#31
|
|||
|
|||
สวยอลังการจังค่ะ ต่อคิวรอชมต่อค่ะ
|
#32
|
||||
|
||||
ขอบคุณน้องแมลงปอครับ...ดำน้ำทุกวันนี้ยังคิดถึง ลุงMILO15 อยู่เลย..เห็นน้องแมลงปอpostเข้ามาทำให้คิดถึง ลุงMILO15 และกลุ่มของเราที่ช่วยกันย้ายลอบร่วมกันกับลุง MILO15 ในครั้งนั้นที่เกาะเต่า...กำลังเลือกรูปให้ชมต่อไปแต่ส่วนใหญ่จะเป็นแนวทำบุญซึ่งต่างจากทัวร์ทั่วๆไป
|
#33
|
||||
|
||||
เข้ามาชมและขอบคุณพี่นายพี่จุ๋มเช่นกันครับ ได้ไปสักการะพุทธะและปูชนียสถานสำคัญในพม่ามากมายหลายแห่ง ..
พุทธศรัทธาในพม่าแรงมากๆ มีโอกาสก็อยากไปสัมผัสด้วยตาตัวเองซักครั้ง
__________________
If we see the hearts of others, peace will follow You may say I'm a dreamer .. but I'm not the only one: John Lennon |
#34
|
||||
|
||||
สวดมนต์เช้าและเตรียมเดินทางกลับ...สู่ย่างกุ้ง
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นาย : 18-01-2011 เมื่อ 22:43 |
#35
|
||||
|
||||
..วันที่ 6 ของการเดินทาง .... หงสาวดี - วัดชเวตาละยองพะยา - ไจ้ปุนพะยา ..
.....เดินทางไป วัดชเวตาละยองพะยา นมัสการพระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวพม่าและเป็นพระนอนที่งดงามที่สุดของพม่า... .....พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว เป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์อันดับสองของเมืองหงสาวดี รองจากพระมหาธาตุมุเตา และเป็นพระพุทธไสยาสน์ที่มีความยาว 181 ฟุต สูง 50 ฟุต สร้างโดยพระเจ้าเมงกะติปะ พ.ศ.1537 ในสมัยมอญเรืองอำนาจ มีพุทธลักษณะงดงาม โดยจะวางพระบาทเหลื่อมพระบาท ต่างจากพระพุทธไสยาสน์ของไทยที่นิยมวางพระบาทเสมอกัน เล่าขานว่าเป็นพระรูปสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน • ด้านหลังพระองค์มีภาพวาดเล่าขานตำนานว่า มีพระราชาองค์หนึ่งไม่ศรัทธาพุทธศาสนา ทรงลุ่มหลงบูชายักษ์ตนหนึ่งขนาดปั้นรูปไว้กราบไหว้ วันหนึ่งขณะที่พระราชาเสด็จประพาสป่าพร้อมพระโอรส และพระโอรสไปพบสาวบ้านกำลังอาบน้ำอยู่ในลำธารก็เกิดความหลงรัก ถึงกับพากลับเข้าวัง แต่สาวเจ้าอันเชิญพระพุทธรูปไปบูชาในวังด้วย ทำให้พระราชากริ้วมาก ถึงขั้นสั่งให้ทหารจับพระโอรสและคนรักมัดรวมกันเพื่อจะประหาร แต่ชาวบ้านได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าถ้าพระพุทธเจ้ามีจริงก็ขอให้นางแคล้วคลาด ปรากฏว่าเชือกขาดโดยพลัน ขณะที่รูปปั้นยักษ์แตกกระจาย พระราชาถึงกับทรงหันกลับมานับถือพุทธศาสนา และขอไถ่บาปด้วยการสร้างพระพุทธไสยาสน์เป็นเครื่องเตือนสติ • หลังจากที่พระเจ้าอลองพญาทรงปราบมอญราบคาบ เมืองหงสาวดีก็ถูกทิ้งร้าง พระพุทธไสยาสน์ไม่ได้รับการดูแลจนกลายเป็นกองอิฐจมอยู่ในโคกดิน จนถึงปี พ.ศ.2424 เมื่ออังกฤษสร้างทางรถไฟสายพม่า จึงขุดพบพระนอนองค์นี้ จากนั้นปี พ.ศ.2491 หลังจากพม่าได้รับเอกราช ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์อย่างจริงจัง และได้ทาสีและปิดทองลงชาดใหม่ อย่างที่เห็นในปัจจุบัน แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นาย : 20-01-2011 เมื่อ 10:23 |
#36
|
||||
|
||||
....หลังจากนั้นเดินทางไปยัง...เจดีย์ไจ๊ปุ่น (พระสี่ทิศ)
เจดีย์ไจ๊ปุ่น (พระสี่ทิศ) ไจ๊ คือ พระ หรือ เจดีย์ ปุ่น คือ 4 ดังนั้น พระเจดีย์ปุ่น คือ พระเจดีย์ที่มีพระ 4 ทิศ โดยพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ 4 องค์ อายุกว่า 500 ปี หันพระพักตร์ไปยัง 4 ทิศ สร้างขึ้นโดย 4 สาวพี่น้อง ที่อุทิศตนแด่พุทธศาสนา จึงสร้างพระพุทธรูปแทนตนเอง และได้สาบานไว้ว่าจะไม่ข้องแวะกับบุรุษเพศ ซึ่งมีตำนานเล่าขานกันว่า ในที่สุดแล้ว น้องสาวคนสุดท้อง กลับพบรักกับชายหนุ่มและแต่งงานกัน จึงเกิดอาเพศฟ้าผ่าพระพุทธรูปที่แทนตัวของน้องสาวคนสุดท้องพังทลายลงมา จนต้องมีการสร้างขึ้นมาใหม่ตามที่เห็นในปัจจุบัน โดยพระพุทธรูปองค์นี้จะมีลักษณะแตกต่างจากองค์อื่น ๆ คือ พระพักตร์จะเศร้ากว่าองค์อื่น จากนั้นมีบูรณะ วัดนี้เมื่อ พ.ศ.2019 พระเจดีย็นี้มีพระพุทธรูปปางประทับนั่งโดยรอบทั้ง 4 ทิศ อันได้แก่ สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางทิศเหนือ พระ พุทธเจ้าโกนาคมโน ทางทิศใต้ พระพุทธเจ้ากกุสันโธ ทางทิศตะวันออก พระ พุทธเจ้ามหากัสสปะ ในทิศตะวันตก |
#37
|
|||
|
|||
ขออนุโมทนาบุญ กับพี่นายและพี่จุ๋มด้วยค่ะ
เห็นรอยยิ้ม และ สายตา ก็รู้ได้ถึงความปิติสุข ที่ได้รับ นะค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ |
#38
|
||||
|
||||
....ขอบคุณพี่angel frog ครับ...ยังไม่หมดครับ...วันต่อไปจะได้บุญมากเลย.....โปรดติดตามตอนต่อไป....
|
#39
|
||||
|
||||
...ระหว่างเดินทางจาก ย่างกุ้งไปหงสาวดี..ได้ข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่งมีชื่อว่า แม่น้ำสะโตง...ทำให้ นึกถึงประวัติศาสตร์สมัย..สมเด็จพระนเรศวรมหาราช...ขอนำประวัติศาสตร์..มาเล่าสู่การฟัง..ครับ
...ปี พ.ศ.๒๑๒๖ พระเจ้าอังวะคิดแข็งเมืองไม่ยอมขึ้นต่อหงสาวดี พระเจ้านันทบุเรงได้ สั่งให้ประเทศราช (เมืองแปร ตองอู เชียงใหม่ ลาว และกรุงศรีฯ)ยกทัพไปปราบ สมเด็จพระนเรศวรทรง รอโอกาสที่จะแข็งเมืองอยู่เช่นกัน จึงทรงเดินทัพช้าๆเพื่อรอ ฟังผลการรบ ถ้าทางหงสาวดีชนะก็จะทรงกวาดต้อนคนไทยกลับกรุงศรีอยุธยา แต่ถ้าทางหงสาวดีแพ้ก็จะทรงยกทัพไปตีซ้ำ แต่ว่าทางหงสาวดีก็ไม่ไว้ใจสมเด็จพระนเรศวรอยู่แล้วจึงคิดจะกำจัด โดยสั่งให้พระยาเกียรติและพระยารามซึ่งเป็นมอญไปรับเสด็จพระนเรศวรที่เมืองแครง รอตีขนาบหลังจากที่ทัพพระมหาอุปราชเข้าโจมตี .........ด้วยพระบารมีของสมเด็จพระนเรศวรทำให้พระยาเกียรติและพระยารามนำความ เข้ามาปรึกษามหาเถรคันฉ่องพระ อาจารย์ พระมหาเถรคันฉ่องจึงนำเรื่องกราบทูล สมเด็จพระนเรศวรและเล่าความจริงทั้งหมดที่ทางหงสาวดีคิดไม่ซื่อ สมเด็จพระนเรศวรทรงเรียกประชุมแม่ทัพนายกอง นิมนต์พระมหาเถรคันฉ่องพร้อมด้วยพระยาทั้งสองเข้าร่วมประชุมพร้อมเพรียงกัน แล้วทรงเล่าเรื่องที่พระเจ้านันทบุเรงคิดไม่ซื่อจะหลอกฆ่าพระองค์ .........เวลาในการประกาศอิสรภาพได้มาถึงแล้ว สมเด็จพระนเรศวรทรงหลั่งน้ำลงเหนือแผ่นดินด้วยสุวรรณภิงคาร(น้ำเต้าทอง) ทรงประกาศแก่เทพยดาต่อหน้าที่ประชุมว่า " ตั้งแต่วันนี้ กรุงศรีอยุธยาขาดทางไมตรีกับกรุงหงสาวดี มิได้เป็นมิตรต่อกันดังแต่ก่อนสืบไป " พระราชพิธีนี้เกิดขึ้นในวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๑๒๗ ณ.เมืองแครง จากนั้นพระองค์ ทรงมีดำรัสถามชาวมอญที่อยู่ในเมืองแครงว่าจะอยู่ข้างไทยหรือพม่า ส่วนมากจะอยู่ข้างไทยแล้วทรงรับสั่งให้จัดทัพเพื่อไปตีเมืองหงสาวดี .........สมเด็จพระนเรศวรทรงยกกองทัพข้ามแม่น้ำสะโตง จวนจะถึงหงสาวดีก็ทราบข่าวว่าพระเจ้าหงสาวดีรบชนะพระเจ้า อังวะ และกำลังยกทัพกลับกรุงหงสาวดี สมเด็จพระนเรศวรทรงคิดพิจารณาแล้วว่า การจะตีหงสาวดีครั้งนี้คงไม่สำเร็จ จึงให้ทหารเที่ยวไปกระจายข่าวบอกชาวไทยที่ถูกพม่ากวาดต้อนมาให้เดินทาง กลับเมืองไทยได้จำนวนหมื่นเศษ สมเด็จพระนเรศวรทรงให้ชาวบ้านข้ามแม่น้ำ สะโตงไปจนหมด แล้วพระองค์ทรงอยู่คุมกองหลังข้ามแม่น้ำสะโตงเป็นชุดสุดท้าย(แสดงถึงความ เป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมและกล้าหาญมาก) ขณะนั้นพระมหาอุปราช(มังสามเกียด)ได้จัดทัพติดตามมาให้สุรกรรมาเป็นกองหน้า แล้วมาทันกันที่แม่น้ำสะโตงซึ่งมีความกว้างประมาณ ๔๐๐ เมตร ทางพม่าก็ยิงปืนข้ามมาแต่ไม่ถูก สมเด็จ พระนเรศวรทรงประทับอยู่บนคอช้างริมแม่น้ำทรงประทับพระแสงปืนยาว ๙ คืบหรือ ๒ เมตร ๒๕ เซ็นติเมตร (แล้วทรงอธิฐานถ้าการ กู้ชาติสำเร็จขอให้ยิงถูกข้าศึก) ทรงยิงไปถูกสุรกรรมาตายอยู่บนคอช้าง ทำให้พม่าเกรงกลัวและถอยทัพกลับไป พระแสงปืนต้นนี้มีนามว่า “ พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง ” หลังจากนั้นสมเด็จพระนเรศวรทรงเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา ........พระแสงปืนที่ใช้ยิงสุรกรรมาตายบนคอช้างนี้ได้นามปรากฎต่อมา ว่า "พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง" นับเป็น พระแสงอัษฎาวุธ อันเป็นเครื่องราชูปโภค ยังปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นาย : 20-01-2011 เมื่อ 15:20 |
#40
|
||||
|
||||
.....ช่วงเย็นจัดเตรียมเครื่องอัฏบริขารและบาตรจำนวน 200 ชุด ไว้ถวายพระในวันรุ่งขึ้น ( บาตรที่นำมาถวายแต่ละคนสะสมเงินวันละ 3 บาท เป็นเวลาประมาณ 1 ปี จะมากน้อยแล้วแต่ศรัทธา..บาตรจำนวน 200 ชุดนี้ ได้จัดส่งไปล่วงหน้าทางเครื่องบิน..โดยอาจารย์เกยูร อัสสกุล เป็นผู้บริจาคค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง..ขออนุโมทนาบุญกับท่านด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ.....)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นาย : 22-01-2011 เมื่อ 07:26 |
|
|