#211
|
||||
|
||||
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 04-12-2014 เมื่อ 13:52 |
#212
|
||||
|
||||
ผู้คนในเมืองพินดายา ส่วนมากเป็นชาวดานุ และชาวปะโอ ของที่นำมาวางขาย ส่วนมากเป็นไม้ดอก ผลไม้ และผักสด ที่เป็นผลิตผลหลักของแถบนี้ เช่นเดียวกับชา ที่นอกจากจะทำเป็นใบชาแห้งแล้ว ยังนำมาดองเปรี้ยว เหมือนใบเมี่ยงบ้านเรา นำมาบรรจุในตะกร้าหรือกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ที่กรุด้วยใบตองสด ดูแล้วน่าซื้อมากค่ะ
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 04-12-2014 เมื่อ 13:50 |
#213
|
||||
|
||||
หลังอาหารเที่ยง ที่เป็นอาหารจีนรสชาติดีที่เมืองพินดายาแล้ว รถบัสของเราใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 41 เพื่อจะเลี้ยวขวาเข้าเส้นทางหมายเลข 411 กลับไปยังเมืองมัณฑะเลย์ แต่คืนก่อนหน้านี้ฝนตกหนักมาก โกตาจึงเกรงว่าถนนที่ขาดจากน้ำหลากก่อนหน้านี้ จะมีระดับน้ำสูงขึ้นจนรถไม่สามารถผ่านไปได้ จึงตัดสินใจย้อนไปที่เมืองอองปาน (Aungpan) เพื่อไปเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 4 ที่จะไปเชื่อมกับถนนหลวงหมายเลข 1 ที่เมืองมิถิลา และมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปถึงเมืองมัณฑะเลย์ ธรรมชาติสองข้างทาง ยังคงสวยงามด้วยภาพของเทือกสวนไร่นาและทุ่งดอกไม้ ที่น่าสังเกตคือ ต้นเชอรี่ที่ขึ้นอยู่มากมายในไร่นา ทิ้งใบร่วงหล่นจนเหลือเพียงกิ่งก้าน แต่ก็ยังดูสวยงาม...
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 04-12-2014 เมื่อ 19:47 |
#214
|
||||
|
||||
__________________
Saaychol |
#215
|
||||
|
||||
เมื่อพ้นเมืองอองปานเข้าสู่เส้นทางหมายเลข 4...ถนนเริ่มขึ้นเขาคดเคี้ยวลัดเลาะไปตามไหล่เขา ที่ข้างหนึ่งเป็นเขาสูง ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นหุบเหวลึก เรานั่งลุ้นไปจนถึงเมืองมิถิลา และเริ่มเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนจึงเข้าสู่ที่ราบลุ่มเรื่อยไปจนถึงเมืองมัณฑะเลย์
__________________
Saaychol |
#216
|
||||
|
||||
วันที่ 6....Mandalay - Inwa ในที่สุด เช้าวันสุดท้ายในพม่าก็มาถึง... วันนี้เราจะมีเวลาครึ่งวันเช้าที่จะไปเยือนจุดท่าองเที่ยวสำคัญๆใน เมืองมัณฑะเลย์ (Mandalay) และ เมืองอังวะ (Inwa) ก่อนจะบินกลับเมืองไทยในช่วงบ่ายค่ะ.... วัดมหามัยมุนี เมืองมัณฑะเลย์ เราตื่นกันตั้งแต่ตีสอง... เพื่ออาบน้ำแต่งตัว และเก็บของ เตรียมขนลงไปที่ล๊อบบี้โรงแรม....ตีสามครึ่ง ล้อรถก็เคลื่อนไปยังวัดที่ประดิษฐาน พระมหามัยมุนี หรือที่ชาวพม่าเรียกว่า มหาเมียะมุนี Mahamuni Buddha พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของพม่า ซึ่งเปรียบได้กับพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย และเป็น หนึ่งในห้าศาสนวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ของพม่า ตีสี่ตรง...เรานึกว่าเราไปถึงวัดมหามัยมุนีเช้าแล้ว แต่ปรากฏว่าเมื่อไปถึง คนก็มาชุมนุมดันเต็มทั้งในลานวัดและในศาลาแล้ว เพราะวันนี้เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ ซึ่งถือว่าเป็นวันพระใหญ่ ที่ชาวพม่าจะออกมาทำบุญกันตามประเพณีที่มีมาแต่โบราณกาล
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 05-12-2014 เมื่อ 00:26 |
#217
|
||||
|
||||
ผู้คนมากมายพากันนั่งพับเพียบเรียบร้อย ยัดเยียดกันอยู่ด้านหน้าองค์พระมหามัยมุนี แต่โกตาผู้น่ารักก็สามารถพาสายชลและพวกเราอีกสองสามคนฝ่าฝูงชน เข้าไปนั่งพับเพียบอยู่ในบริเวณด้านหน้า ที่เขากั้นไว้เป็นบริเวณพิเศษ ไม่ห่างจากองค์พระมหามัยมุนีนัก
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 04-12-2014 เมื่อ 19:50 |
#218
|
||||
|
||||
คำว่า มหามัยมุนี แปลว่า "ผู้รู้อันประเสริฐ" (The Great Sage) ซึ่งชาวพม่าจะเรียกว่า มหาเมียะมุนี นั้น เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ อดีตราชธานีของพม่าในยุคราชวงศ์คองบอง เดิมทีเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของยะไข่ แม้ชาวพม่าส่วนใหญ่จะเชื่อว่า พระมหามัยมุนีสร้างมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่ตามประวัติและตำนานส่วนใหญ่ระบุตรงกันว่า พระมหามัยมุนีสร้างขึ้นในราวปี พ.ศ. 688 โดยพระเจ้าจันทสุริยะ กษัตริย์ชาวยะไข่แห่งเมืองธรรมวดี แคว้นยะไข่ พระเจ้าจันทสุริยะมีความศรัทธาในพระพุทธเจ้าอย่างมาก พระองค์ทรงพระสุบินว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทานพรให้พระพุทธปฏิมาองค์นี้ เป็นตัวแทนของพระองค์ เพื่อเป็นเครื่องสืบพระศาสนาไปในภายหน้า จึงทำการสร้างพระพุทธรูปเพื่อเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ขึ้น ซึ่งในการสร้างมีตำนานเล่าว่า เมื่อเททองหล่อไป 2 ครั้งแรกนั้น ไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งในครั้งที่ 3 จู่ๆ ก็มีบุคคลลึกลับที่เชื่อกันว่าเป็นเทวดา จำแลงมาเททองให้จนประสบความสำเร็จ โดยองค์พระหล่อจากทองสัมฤทธิ์ สูง 12 ฟุต 7 นิ้ว หรือราว 4 เมตร มีน้ำหนัก 6.5 ตัน ในอดีต แม้เมืองยะไข่จะถูกโจมตีโดยกษัตริย์เมืองอื่น ที่ทรงแสนยานุภาพอย่างไร ก็ไม่อาจที่จะเคลื่อนย้ายองค์พระมหามัยมุนีนี้ออกจากเมืองได้ ต้องมีเหตุให้ขัดข้องทุกครั้งไป จนกระทั่งถึงรัชสมัยพระเจ้าปดุง แห่งราชวงศ์คองบองสามารถตียะไข่ได้ และได้อัญเชิญพระมหามัยมุนีออกจากยะไข่ได้ ในปี พ.ศ. 2327 (ภายหลังการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์และการปราบดาภิเษกขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช 2 ปี) โดยล่องมาตามแม่น้ำอิระวดีมายังเมืองมัณฑะเลย์ พระมหามัยมุนีจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองมัณฑเลย์เป็นการถาวรนับแต่นั้นเป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้เรียกชื่อวัดมหามัยมุนี ว่า "วัดระไค" ตามชื่อเมืองเดิม “ระไค” (Rakhaing ไทยเรียกว่า “ยะไข่”) ที่พระมหามัยมุนีเคยประดิษฐานอยู่ ข้อมูลจาก...http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%...B8%99%E0%B8%B5
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 06-12-2014 เมื่อ 11:20 |
#219
|
||||
|
||||
และด้วยความเชื่อว่า พระพุทธมหามัยมุนี นี้เป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิต ด้วยเหตุที่ได้รับประทานพร (บางตำนานก็เล่าว่า ได้รับประทานลมหายใจจากพระพุทธเจ้า) จึงมี ประเพณีล้างพระพักตร์ถวาย โดยทุกเช้า เวลาประมาณ 04.00 น. พระมหาเถระและสาธุชนทั่วไปที่ศรัทธา จะมาทำพิธีล้างพระพักตร์ ด้วยน้ำอบน้ำหอมผสมทานาคาอย่างดี พร้อมกับใช้แปรงทองแปรงที่พระโอษฐ์ เสมือนหนึ่งแปรงพระทนต์ถวายพระพุทธเจ้า ก่อนจะใช้ผ้าจากศรัทธาสาธุชนถวาย มาเช็ดจนแห้งสนิท พร้อมใช้พัดทองโบกถวายเป็นอันดี เสมือนหนึ่งได้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่จริง ๆ องค์พระมหามัยมุนีมีการปิดทองซ้ำแล้วซ้ำอีก (เฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่จะได้ปิดทอง) จนองค์พระเป็นรอยย่นตะปุ่มตะป่ำไปทั้งพระองค์ อย่างที่มีคนเรียกว่า "ย่นเหมือนหนังไก่" ซึ่งหากเอานิ้วกดลงไป ก็จะรู้สึกได้ถึงความอ่อนนิ่มของทองคำเปลวที่ปิดทับซ้อนกันนับเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ชั้น ตลอดระยะเวลาเนิ่นนานกว่าศตวรรษ ทำให้พระมหามัยมุนีมีอีกพระนามหนึ่งว่า "พระเนื้อนิ่ม" แต่น่าแปลกที่ว่า แม้จะมีการปิดทองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนองค์พระใหญ่ขึ้นเพียงใดก็ตาม แต่พระพักตร์ขององค์พระมหามัยมุนีก็ยังแลดูใหญ่ตามองค์พระอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งที่ไม่ได้มีการปิดทองที่องค์พระพักตร์เลยแม้แต่น้อย
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 06-12-2014 เมื่อ 11:20 |
#220
|
||||
|
||||
นับเป็นบุญของสองสายจริงๆค่ะ ที่ได้มาชมพิธีการล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี ในวันที่เป็นวันเกิดของสายชลเอง นอกจากนั้น เรายังได้มีโอกาสร่วมบริจาคเงินทำบุญกับทางวัด และได้รับผ้าเช็ดพระพักตร์องค์พระมหามัยมุนี ที่ได้ทำพิธีในวันนี้ กลับไปบูชาเพื่อเป็นมงคลกับชีวิตด้วย
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 04-12-2014 เมื่อ 20:02 |
|
|