เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > ท่องเที่ยวทั่วแผ่นดิน

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #11  
เก่า 28-05-2012
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default

มีนิทานพื้นบ้านที่เล่าสืบทอดกันมาถึงแก่งคุดคู้อยู่เรื่องหนึ่งว่า...

มีพรานป่าคนหนึ่งชื่อ ตาจึ่งขึ่งดั้งแดง ผู้ซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ จมูกบานโต ขนาดที่เด็กๆ สามารถเข้าไปวิ่งเล่นในฮูดัง (รูจมูก) ได้ วันหนึ่งแกตามล่าควายเงินมาจากฝั่งลาว และเฝ้ามองจนกระทั่งควายเงินมานอนแช่น้ำ อยู่ที่แก่งคุดคู้ในปัจจุบัน ระหว่างที่ยกหน้าไม้หมายจะยิง บังเอิญมีพ่อค้าส่งเสียงดังถ่อเรือผ่านมาพอดี ทำให้ควายเงินตื่นตกใจวิ่งหนีขึ้นไปบนภูเขา ภูเขาลูกนั้นจึงได้ชื่อว่า ?ภูควายเงิน? ทำให้พรานป่าแค้นเคืองคนที่นั่งเรือไปมาตามแม่น้ำโขงเป็นอย่างมาก จึงได้แบกเอาก้อนหินมาถมกั้นแม่น้ำไว้ เพื่อไม่ให้เรือแล่นผ่าน จนสร้างความเดือนร้อนให้ชาวบ้านในละแวกนั้นไปทั่ว


เมื่อพระอินทร์ที่อยู่บนสวรรค์เห็นดังนั้น ก็ทรงแปลงกายลงมาเป็นจั่วน้อย (เณรน้อย) และได้ออกอุบายให้ใช้ไม้ไผ่หรือไม้เฮี้ยะ มาทำเป็นคานแบกก้อนหินแทน และด้วยน้ำหนักของหินที่มากเกินไป เลยทำให้ไม้คานหัก บาดคอตาจึ่งขึ่งดังแดงตายอยู่ในท่าคุดคู้ แก่งแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า ?แก่งคุดคู้? ตามนิทานพื้นบ้านเรื่องนี้นี่เอง..






เข้าใจว่า....ควายภูเงินในเรื่องแก่งคุดคู้นี้ น่าจะเป็นคนละตัวกับควายภูเงิน ที่ชาวนาได้นำไปเลี้ยงไว้ บนยอดเขาวัดพระพุทธบาทควายภูเงิน เพราะควายภูเงินที่แก่งกระทู้นี้ วิ่งหนีนายพรานจมูกโตไปทางฝั่งลาว และกลายเป็นภูเขา ที่เราเห็นอยู่เบื้องหน้าเราในวันนี้...




__________________
Saaychol

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 03-11-2022 เมื่อ 18:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #12  
เก่า 28-05-2012
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default



รอบๆลานจอดรถ และริมชายโขง มีพ่อค้าแม่ขายมาจับจองพื้นที่เปิดซุ้มจำหน่ายอาหาร ซึ่งมีทั้งปลา กุ้ง หอย ที่ต่างก็มีชื่อแม่น้ำโขงห้อยท้าย ไปจนถึงส้มตำ ไก่ย่าง ลาบ น้ำตก ฯลฯ






แต่ที่น่าทานมากๆ เห็นจะเป็น "กุ้งทอด" ที่แม่ค้าใช้กุ้งฝอยตัวเล็กๆ มาชุบแป้งทอด เป็นแพใหญ่เท่าจานข้าว






อดใจไม่ไหว...ต้องซื้อมาชิมเสียหน่อย อืมมมมม....อร่อยถูกปากจริงๆ ไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มใส่ถั่วลิสงบดและแตงกวา ให้เสียรสชาติเลยค่ะ



__________________
Saaychol

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 29-05-2012 เมื่อ 06:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #13  
เก่า 28-05-2012
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default



ที่ต้องซื้ออีกอย่างก็คือ "มะพร้าวแก้ว" แสนอร่อย ที่ทำมาจากมะพร้าวกะทิเนื้อหนานุ่ม หรือมะพร้าวน้ำหอมรสละมุน เคี่ยวกับน้ำตาลสูตรเฉพาะ ที่พี่สาวสั่งซื้อไว้ ตั้งแต่รู้ว่าเราจะมาเชียงคาน






มะพร้าวที่นำมาใช้ทำมะพร้าวแก้ว ที่ต้องไปสั่งซื้อมาจากที่ไกลๆ






มะพร้าวแก้วมีหลายเกรด หลายราคา หลายคนทำ เลือกซื้อหาได้ตามอัธยาสัยค่ะ







แต่สายชลเลือกเจ้านี้ เพราะดูสะอาด และน้ำใจไมตรีดูดีกว่าเจ้าอื่นๆ





แถวๆนั้นยังมี "อุ" เหล้าพื้นเมืองของท้องถิ่นนี้ ที่ไหใส่ไว้ในชะลอมน่ารัก ให้ซื้อมาฝากคอเหล้า...เสียดายไม่ได้ถถ่ายภาพไว้ค่ะ

__________________
Saaychol

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 29-05-2012 เมื่อ 06:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #14  
เก่า 28-05-2012
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default




เกือบเย็นแล้ว....ชักหิวแล้วล่ะค่ะ...เราเลือกร้านของกลุ่มแม่บ้านแก่งคุดคู้ ซึ่งเป็นเรือนไม้ตั้งอยู่ริมฝั่งโขง บรรยากาศดีใช้ได้ทีเดียวค่ะ


อาหารที่เราสั่ง ประกอบด้วย ต้มยำปลาแม่น้ำโขงหม้อไฟ รสชาติแซ่บซ่าน สะท้านไปถึงทรวง






จานที่สอง เป็น ปลาเนื้ออ่อนแม่น้ำโขง ทอดกระเทียมพริกไทย ทั้งกรอบ หอมหวล ชวนรับประทานยิ่งนัก






จานที่สามเป็น "กุ้งฝอยทอดกรอบ" ที่สั่งเพิ่มมาอีกแพหนึ่ง คราวนี้มีน้ำจิ้มมาเสริมแก้เลี่ยนด้วย กับ จานสุดท้าย "ส้มตำไทย" รสชาติกลมกล่อม






ข้าวสวยร้อนๆ กับอาหารพื้นบ้านเพียงสี่อย่างนี้ กว่าเราจะทานหมด ก็เล่นเอาเหนื่อยเลยล่ะค่ะ...


__________________
Saaychol

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 29-05-2012 เมื่อ 06:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #15  
เก่า 30-05-2012
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default


วัดท่าแขก



ระหว่างทางจากแก่งคุดคู้ จะออกไปสู่ถนนหลวงหมายเลข 211 เราเห็นภาพแสงที่ลอดผ่านแมกไม้สูงใหญ่ข้างทาง ทำให้อดที่จะจอดรถถ่ายภาพไม่ได้







เราเห็นทางลูกรังแล่นฝ่่าดงไม้ใหญ่ จึงเลี้ยวรถไปตามทางเหมือนต้องมนต์...






ผ่านม่านหมอกเข้าไป...เราเห็นโบสถ์เล็กๆตั้งอยู่เบื้องหน้าอย่างสง่างาม..





ป้ายที่เห็นอยู่ในบริเวณหน้าโบสถ์ ทำให้เราทราบว่า วัดนี้คือ "วัดท่าแขก" ซึ่งตามประวัติจัดเป็นวัดเก่าแก่ ปรากฎบนหลักศิลาจารึกที่พบในวัด กล่าวว่า วัดแห่งนี้สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ พ.ศ.2209 ตรงกับ จุลศักราช 1028 วันเสาร์ ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 ปีมะเมีย ตัวหนังสือ กล่าวว่า ท้าวสุวรรณแผ้วพ่าย พระโอรสของกษัตริย์ลานช้าง แห่งเมืองหลวงพระบาง เป็นผู้ก่อสร้าง

__________________
Saaychol

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 30-05-2012 เมื่อ 15:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #16  
เก่า 30-05-2012
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default


วัดนี้ถูกทิ้งร้างมานานจนกระทั่งปี พ.ศ.2469 พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต...พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล...พระอาจาจย์ฝั้น อาจาโร และคณะอาจารย์สายพระอาจารย์มั่น ได้เดินธุรงค์มาพักจำพรรษา และปฏิบัติธรรมที่วัดท่าแขก จึงได้มีการบูรณะและฟื้นฟูวัดนี้อีกครั้งหนึ่ง



เมื่อเดินเข้าไปในโบสถ์ เราเห็นองค์พระสีทองอร่าม ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางโบสถ์




แต่ในตำนานที่ปรากฏ กล่าวไว้ว่า พระประธานในวัดท่าแขก เป็นพระพุทธรูปองค์เล็กๆ และเก่าแก่ อายุประมาณ 300กว่าปี แกะสลักด้วยหินทั้งก้อน และมีถึง 3 องค์ คือ


องค์ที่ 1...เป็นพระพุทธรูปนั่งปางสมาธิ หน้าตักกว้างประมาณ 2 ศอก สูงประมาณ 1.20 เมตร

องค์ที่ 2...เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หน้าตักกว้างประมาณ 0.70 เมตร สูงประมาณ 1.20 เมตร

องค์ที่ 3...เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก หน้าตักกว้างประมาณ 0.65 เมตร สูงประมาณ 1.20 เมตร


ฉะนั้นพระองค์ใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโบสถ์นี้ จึงหาใช่พระประธานที่ว่าไว้ในตำนานไม่....






เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ...จึงเห็นว่ามีแท่นสูงขึ้นไป เหนือด้านหลังองค์พระใหญ่ สร้างอยู่ติดกับผนังโบสถ์ บนแท่นมีพระพุทธรูปสามองค์ ลักษณะเหมือนที่ตำนานว่าไว้ และนั่นคือประประธานของวัดท่าแขกที่แท้จริง ของวัดแห่งนี้นั่นเอง....


พระประธานทั้งสามองค์ เป็นพระพุทธรูปที่สวยงาม และมีความศักดิ์สิทธิ์มาก เป็นที่สักการะบูชาของชาวเชียงคาน และจังหวัดใกล้เคียง จึงนับเป็นบุญยิ่งนัก ที่บังเอิญให้เราได้มากราบไหว้...




__________________
Saaychol

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 30-05-2012 เมื่อ 15:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #17  
เก่า 30-05-2012
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default



เชียงคาน



ออกจากวัดท่าแขก เลี้ยวขวาไปได้ไม่นาน ก็ถึงปากทางเชื่อมต่อถนนหลวงหมายเลข 211...เราเลี้ยวขวาเพื่อมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองเชียงคาน เพียง 2 กิโลเมตรจากวัดท่าแขก เราก็ถึง เมืองเชียงคาน...


เมืองเชียงคาน เดิมตั้งอยู่ที่ เมืองชะนะคาม ประเทศลาว ซึ่งสร้างโดยขุนคาน โอรสของขุนคัวแห่งอาณาจักรล้านช้าง เมื่อประมาณ พ.ศ. 1400 ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2250 อาณาจักรล้านช้างแยกออกเป็นสองอาณาจักรคือ อาณาจักรหลวงพระบาง ซึ่งมีพระเจ้ากีสราชเป็นกษัตริย์ และ อาณาจักรเวียงจันทน์ ซึ่งมีพระเจ้าไชยองค์เว้เป็นกษัตริย์ โดยกำหนดอาณาเขตให้ดินแดนเหนือแม่น้ำเหืองขึ้นไปเป็นอาณาเขตหลวงพระบาง และใต้แม่น้ำเหืองลงมาเป็นอาณาเขตเวียงจันทน์ ต่อมาทางหลวงพระบางได้สร้างเมืองปากเหืองซึ่งอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขงเป็นเมืองหน้าด่านและทางเวียงจันทน์ได้ตั้งเมืองเชียงคาน เดิมเป็นเมืองหน้าด่านเช่นกัน


ต่อมา พ.ศ. 2320 พระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับพระสุรสีห์ ยกทัพไปตีกรุงเวียงจันทน์ ตีเวียงจันทน์ได้จึงได้อันเชิญพระแก้วมรกต กลับมายังกรุงธนบุรี แล้วได้รวมอาณาจักรล้านช้างเข้าด้วยกันและให้เป็นประเทศราชของไทย และได้กวาดต้อนผู้คนพลเมืองมาอยู่เมืองปากเหืองมากขึ้น แล้วโปรดเกล้าฯ ให้เมืองปากเหืองไปขึ้นกับเมืองพิชัย ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์ คิดกอบกู้เอกราชเพื่อแยกเป็นอิสระจากไทยโดยยกกำลังจากเวียงจันทน์มายึดเมืองนครราชสีมา แต่ในที่สุดเจ้าอนุวงค์ถูกจับขังจนสิ้นชีวิต กองทัพไทยที่ยกมาปราบเจ้าอนุวงศ์ที่นครราชสีมาได้ยกทัพไปกวาดต้อนผู้คนจากฝั่งซ้ายของลำน้ำโขงมายังเมืองปากเหืองมากขึ้น และโปรดเกล้าฯ ให้พระอนุพินาศ (กิ่ง ต้นสกุลเครือทองศรี) เป็นเจ้าเมืองปากเหืองคนแรก แล้วพระราชทานชื่อเมืองใหม่ว่า เมืองเชียงคาน



ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พวกจีนฮ่อได้ยกทัพมาตีเมืองเวียงจันทน์ เมืองหลวงพระบางและได้เข้าปล้นสะดมเมืองเชียงคานเดิมที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ชาวเชียงคานเดิมจึงอพยพผู้คนไปอยู่เมืองเชียงคานใหม่ (เมืองปากเหือง) เป็นจำนวนมาก ครั้นต่อมา เห็นว่าชัยภูมิเมืองเชียงคานใหม่ (เมืองปากเหือง) ไม่เหมาะสม ผู้คนส่วนใหญ่จึงอพยพไปอยู่ที่บ้านท่านาจันทร์ซึ่งใกล้กับที่ตั้งของอำเภอเชียงคานปัจจุบัน แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า เมืองใหม่เชียงคาน



ต่อมาไทยได้เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศส ทำให้เมืองปากเหืองตกเป็นของฝรั่งเศส คนไทยที่อยู่เมืองปากเหืองจึงอพยพมาอยู่เมืองใหม่เชียงคานหรืออำเภอเชียงคานปัจจุบันโดยสิ้นเชิง แล้วได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเมืองเชียงคานใหม่ ได้ตั้งที่ทำการอยู่บริเวณ วัดธาตุ เรียกว่าศาลาเมืองเชียงคาน ต่อมาได้ย้ายไปอยู่บริเวณ วัดโพนชัย


จนกระทั่งปี พ.ศ. 2452 เมืองเชียงคานซึ่งมีพระยาศรีอรรคฮาด (ทองดี ศรีประเสริฐ) ได้รับตำแหน่งนายอำเภอเชียงคานคนแรก ในปี พ.ศ.2484 ได้ย้ายที่ว่าการอำเภอเชียงคานมาอยู่ ณ ที่อยู่ปัจจุบันตราบเท่าทุกวันนี้


(ขอบคุณข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org)





ฝ่ากลางเมืองเชียงคานที่วุ่นวายด้วยรถราและผู้คน...เรามุ่งหน้าสู่บ้านพัก "ตาหน่วมโฮมสเตย์" ซอย 3 ถนนชายโขง ที่เราตั้งใจจองให้เป็นที่พักของเรา ตลอดสามวันที่จะอยู่ในเมืองเชียงคาน จังหวัดเลย


ถึงแล้วค่ะ...บ้านตาหน่วมฯ บ้านเล็กๆติดริมแม่น้ำโขง...น่าอยู่ทีเดียวค่ะ...



ด้านล่างของบ้าน...เป็นบ้านพักของ คุณไสว และครอบครัว ซี่งมีระเบียงให้เรานั่งเล่น พร้อมขนมทานเล่น น้ำชาและกาแฟพร้อม ด้านข้างๆเป็นบ้านพักใหญ่ สำหรับครอบครัวที่มากัน 7-8 คน ให้พักรวมกันอยู่แบบสบายๆ



ส่วนด้านบน...มีห้องพักเพียงสองห้อง ซึ่งหนึ่งในสองคือห้องพักของเราเอง เป็นห้องแอร์ ห้องน้ำในตัว มีทีวี และระเบียงน่ารัก ให้เรานั่งชมวิวไปดื่มชากาแฟที่จัดเตรียมไว้ให้พร้อมสรรพ ...



__________________
Saaychol

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 01-06-2012 เมื่อ 20:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #18  
เก่า 30-05-2012
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default




จอดรถได้ที่แล้ว คุณไสว...ลูกเขยของตาหน่วม ก็พาเราปีนบันไดสูงชันขึ้นไปบนห้องพัก





เราเห็นความสะอาดสะอ้านของบันไดและทางเดินก่อนถึงห้องพัก ก็อุ่นใจว่าเราน่าจะเลือกบ้านพักได้ถูกต้องแล้ว...


แล้วก็จริงดังคิด...เมื่อเปิดประตูห้องนอนเข้าไป เราก็ได้เห็นห้องนอนเล็กๆ แต่สะอาด และน่าอยู่มาก...





มองออกไปนอกหน้าต่าง จะเห็นทิวทัศน์แม่น้ำโขง อย่างนี้ค่ะ





ระเบียงห้องพัก น่านั่งทีเดียวค่ะ..


__________________
Saaychol
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #19  
เก่า 30-05-2012
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default




เย็นย่ำสนธยาพอดี เมื่อเราจัดสมบัติเข้าที่เสร็จ เหนื่อยและปวดขาซะจนไม่อยากออกไปไหน เราเลยออกมานั่งคุยกันอย่างมีความสุข ที่ระเบียงห้องพักของบ้านตาหน่วม...







นกกระยางฝูงใหญ่ที่ไปหากินที่ฝั่งลาวตั้งแต่เช้า กินกลับมานอนที่ฝั่งไทยเมื่อยามเย็น...ซึ่งคุณไสวบอกว่า เป็นกิจวัตรที่หาดูได้ทุกวันที่เชียงคานค่ะ..





__________________
Saaychol

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 30-05-2012 เมื่อ 16:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #20  
เก่า 30-05-2012
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default


ดูตามเว็บท่องเที่ยว มาเชียงคานต้องตื่นเช้ามืด เพื่อขึ้นไปดูทะเลหมอกที่ภูทอกตอนพระอาทิตย์ขึ้น ... เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม คำโบราณท่านว่าไว้

ผมต้องตื่นแต่ตี 4 เพื่อเตรียมตัวขึ้นรถสามล้อเครื่อง ที่คุณไสวติดต่อไว้ให้ เพื่อออกเดินทางจากที่พักตอนตี 5 ไปฟ้าสางที่ภูทอกพอดี มีน้องหนุ่มสาว 1 คู่ห้องข้างๆไปด้วยกัน แต่คุณสายชลไม่ไปด้วย




ไปถึงตีนภู ต้องเปลี่ยนไปขึ้นรถกระบะ ที่เจ้าของสถานที่คือ สถานีเรดาร์ มีไว้บริการ เพื่อขึ้นไปถึงยอดภูอีกทอดหนึ่ง


แจ็คพอต ... วันนี้อุณหภูมิไม่เหมาะ ความชื้นไม่พอ หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ หมอกไม่ยอมมาก่อตัวเป็นทะเล ตามที่นัดกันไว้


ที่พอมองเห็น แทนที่จะเป็นทะเลหมอก กลับเป็นแค่ลำธารเท่านั้นเอง









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 30-05-2012 เมื่อ 18:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:53


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger