#221
|
||||
|
||||
เมื่อพิธีการล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี ได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว โกตาก็มาเรียกให้เรากลับไปขึ้นรถ ในขณะที่คนพม่ายังคงนั่งสวดมนต์ เพื่อรอพิธีถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสงฆ์กันต่อไป ส่วนพวกเรา พอออกจากวัดก็ตรงดิ่งไปร้านติ่มซำกลางเมืองมัณฑะเลย์...ทานติ่มซำแบบพม่าแล้วก็เตรียมตัวเดินทางไปเที่ยวเมืองอังวะต่อค่ะ หมายเหตุ: ในวัดมหามัยมุนียังมีรูปหล่อสำริดศิลปะเขมร คือ พระอิศวร สิงห์และช้างเอราวัณ ที่ดั้งเดิมเป็นสมบัติเขมร ก่อนตกเป็นของไทยอยู่ 146 ปีหลังจากที่ยกทัพไปตีเมืองพระนคร จากนั้นก็ผลัดมือมาเป็นของพม่าเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาจวบจนปัจจุบัน น่าเสียดายที่เราไม่ได้เห็น (https://crossthesevenseas.wordpress.com)
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 05-12-2014 เมื่อ 22:25 |
#222
|
|||
|
|||
สวยดีครับว่าปะ
|
#223
|
||||
|
||||
ขอบคุณดีปะเนี่ย....
__________________
Saaychol |
#224
|
||||
|
||||
อังวะ (Inwa) เมืองอังวะ (Inwa) หรือที่พม่าออกเสียงว่า อีนวะ หรืออะวะ ตั้งอยู่ในเขตมัณฑะเลย์ เป็นเมืองหลวงเก่าของพม่าถึง 5 ครั้ง ทั้งในสมัยราชวงศ์อังวะ ราชวงศ์ตองอู และราชวงศ์อลองพญา เป็นระยะเวลารวม 360 ปี ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 1908 ถึง พ.ศ.2385 (โดยมีเมืองอื่นๆได้ถูกยกขึ้นเป็นเมืองหลวงขั้นบ้าง ในระหว่างช่วงปีดังกล่าว) ในประวัติศาสตร์...เมืองอังวะผ่านการสู้รบ ถูกปล้นสะดมและฟื้นฟูมาแล้วหลายครั้ง ปัจจุบันถูกทิ้งร้าง หลังจากถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง อันเป็นผลมาจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2382 แต่ซากปรักหักพังที่เหลืออยู่ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวจากมัณฑะเลย์ อังวะมีชื่อในภาษาบาลีว่า "รัตนปุระ" (พม่าเรียก ยะดะหน่าบู่ยะ) ส่วนชื่อในภาษาพม่า มีความหมายว่า "ปากทะเลสาบ" เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเมือง ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบในเขตอำเภอจอกเซ ข้อมูลจาก....http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%...B8%A7%E0%B8%B0
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 05-12-2014 เมื่อ 22:20 |
#225
|
||||
|
||||
จากมัณฑะเลย์...รถบัสแล่นล่องใต้ไปประมาณสัก 20 กม. ก็ถึงริมน้ำ ที่เหมือนลำคลองเล็กๆ แต่จริงๆแล้ว มันเป็นแม่น้ำที่ชื่อว่า มะยิตแง (Myitnge) ซึ่งเป็นแม่น้ำสายเล็กๆ ที่กั้นระหว่างมัณฑะเลย์กับเมืองอังวะ ที่ด้านหนึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำอิรวดี แม่น้ำเส้นเลือดใหญ่ของพม่า เราคงจะไปถึงเร็วไป เรือยังไม่ข้ามมาฝั่งมัณฑะเลย์ คนขับรถของเราจึงต้องบีบแตรดังสนั่น เพื่อเรียกให้คนขับเรือได้ยิน ซึ่งก็ได้ผล เพราะชายพม่าใส่โสร่งปลิว ลงจากตลิ่งสูงลงมาขับเรือไม้มีหลังคา ลำยาวสัก 15 เมตร กว้างราวๆ 2 เมตร และมีที่นั่งตามความยาวของเรือสำหรับคนสัก 20 คน แล่นมารับพวกเราข้ามแม่น้ำมะยิตแงไปยังฝั่งอังวะ
__________________
Saaychol |
#226
|
||||
|
||||
เรือยังไม่ทันจะถึงฝั่งอังวะดี มองออกไปเห็นเด็กสาวๆหลายคน นั่งถือตะกร้าพลาสติกสาน ตาจ้องเป๋งมายังเรือที่เรานั่งกันอยู่ พอเราขึ้นมาบนฝั่งได้ ตาต่อตามาประสาน จากนั้นแม่สาวเหล่านี้ก็เดินตามตื้อขายของให้พวกเราแจ ทุกที่ที่พวกเราไปในเมืองอังวะ....
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 05-12-2014 เมื่อ 22:26 |
#227
|
||||
|
||||
เมื่อคืนฝนคงจะตกหนัก ถนนหนทางเลยเฉอะแฉะ เราเดินจากตลิ่งท่าเรือขึ้นไปบนถนน โคลนก็ติดเต็มรองเท้าจนหนาหนัก เมื่อเราขึ้นรถม้าที่จอดคอยรับเราอยู่บนถนนหน้าท่าเรือ จึงหอบโคลนขึ้นรถม้าไปด้วย คันที่เรานั่ง มีผู้หญิงวัยกลางคนหน้าตาใจดีเป็นคนบังคับม้า ดีหน่อยค่ะที่คราวนี้รถม้าให้ผู้โดยสารนั่งได้คันละ 2 คน ม้าเลยไม่ต้องทรมานมากนัก รถม้าที่เมืองนี้เหมือนรถสองแถว คนบังคับรถม้านั่งอยู่บนม้านั่งแคบๆด้านหน้า ส่วนที่นั่งโดยสารที่อยู่ด้านหลังมีหลังคาคลุม ด้านหลังมีบันไดเล็กๆให้ก้าวขึ้นไป มีประตูบานพับแคบๆ ที่ต้องเอียงสะโพกผ่านประตูเข้าไป ม้านั่งในรถม้าหันหน้าชนกัน กว่าคนตัวโตๆอย่างสองสายจะก้าวขึ้นไปนั่งได้ ก็ยักแย่ยักยัน พอจะลงนั่งก็ต้องนั่งคนละด้านของม้านั่งสับหว่างกัน มิฉะนั้นแล้ว เข่าจะชนและเกยกัน...
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 05-12-2014 เมื่อ 18:42 |
#228
|
||||
|
||||
วัดแมนุ หรือ มหาอ่องเหม่ บอนซาน (Maha Aungmye Bonzan) รถม้าวิ่งผ่านถนนดินแคบๆ ขรุขระ และเละเทะด้วยโคลนข้น....แต่สองข้างทางมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นร่มรื่นสวยงาม มีบ้านเรื่อนไม้เล็กๆแทรกอยู่เป็นระยะๆ ไม่นานนัก รถม้าก็หยุดให้เราลงที่หน้าประตูทางเข้า ที่มีรูปปูนปั้นสิงห์สองตัวนั่งคู่กันอยู่ เรายังไม่เห็นว่าด้านในเป็นอะไร เพราะมีกำแพงสูงเกาะคร่ำคร่าและต้นไม้ใหญ่บดบังสายตาอยู่ โกธง เล่าว่า ที่นี่คือ วัดแมนุ หรือ มหาอ่องเหม่ บอนซาน (Maha Aungmye Bonzan) เป็นวิหารที่สร้างโดย พระนางนันมะดอมูนี หรือ แมนุ พระมหาอัครมเหสีในพระเจ้าบ๊ะจีด่อ เพื่อเป็นที่พำนักของ พระมหาเถระสยาดอว์เนาวง์กัน (Nyaunggan) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นคนรักเก่าของพระนาง ตอนที่ยังเป็นสาวชาวบ้านอยู่ในหมู่บ้านแถวๆนี้ ก่อนที่จะถูกนำตัวเข้าวังไปอภิเษกสมรสกับพระเจ้าบ๊ะจีด่อ ตัววิหารแมนุ สร้างด้วยอิฐทรงสูง มีปูนปั้นสลักเสลางดงามเลียนแบบงานไม้ประดับอยู่ทั้งอาคาร จึงมีลักษณะที่แตกต่างไปจากวิหารอื่นๆในยุคเดียวกันที่มักจะสร้างด้วยไม้ ในปี พ.ศ. 2381 ได้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง ในบริเวณกรุงอังวะ ทำให้วิหารได้พังทลายลงมา และได้มีการบูรณะขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ในปี พ.ศ.2416 โดยพระนางซินบิวมาชิน ราชินีของพระเจ้ามินดง และมีศักดิ์เป็นหลานยายของพระนางเมนุ ปัจจุบันได้ใช้เป็นห้องสมุดสำหรับประชาชนทั่วไปมาใช้
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 06-12-2014 เมื่อ 11:51 |
#229
|
||||
|
||||
__________________
Saaychol |
#230
|
||||
|
||||
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 06-12-2014 เมื่อ 11:52 |
|
|