#191
|
||||
|
||||
ระหว่างทางจากเมืองยองชเวไปยังเมืองพินดายะ จากวัดชเวยันเป เมืองยองชเว รถบัสวิ่งขึ้นเหนือ แล้วเลี้ยวซ้ายขึ้นทางหลวงสายที่ 4 ที่เมืองชเวยอง จากนั้น มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ไม่นานนักก็ถึง เมืองเฮโฮ (Heho) ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งสนามบินภายในประเทศเล็กๆ หากใครจะบินมาเที่ยวเมืองยองชเวและทะเลสาบอินเล ก็จะบินมาลงที่สนามบินเฮโฮ แล้วต่อรถยนต์มาที่เมืองยองชเวและทะเลสาบอินเลได้...
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 02-12-2014 เมื่อ 01:18 |
#192
|
||||
|
||||
ในท้องถิ่นนี้...ไกด์บอกว่าเป็นถิ่นที่อยู่ของชนกลุ่มน้อย ที่มีมากหน่อยก็เป็นชนเผ่าดานุ (Danu) นอกจากนี้ยังมีชนเป่าปะโอ ปะหล่อง และต่องโย พืชไร่ที่ปลูกส่วนมากจะเป็นกะหล่ำปลี ข้าวโพด ผลไม้เมืองหนาว และที่เห็นมากคือทุ่งไม้ดอกสีเหลือง ซึ่งไกด์ของเราบอกว่าเป็น ดอกมัสตาด แต่ดูๆไป นอกจากดอกมัสตาดแล้ว สายชลลองหาข้อมูลดูแล้วน่าจะมีทุ่ง ดอกเมเมียว หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Black-eyed susan หรือ Prairie Sun (Rudbeckia hirta) ที่มีลักษณะคล้ายดอกเบญจมาศ แต่ดอกจะเล็กกว่าและกลีบดอกมีชั้นเดียว (ดูเผินๆก็คล้ายกับดอกบัวตอง แต่ต้นเล็กกว่า และใบไม่เหมือนกัน) หมายเหตุ: ดูรายละเอียดเกี่ยวกับดอกไม่ชนิดนี้ ได้จาก ....https://www.google.co.th/search?q=ru...cQ_AUoAA&dpr=1 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 06-12-2014 เมื่อ 10:48 |
#193
|
||||
|
||||
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 02-12-2014 เมื่อ 01:20 |
#194
|
||||
|
||||
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 02-12-2014 เมื่อ 04:06 |
#195
|
||||
|
||||
สายชลสังเกตเห็นกล่องที่ใช้ใส่รังผึ้งวางเรียงรายอยู่ใกล้ๆทุ่งดอกไม้หลายแห่ง เมื่อถามน้องอาร์ตจึงได้ความว่า กล่องใส่ผึ้งพวกนี้ ถูกคนเลี้ยงผึ้งนำมาวางไว้ เพื่อให้ผึ้งดูดกินน้ำหวานจากดอกไม้มาสร้างรังผึ้ง เมื่อได้น้ำผึ้งมากพอแล้ว ก็จะนำรังผึ้งในกล่องมาบีบน้ำผึ้ง เมื่อดอกไม้ที่นี่แห้งเหี่ยวหรือถูกตัดไปแล้ว ก็จะย้ายกล่องใส่ผึ้งไปอยู่ที่ทุ่งดอกไม้อื่นต่อไป...
__________________
Saaychol |
#196
|
||||
|
||||
ทางที่ไปเริ่มแคบลงแคบลง ซ้ำยังเป็นหลุมเป็นบ่อ มีการซ่อมแซมถนนและสะพานเป็นระยะๆ และมีวัวและเกวียนมาใช้ถนนร่วมกับรถของเรา....นี่มันถนนวัวเดินหรือเปล่าคะ...???
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 02-12-2014 เมื่อ 03:55 |
#197
|
||||
|
||||
น้องอาร์ตและน้องอุ๋ยอนุญาตให้เราลงไปถ่ายภาพงามๆได้อีกครั้งสองครั้ง...นอกนั้น เราต้องใช้วิธีถ่ายภาพผ่านกระจกรถเอาเอง ซึ่งภาพออกมาดีบ้างไม่ดีบ้าง เพราะรถกระเด้งกระดอนโยกไปโยกมาตลอดเวลา ตามสภาพถนนสายนี้ ที่ค่อนข้างจะขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ และฝุ่นฟุ้งตลบอบอวล...แต่ทุกคนก็ดูจะมีความสุขสนุกสนานและเพลิดเพลินเจริญใจ กับการเดินทางบนถนนสายนี้ ที่สองข้างทางช่างมีสีสันสวยงาม และมีวิถีชีวิตผู้คนที่น่าสนใจให้ได้ชมไปตลอดทาง...
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 02-12-2014 เมื่อ 04:05 |
#198
|
||||
|
||||
พินดายา (Pindaya) ราว 11 โมงเช้า...รถบัสของเราก็วิ่งถึง เมืองพินดายา หรือพินดายะ (Pindaya) ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1183m รถวิ่งผ่านทะเลสาบเล็กๆ ที่ชื่อ โพน ทา โลเก (Pone Ta Lote Lake) ซึ่งน่าจะเรียกว่าหนองน้ำหรือบึงน้ำน่าจะเหมาะกว่า ด้านหลังทะเลสาบเป็นทิวเขาเตี้ยๆ เห็นมีวัดอยู่ข้างบน น้องอาร์ตบอกว่านั่นคือ วัดพินดายะ ที่เรากำลังจะไปไหว้พระพุทธรูปในถ้ำ ที่มีอยู่ถึง 8094 องค์ พินดายาเป็นเมืองหนึ่ง ในเขตตองยี รัฐฉาน จริงๆแล้วเมืองพินดายะอยู่ห่างจากเมืองเฮโฮเพียง 60 กม. แต่ความที่ถนนไม่ดี เราจึงเสียเวลาไปถึงสองชั่วโมง รถค่อยแล่นราบเรียบผ่านถนนแคบๆกลางเมืองพินดายะ ที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน มีทั้งที่วุ่นอยู่กับการขายของและซื้อของ รถวิ่งผ่านเมืองไปบนถนนที่ฝูงชนเบาบางลงเรื่อยๆ ไม่นานก็วิ่งขนานไปกับทะเลสาบที่อยู่ทางด้านซ้ายของถนน และมีต้นไทรอินเดียที่ต้นสูงใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปกว้างไกลจากต้น ที่ถูกปลูกมานานหลายปีสองข้างเส้นทาง วิ่งไปได้ราวกิโลเมตรเศษๆ รถเริ่มไต่ขึ้นไปบนทางลาดชัน จนเกือบถึงยอดเขา อันเป็นที่ตั้งของวัดถ้าพินดายะ รถก็วิ่งไปต่อไมได้ เหตุเพราะมีรถมากมายจอดกันแน่นลานจอด คนก็เดินกันเต็มไปหมด เราต้องลงจากรถเพื่อปีนขึ้นไปที่วัดต่อ เมื่อมองขึ้นไปจากที่รถจอด มันสูงไม่ใช่เล่น เราจะปีนขึ้นไปไหวหรือนี่ น้องอาร์ตและน้องอุ๋ยรีบบอกเราว่า มีลิฟท์ขึ้นไป ไม่ต้องเดินขึ้นเอง แต่จากจุดจอดรถไปจนถึงลิฟท์ เราก็ต้องเดินขึ้นเนินไปไกลทีเดียวค่ะ จะเลือกเดินตามทางลาด หรือบันไดก้าวกว้างๆเตี้ยๆ มีหลังคากันฝนกันแดด ก็เลือกได้ตามสบาย... สองสายเลือกเดินทางลาดที่ไม่ค่อยมีคนเดินยัดเยียดเบียดเสียด แต่กว่าจะไปถึงตรงจุดที่เรานัดพบกันก่อนจะไปขึ้นลิฟท์ได้...สองสายก็ถึงกับหอบแฮ่กๆ...
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 04-12-2014 เมื่อ 10:56 |
#199
|
||||
|
||||
กว่าจะเดินไปถึงที่จุดนัดพบ... เพื่อนๆร่วมคณะได้ถ่ายภาพหมู่กันไปเรียบร้อยแล้ว เราเลยได้แต่ถ่ายภาพรูปปั้น แมงมุมยักษ์ เจ้าชาย เจ้าหญิง อันเป็นตำนานต้นกำเนิดที่มาของชื่อเมืองพินดายะ ที่เล่าขานต่อๆกันมาว่า "เจ้าหญิง(บางตำราก็บอกว่าเป็นนางฟ้า)ที่มีพระสิริโฉมงดงาม 7 องค์ ได้เสด็จประพาสเที่ยวเล่นอยู่แถวทะเลสาบ จากนั้นทรงปีนเขาขึ้นไปจนถึงถ้ำ ที่อยู่บนเขาไม่ไกลจากทะเลสาบนัก จึงถูกแมงมุมยักษ์ที่อาศับอยู่ในถ้ำจับไว้เพื่อจะกินเป็นภักษาหาร เจ้าหญิงองค์อื่นๆถูกแมงมุมจับกินหมด เหลือองค์สุดท้ายที่กำลังจะถูกจับกิน แต่เผอิญมีเจ้าชายองค์หนึ่งได้เสด็จผ่านมาช่วยเจ้าหญิงไว้ได้ โดยได้ทรงยิงธนูฆ่าแมงมุมยักษ์จนตาย ต่อมาเจ้าชายได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิง และครองเมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบคู่กันเรื่อยมา จนมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ต่อมาเมืองแห่งนี้ได้ชื่อว่า เมืองพินดายา (Pindaya) ซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า “Pinguya” ซึ่งแปลว่า “Taken the Spider” หรือ “ฆ่าแมงมุม” นั่นเอง ส่วนถ้ำที่แมงมุมอาศัยอยู่ ถูกเรียกว่า "ถ้ำพินดายา” สืบมาจนถึงทุกวันนี้" ข็อมูลจาก.... http://sg.ask.com/web?q=pindaya&site...semA&an=yahoo_http://....http://www.inspirationmya...p?page=pindaya และ http://inlelake-myanmar.com/pindaya.html แต่สมัยนี้...ทั้งพระ ทั้งหนุ่มสาว เฒ่าชรา ไม่มีใครกลัวแมงมุมยักษ์เลยสักคนเดียว ที่เห็นแล้วมึนก็คือ มีคณะสงฆ์พม่าขึ้นไปยืนถ่ายภาพหมู่กับแมงมุมยักษ์ แล้วก็มีสาวเจ้าตามขึ้นไปยืนถ่ายภาพแนบชิดติดกับแมงมุมยักษ์ สูงกว่าที่พระสงฆ์องค์เจ้ายืนกันอยู่ก่อนหน้า...
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 07-12-2014 เมื่อ 00:52 |
#200
|
||||
|
||||
ก่อนจะเดินขึ้นไปยังถ้ำ...เราต้องถอดรองเท้าใส่ถุงผ้าแล้วสะพายเดินไปด้วย หากทิ้งไว้อาจจะหายได้ จากนั้น เราก็เตรียมตัวไปไหว้พระกันเต็มที่ แต่น่าขำ เพราะแทนที่เราจะเดินไปขึ้นลิฟท์ เรากลับพากันปีนบันไดที่สูงชันขึ้นไปแทน เดินไปพักไป จนถูกเจ้าถิ่นทั้งเด็กเล็กและเฒ่าชะแรแก่ชราเดินแซงขึ้นไปหมด เราลืมนับไปค่ะว่าบันไดมีกี่ขั้น แต่กว่าจะถึงหน้าปากถ้ำ คิดว่าไม่น่าจะต่ำกว่าร้อยขั้นแน่ๆค่ะ...เหนื่อยแทบขาดใจ
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 07-12-2014 เมื่อ 00:55 |
|
|