่วนที่เป็นกำแพงล้อมเมืองเก่า โดยชาวยิวเชื่อว่า กำแพงทางทิศตะวันตก ซึ่งถูกขนานนามว่า “กำแพงร้องไห้” (Wailing Wall) เมื่อครั้งที่ชาวยิวต่างเดินทางมาร่ำไห้ แสดงความโศกเศร้าเสียใจที่วัดแห่งโซโลมอน สถานที่สำคัญของเมืองเก่า ถูกทำลายเป็นครั้งที่ 2 จากน้ำมือของจักรวรรดิโรมันในคริสตศักราช 70 ยิ่งไปกว่านั้น ชาวยิวยังหมั่นไปสวดมนต์ที่กำแพงร้องไห้นี้ตลอด 2 พันปี เฉลี่ยวันละ 3 ครั้ง เนื่องจากเชื่อว่า เป็นกำแพงที่ได้ใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้ามากสุดและเป็นกำแพงวัดกำแพงเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ โดยมักเขียนข้อความขอพรใส่กระดาษสอดเข้าไปตามรูกำแพง นอกจากถูกเชื่อว่าเป็นดินแดนแสวงบุญแล้ว เยรูซาเล็มยังเป็นเมืองแห่งสมรภูมิการสู้รบมากสุดเมืองหนึ่งของโลก โดยถูกล้อมกว่า 50 ครั้ง ถูกยึดครองถึง 36 ครั้ง และถูกทำลายมากกว่า 10 ครั้ง จากความกระหายของชาติตะวันออกกลาง |
#144
|
|||
|
|||
เราเดินทางมาถึง Old City โดยเข้าทางประตูยัฟฟา (Jaffa Gate) เป็นประตูหลักที่เข้าสู่เมืองเก่าจากเยรูซาเล็มตะวันตก
|
#145
|
|||
|
|||
ตื่นตาตื่นใจมาก...
คงเหมือนฝรั่งที่ชอบอยุธยา อย่างไรอย่างนั้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย -Oo- : 09-08-2010 เมื่อ 23:52 |
#146
|
|||
|
|||
เข้ามาหลังประตูปุ๊บบบบ
เอิ่มไม่ได้เงียบสงบเวิ้งว้างเช่นด้านนอก อย่างที่ประวัติบอกว่าเยรูซาเล็มเป็นนครเก่าของ หลายชนชาติ เบื้องหลังก็เป็นที่อยู่อาศัย...และปัจจุบันก็เป็นแหล่งช้อปปิ้ง ตระการตามากค่ะ ^^* |
#147
|
|||
|
|||
ของที่ขึ้นชื่อก็เป็นพวกจานกระเบื้องเพ้นต์ลาย และแก้วเป่าสีต่างๆ
สวยงามมากกกกกกกก ละลานตา น่ารักน่าชมไปหมด ราคาก็...แหะๆ สวยสมราคา แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย -Oo- : 09-08-2010 เมื่อ 23:23 |
#148
|
|||
|
|||
สองข้างทางเป็นร้านรวงขายของพื้นเมือง
โดยมีบ้านเรือนที่ก่อด้วยหินเก่า ตลอดสองข้างทาง |
#149
|
|||
|
|||
สวยดีค่ะ
เหมือนช้อปปิ้งในบรรยากาศลึกลับ |
#150
|
|||
|
|||
เราเดินบนถนนที่ผ่านการรบพุ่งมานับไม่ถ้วน
ผ่านหินที่มีเรื่องราว แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย -Oo- : 10-08-2010 เมื่อ 00:02 |
|
|