#31
|
||||
|
||||
กระชับพื้นที่คืนความจริง “วันโลกหายนะ” ภาพจำลองดวงอาทิตย์พ่นมวลมีประจุที่เกิดขึ้นบ่อยมายังโลก ซึ่งมีเส้นสนามแมเหล็ก (เส้นสีน้ำเงิน) เป็นเกราะกำบัง (ESA) ข่าวลือเกี่ยวกับ “วันโลกหายนะ” เป็นอีกหนึ่งสีสันของจดหมายลูกโซ่ ที่วนเวียนอยู่บนโลกออนไลน์ วันดีคืนดีข่าวลือดังกล่าวมาปรากฏบนสื่อทีวีในช่วงเวลา “ไพรม์ไทม์” ย่อมสร้างความตื่นตระหนกได้ในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคนในวงการวิทยาศาสตร์เอง คือผู้อ้างถึงข้อมูลวิทยาศาสตร์อย่างเป็นตุเป็นตะ ตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับอีเมลลูกโซ่ เกี่ยวกับวันโลกหายนะเหมือนในภาพยนตร์เรื่อง 2012 อย่างต่อเนื่อง และมีการอ้างถึงข้อมูลวิทยาศาสตร์ เดิมเขาเชื่อว่ากระแสนี้จะซาไปแต่กลายเป็นว่ากระแสยังคงมีอยู่ จึงตัดสินใจจัดเสวนาและแถลงข่าวชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวหลังเหตุการณ์บ้านเมืองเริ่มคลี่คลาย ในเวที “ตอบทุกคำถามสังคมไทย ที่กังวลต่อการล่มสลายของโลก” เมื่อวันที่ 25 พ.ค.53 ที่ผ่านมา ณ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ - สนามแม่เหล็กกลับขั้ว-โลกพลิก หนึ่งในประเด็นการล่มสลายของโลกคือการกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกใน วันที่ 22 ธ.ค.55 จากเหนือไปใต้ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ดวงอาทิตย์กลับขั้ว เกิดสนามแม่เหล็กและความร้อนบนโลก ทำให้น้ำแข็งละลาย น้ำท่วมโลก เกิดสึนามิ โลกจะเอียงจาก 23.5 องศาไปเป็น 26 องศา แล้วพลิกกลับจากเหนือไปใต้ ภาพจำลองสนามแม่เหล็กโลกซึ่งพุ่ง จากขั้วโลกใต้ไปขั้วโลกเหนือ (NASA) คำถามคือจริงหรือไม่ที่แม่เหล็กโลกจะกลับ ขั้ว? ดร.สธนกล่าวว่า ปรากฏการณ์แม่เหล็กโลกกลับขั้ว เคยเกิดขึ้นบนโลกมาแล้วหลายครั้ง แต่ละครั้งเว้นช่วงประมาณ 1 ล้านปี ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อ 700,000 ปีที่แล้ว ซึ่งเริ่มมีมนุษย์กำเนิดขึ้นบนโลกแล้ว และระหว่างการกลับขั้วช่วง 1 ล้านปีนั้น อาจมีการกลับขั้วในช่วงสั้นประมาณ 4-5 พันปี การกลับขั้วแม่เหล็กโลกนี้ ไม่ได้หมายถึงโลกพลิกกลับจากเหนือไปใต้ แต่หมายถึงสนามแม่เหล็กอ่อนกำลังลง แล้วเกิดสนามแม่เหล็กที่ยุ่งเหยิงขึ้น ก่อนกลับสู่สภาพปกติ ซึ่งระหว่างที่แม่เหล็กอ่อนลงนั้น จะมีรังสีคอสมิคเข้ามาแต่ไม่มากมายนัก “ส่งผลกระทบไหม มีผลกระทบบ้างถ้าเรายังใช้เข็มทิศอยู่ แต่เดี๋ยวนี้เราใช้จีพีเอส (GPS) กันเยอะ ผลกระทบอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และช่วงเวลาระหว่างการพลิกขั้วเกิดขึ้นช้า เป็นระยะเวลาพันปี แสนปีขึ้นไป" "ปัจจุบันความแรงสนามแม่เหล็กขึ้นๆลงๆ เมื่อ 700,000 ปีก่อน สนามแม่เหล็กโลกเคยอ่อนกว่านี้ด้วยซ้ำ ดังนั้นการกลับขั้วแม่เหล็กโลกไม่ใช่ประเด็นที่ก่อให้เกิดปัญหา โดยหลักฐานการกลับขั้วคือหินแข็งที่มีสภาพแม่เหล็กตามแม่เหล็กโลก ซึ่งเกิดจากหินร้อนๆในโลกออกมาเจอสภาพแม่เหล็กภายนอกแล้วแข็งตัว” ดร.สธนกล่าว ขั้วแม่เหล็กโลกนั้น เกิดจากการไหลของกระแสโลหะหลอมเหลวในแกนกลางโลก ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กเหมือนไดนาโมที่ใช้ขดลวดพันรอบแกนแม่เหล็ก โดยสนามแม่เหล็กจะพุ่งจากขั้วใต้ไปขั้วเหนือ ดังนั้นขั้วโลกเหนือจึงเป็นขั้วแม่เหล็กใต้ และขั้วโลกใต้จึงเป็นขั้วแม่เหล็กเหนือ แต่การไหลของกระแสโลหะหลอมเหลวในแกนกลางโลกไม่สม่ำเสมอ ตำแหน่งขั้วแม่เหล็กจึงไม่คงที่ และเป็นบริเวณกว้าง เช่น ปี 1904 ขั้วแม่เหล็กเหนืออยู่เป็นบริเวณหนึ่ง และปี 1996 ขั้วแม่เหล็กเหนืออยู่อีกบริเวณ เป็นต้น - ดาวเคราะห์เรียงตัวทำแผ่นดินไหวบนโลก การเรียงตัวของดาวเคราะห์ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ถูกโยงว่าทำให้เกิดแผ่นดินไหวบนโลก เนื่องจากมีแรงไทด์ (tide) กระทำต่อโลก หากแต่ ดร.สธนอธิบายว่าแรงไทด์คือ "แรงน้ำขึ้นน้ำลง" (tidal force) นั่นเอง เป็นแรงเสมือนว่าดึงโลกให้ยืดออก และดวงจันทร์มีบทบาทให้เกิดแรงนี้กระทำต่อโลกมากที่สุด และด้านที่อยู่ใกล้ดวงจันทร์มากที่สุดจะถูกดึงมากกว่า โดยแรงนี้มีอธิบายด้วยสมการที่มีตัวแปรเพียง 2 ตัวคือ ระยะห่างระหว่างวัตถุที่ดึง และมวลของวัตถุที่ดึง “แรงน้ำขึ้นน้ำลง น้อยกว่าแรงดึงดูดของโลกถึง 10 ล้านเท่า แรงที่สุดของแรงนี้คือ ทำให้ของเหลวบนโลกเคลื่อนที่ หรือเกิดน้ำขึ้นน้ำลง แต่ยังน้อยเกินกว่าจะมีผลต่อโครงสร้างหรือแผ่นทวีป 10 ล้านเท่า" "ดวงอาทิตย์ซึ่งใหญ่กว่าดวงจันทร์มากแต่อยู่ห่างโลกมากกว่า จึงมีแรงนี้น้อยกว่าดวงจันทร์ประมาณครึ่งหนึ่ง หากดวงจันทร์และดวงอาทิตย์มาซ้อนกัน ผลคือทำให้เกิดน้ำขึ้นสูงในวันขึ้น 15 ค่ำและแรม 15 ค่ำเท่านั้นเอง” ดร.สธนกล่าว นอกจากนี้ ผลการเปรียบเทียบตำแหน่งการเรียงตัวของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะกับการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ 10 อันดับ ซึ่งเกิดที่เกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.47 เป็นแผ่นดินไหวใหญ่อันดับ 3 และครั้งรุนแรงสุดเกิดขึ้นที่ชิลี เมื่อ 22 พ.ค.03 นั้น ไม่มีครั้งใดเลยที่ดาวเคราะห์เรียงตัวกัน โดยพิจารณาเฉพาะดาวพุธ ดาวศุกร์ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และโลก ส่วนดาวเคราะห์วงนอกนั้น ดร.สธนกล่าวว่าตัดออกได้ เพราะอยู่ไกลมาก “เรียงหรือไม่เรียงไม่สำคัญ เพราะแรงไม่ถึงอยู่แล้ว คำอ้างในข่าวในฟอร์เวิร์ดเมล เป็นคำอ้างที่ไม่มีหลักฐาน การอ้างงานวิจัยก็มีความเข้าใจที่ไม่ตรง บทความยังไม่มีชื่อผู้เขียนและเป็นการคาดเดาไว้ก่อน” ดร.สธนวิจารณ์คำทำนายเรื่องโลกล่มสลาย ที่อ้างถึงผลการศึกษาของทีมนักวิจัยอิตาลี ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าวมีอยู่จริง แต่รายละเอียดระบุว่า มีความแปรปรวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ก่อนเกิดแผ่นดินไหวเล็กน้อย ซึ่งคาดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของโลกเอง ไม่ใช่พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดใหญ่ จนสามารถจุดฉนวนแผ่นดินไหวอย่างที่กล่าวอ้าง ภาพโพรมิเนนซ์ขนาดใหญ่หรือก๊าซที่ พวยพุ่งบนดวงอาทิตย์ตรงขวาบนของภาพ (ESA) -Solar Maximum คำที่ถูกอ้างวันโลกสลาย ความวิตกว่า โลกถึงคราวหายนะนั้น มักเชื่อมโยงการเข้าสู่ช่วง "โซลาร์ แม็กซิมัม" (Solar Maximum) ของดวงอาทิตย์ ซึ่ง ผศ.พงษ์ ทรงพงษ์ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งร่วมเวทีเสวนาอธิบายว่า ช่วงดังกล่าว ดวง อาทิตย์มีกิจกรรม*เกิดขึ้นมาก และมีการกลับขั้วสนามแม่เหล็ก เกิดขึ้นสลับกับ "โซลาร์ มินิมัม" (Solar Minimum) ที่ดวงอาทิตย์มีกิจกรรมน้อย โดยมีระยะเวลาสลับกันประมาณ 11 ปี “กิจกรรมต่างๆบนดวงอาทิตย์นั้น เกิดจากสนามแม่เหล็กเนื่องจากการไหลวนของก๊าซร้อนบนดวงอาทิตย์ ครั้งล่าสุดที่เกิด Solar Maximum คือเมื่อปี 2544 ส่วนตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วง Solar Minimum" "ครั้งแรกที่เราเริ่มนับจุดมืดบนดวงอาทิตย์คือเมื่อปี 2323 ซึ่งพบว่าการเกิดจุดมืดมากสลับกับไม่มีเลยนั้นเป็นช่วงๆ ชัดเจน ตอนนี้เราอยู่วัฏจักรสุริยะรอบที่ 23 และกำลังสู่รอบที่ 24 ในปี 2555 (หรือ 2012) ซึ่งจะเริ่มช่วง Solar Maximum รอบใหม่ แต่เราก็ตรวจดูสนามแม่เหล็กบนดวงอาทิตย์ทุกวันว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง” ผศ.พงษ์กล่าว เมื่อเข้าสู่ Solar Maximum สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ มีกิจกรรมบนดวงอาทิตย์มากขึ้น สนามแม่เหล็กมีการเปลี่ยนแปลง เพราะดวงอาทิตย์ส่งอนุภาคมีประจุมาเยอะขึ้น มีการพ่นมวลมีประจุมายังโลก ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เราสังเกตได้ เช่น ปรากฏการณ์แสงเหนือ-แสงใต้ ซึ่งเห็นได้ที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ แต่ปี 2501 มีรายงานพบแสงเหนือ-แสงใต้ที่เม็กซิโก ซึ่งอยู่ต่ำจากขั้วโลกเหนือลงมาอยู่ที่ละติจูด 30 องศาเหนือ เมื่อปี 2532 กิจกรรมบนดวงอาทิตย์ ได้ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าในระบบส่งไฟฟ้าของแคนาดา จนหม้อแปลงไหม้และเกิดไฟดับ แต่ในปี 2544 ไม่เกิดเหตุไฟดับเนื่องจากทราบว่าจะเกิดขึ้นและได้เตรียมการรับมือไว้
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#32
|
||||
|
||||
กระชับพื้นที่คืนความจริง “วันโลกหายนะ” (ต่อ) ภาพแสงเหนือจากลมสุริยะที่อลาสกา (John Russell/NASA) - ซากดาวส่องตรงรังสีแกมมาเผาโลกเป็นจุณ การระเบิดของรังสีแกมมา (Gamma Ray Burst: GRB) เป็นปรากฏการณ์ส่งรังสีแกมมาจากซากของดวงดาวที่กำลังดับสูญ และเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับดวงดาว ซึ่งมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 10 เท่าขึ้นไป โดยปกติดาวฤกษ์มีปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันเป็นแหล่งพลังงาน ซึ่งจะหลอมรวมธาตุเล็กให้กลายเป็นธาตุใหญ่ และให้พลังงานออกมา เสมือนมีแรงระเบิดนิวเคลียร์อยู่ภายในดวงดาว ขณะเดียวกันดาวฤกษ์ยังมีแรงโน้มถ่วงดึงมวลกลับมาอยู่รวมกัน จึงเปรียบได้กับการชักเย่อระหว่างแรงระเบิดกับแรงโน้มถ่วง เมื่อธาตุตั้งต้นหมดลงการระเบิดก็น้อยลง ทำให้แรงโน้มถ่วงชนะและเริ่มดึงให้ดาวยุบลง อย่างไรก็ดี การยุบตัวของดาวนั้น มีปลายทางที่แตกต่างกัน ดาวบางดวงยุบตัวอย่างเงียบสงบและหมดพลังงานไป บางดวงเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ขึ้นอีกเนื่องจากแรงโน้มถ่วงทำให้เกิดการหลอมรวมของธาตุครั้งใหม่ บางดวงเกิดระเบิดอย่างรุนแรงเรียกว่า “โนวา” (nova) หรือ “ซูเปอร์โนวา” (supernova) กลายเป็นเนบิวลาและเกิดการรวมตัวของก๊าซกลายเป็นดาวอีกรอบ บางดวงยุบตัวอย่างรวดเร็วและกลายเป็นหลุมดำ แต่บางครั้งเกิดการยุบตัวและเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่รุนแรงพร้อมๆกัน ทำให้เกิดรังสีแกมมาความเข้มสูงส่งออกมาในทิศทางที่แน่นอนและเป็นลำแคบๆหรือเรียกว่าการระเบิดของรังสีแกมมานั่นเอง “ถ้าส่องมายังโลก ก็ตายหมดทั้งโลก การระเบิดของรังสีแกมมาการระเบิดของรังสีแกมมานี้ น่ากลัวมาก แต่ต้องกลัวไหม ไม่ต้องกลัว เพราะถ้าเกิดขึ้นก็รวดเร็วมากจนเราไม่ทันได้รู้สึก เนื่องจากรังสีเดินทางด้วยความเร็วแสง" ผศ.พงษ์กล่าว อย่างไรก็ดี ผศ.พงษ์กล่าวเผยว่า โอกาสดังกล่าวเกิดขึ้นน้อยมาก เพราะอย่างแรกต้องเกิดใกล้ๆเรา ประมาณกาแลกซีถัดไป และต้องหันมาทางเราพอดี ซึ่งดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้เราที่สุดคือดาวพรอกซิมา (Proxima) อยู่ไกลออกไป 4.2 ปีแสง แต่มีขนาดเพียง 1 ใน 10 ของดวงอาทิตย์ เมื่อดาวดวงนี้ดับ จะไม่เกิดระเบิดรังสีแกมมาแน่นอน แต่ถ้าถึงวันหนึ่งเราจะต้องไป เราก็ต้องไป. **************************************************** *กิจกรรมสุริยะ (solar activities) คือปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนดวงอาทิตย์ ได้แก่ - การลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ (solar flare) เป็นการปะทุของก๊าซร้อนภายในดวงอาทิตย์เมื่อมีช่องโหว่ที่ผิวดวงอาทิตย์ ทำให้ก๊าซร้อนกว่า 20,000 องศาเซลเซียสปะทุออกมาที่ดวงอาทิตย์ซึ่งปกติมีอุณหภูมิประมาณ 6,000 องศาเซลเซียส เห็นเป็นแสงเจิดจ้าที่ผิวดวงอาทิตย์ - โพรมิเนนซ์ (prominence) เป็นพวยก๊าซที่พุ่งออกมา แล้วพุ่งกลับเหมือนมีท่อเป็นทางเดิน ซึ่งท่อดังกล่าวจริงๆแล้ว คือสนามแม่เหล็กที่บังคับให้พวยก๊าซพุ่งกลับสู่ดวงอาทิตย์ ขนาดของพวยก๊าซใหญ่กว่าโลกและดวงจันทร์ - ลมสุริยะ (solar wind) เป็นอนุภาคมีประจุที่ส่งมาจากดวงอาทิตย์พร้อมสนามแม่เหล็กระยะสั้นหรือเรียกว่าพายุสุริยะเมื่อมีความรุนแรงกว่าและอนุภาคถูกส่งพุ่งออกไปทั่วๆ การพ่นมวลจากดวงอาทิตย์ (coronal mass ejection: CME) เป็นอนุภาคของดวงอาทิตย์ที่พุ่งออกมาเป็นลำ ด้วยความเร็วสูงและมีทิศทางค่อนข้างแคบ เมื่อพุ่งมาแต่ละครั้งสามารถกลบโลกได้มิด โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมาโลกได้รับลำอนุภาคนี้ ส่งผลให้การสื่อสารขัดข้องและสำนักข่าวบีบีซีได้ออกประกาศเตือนถึงเรื่องนี้ด้วย - จุดมืด (sunspots) เป็นจุดดำบนดวงอาทิตย์ ค้นพบครั้งแรกเมื่อประมาณ 400 ปีก่อนโดย กาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei) หลังจากเขาประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์แล้วส่องขึ้นไปบนฟ้า โดยที่ยังไม่ทราบว่าการส่องดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่านั้นเป็นอันตราย ข้อดีของจุดมืดคือทำให้ทราบว่าดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเอง และจุดมืดนี้มีหลายจุดเพิ่มขึ้น-ลดลงอยู่เสมอ จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 28 พฤษภาคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#33
|
||||
|
||||
ไขปริศนา 'ภัยดวงดาว 'โลกล่มสลาย' 'แค่เล่าลือ' หรือมีมูล? แม้วิทยาการทางด้านดาราศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์จะก้าวล้ำมากขึ้นกว่าในอดีต แต่จนทุกวันนี้เรื่องของ “ดวงดาว” ก็ยังคงมี “ปริศนา” อยู่อีกมากมาย และปริศนาเหล่านี้บ่อยครั้งที่ “สร้างความตื่นกลัว” ทั้งโดยผู้ที่ตั้งใจปล่อยข่าว และโดยการ “เล่าลือ” ต่อ ๆ กันไป ซึ่งกับช่วงเดือน มิ.ย. 2553 นี้ก็มีการเล่าลือ... เล่าลือกันว่าจะเกิดปรากฏการณ์ “ดาวเรียงตัว” และจะสร้าง “หายนะรุนแรง” ต่อมนุษยชาติ ?? กับการเล่าลือล่าสุด ซึ่งมีการโพสต์ข้อความส่งต่อกันไปในอินเทอร์เน็ต ก็เช่น... วันที่ 8 มิ.ย. 2553 ดวงดาวในระบบสุริยะ คือ ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ดวงอาทิตย์ ดาวพฤหัสบดี จะโคจร “เรียงตัวกัน” และประมาณวันที่ 12 มิ.ย. 2553 ดาวโลก ดาวพฤหัส ดาวยูเรนัส ก็จะเรียงตัวกัน ซึ่งก็เล่าลือกันต่อเนื่องว่าจะสร้างหายนะต่อโลก เช่น เป็นปรากฏการณ์ที่จะจุดชนวนปฏิกิริยาของดวงอาทิตย์ ส่งผลให้โลกเกิด น้ำท่วมครั้งใหญ่ แผ่นดินไหวรุนแรง อากาศแปรปรวนครั้งเลวร้าย ภูเขาไฟระเบิดไปทั่ว เลยเถิดถึงการระเบิดของรังสีแกมมา-การ “สิ้นโลก” อย่างที่เคยมีการเล่าลือว่าจะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012 หรือ พ.ศ. 2555 ทั้งนี้ กับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ “ดวงดาว” นั้น ใน “เดลินิวส์” ฉบับวันนี้ ในหน้าวาไรตี้ก็มีข้อมูลมานำเสนอ ส่วนทาง “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ก็มีข้อบ่งชี้ชัด ๆ กล่าวคือ... เดือน มิ.ย. 2553 นี้ไม่มีการเกิดปรากฏการณ์ดวงดาวเรียงตัว !! จะมีก็แต่ จันทรุปราคาบางส่วน ในวันที่ 26 มิ.ย. 2553 หรือต่อให้เกิดดาวเรียงตัว ดาวเคราะห์ระบบสุริยะเรียงตัว ถามว่าจะมีผลต่อโลกหรือไม่ ? ทางสมาคมดาราศาสตร์ไทยชี้ว่า... ตำแหน่งวงโคจรของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะปัจจุบัน แต่ละดวงอยู่ห่างกันมาก แรงดึงดูดจากดาวเคราะห์ดวงอื่นที่กระทำต่อโลกมีค่าต่ำมากจนเกือบเป็นศูนย์ ดังนั้นไม่ว่าดาวเคราะห์จะเรียงอย่างไร เป็นเส้นตรง สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม กากบาท ฯลฯ ก็จะไม่ส่งผลเสียต่อโลก นอกจากนี้ เมื่อเร็วๆนี้ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีการจัดเสวนาเรื่อง “ตอบคำถามสังคมไทยต่อการล่มสลายของโลก” งานนี้ก็มีข้อบ่งชี้ที่เป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ โดย ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ ภาควิชาฟิสิกส์ ระบุถึงประเด็นเล่าลือเรื่องการเรียงตัวของดาวกับหายนะของโลก โดยยกตัวอย่างการเกิดแผ่นดินไหวว่า... จากการย้อนดูตำแหน่งดวงดาวในระบบสุริยจักรวาล ในวันที่โลกเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ๆหลายครั้งที่ผ่านมา ไม่ปรากฏว่ามีการเรียงตัวของดวงดาวเลย และโดยมากมีตำแหน่งที่อยู่คนละทิศละทางกัน ดังนั้น “ข้อสันนิษฐานที่ว่าดาวเคราะห์เรียงตัวจะทำให้เกิดแผ่นดินไหวเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” ส่วนเรื่องแรงดึงดูดของดวงจันทร์ที่ก็มีการลือกันด้วยว่าจะสร้างหายนะให้โลก จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ดร.สธนบอกว่า... แรงน้ำขึ้น-น้ำลงเกิดจากผลต่างของแรงดึงดูดของดวงจันทร์ต่อมวลสารบนโลกบนตำแหน่งต่างๆ ซึ่งแรงของดวงจันทร์ต่อโลกจะไม่เท่ากันในแต่ละพื้นที่ ถ้าอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้โลกก็จะมีแรงดึงมาก ถ้าอยู่ไกลก็จะมีแรงดึงน้อย แรงดึงของดวงจันทร์มีน้อยกว่าแรงโน้มถ่วงของโลกถึง 10 ล้านเท่า และแรงของดวงจันทร์จะดึงได้เฉพาะที่เป็นของเหลว คือน้ำ ขณะที่โลกทั้งโลกโดยรวมถือเป็นของแข็ง “อิทธิพลของดวงจันทร์ถ้าจะทำให้โลกเกิดแผ่นดินไหวก็จะต้องดึงโลกทั้งโลกซึ่งเป็นของแข็ง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” พร้อมกันนี้ ดร.สธนยังระบุถึงประเด็นเล่าลือเรื่องสนามแม่เหล็กโลกจะพลิกกลับขั้วจนทำให้สิ้นโลก โดยบอกว่า... การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ โดยมีสาเหตุมาจากการไหลของกระแสโลหะหลอมเหลวที่อยู่ตรงกลางโลก และครั้งล่าสุดเกิดเมื่อกว่า 4,000 ปีมาแล้ว ซึ่ง “กว่าที่สนามแม่เหล็กโลกจะกลับขั้วแต่ละครั้งจะห่างกันหลักแสนหรือหลักล้านปี ดังนั้น จะไม่กลับขั้วอีกครั้งเร็วๆนี้แน่” ด้าน ผศ.พงษ์ ทรงพงษ์ ภาควิชาฟิสิกส์เช่นกัน ก็บอกว่า.. ปฏิกิริยาบนดวงอาทิตย์กับการเกิดแผ่นดินไหวบนโลก การ “สิ้นโลก” นั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ซึ่งปฏิกิริยาบนดวงอาทิตย์เป็นเรื่องที่มีการเกิดขึ้นประจำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น การระเบิดจ้าบนผิวดวงอาทิตย์, ลมสุริยะ, จุดดับบนดวงอาทิตย์ ฯลฯ จะมาก-จะน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณสนามแม่เหล็กบนดวงอาทิตย์ ซึ่งก็ไม่เคยส่งผลเสียหายร้ายแรงต่อโลก สำหรับกรณีการระเบิดของรังสีแกมมากับการสิ้นโลกนั้น ผศ.พงษ์อธิบายว่า... การระเบิดของรังสีแกมมาเป็นปรากฏการณ์ดวงดาว เป็นอาการหนึ่งของดวงดาวที่กำลังดับสูญ โดยจะส่งรังสีแกมมาออกมาจากซากดวงดาว ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับดวงดาวที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ไม่น้อยกว่า 10 เท่า ซึ่งผลจากการระเบิดของรังสีแกมมาแม้จะรุนแรงมาก แต่โอกาสจะมีผลต่อโลกนั้นน้อยมาก เพราะถ้าจะมีผล ดวงดาวแหล่งกำเนิดต้องอยู่ไม่ไกล และมุมที่เกิดนั้นต้องส่องมายังโลกพอดี “โอกาสที่โลกจะสิ้นสูญจึงมีน้อยมาก โลกเกิดมาแล้ว 4,000 ล้านปี ยังไม่เคยโดนรังสีแกมมาแบบนี้แม้แต่ครั้งเดียว” ...ผศ.พงษ์ระบุ สรุปคือระยะนี้ยังไม่มีภัยดวงดาวที่จะทำให้ “สิ้นโลก” ภัยดวงดาวเป็นเพียง “ข่าวลือ” อย่าตื่นตระหนก !!!. จาก : เดลินิวส์ คอลัมน์ สกู๊ปหน้า 1 วันที่ 2 มิถุนายน 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#34
|
||||
|
||||
ถอดรหัสหายนะโลก วัน "ดาวเรียงตัว" 12มิ.ย.53 จากกรณี เกิดกระแสข่าวลือสร้างความสับสน-ตื่นตระหนกในโลกอินเตอร์เน็ตผ่านอีเมล์ลูกโซ่ ว่า ในวันที่ 12 มิถุนายน 2553 นี้ โลกมนุษย์ รวมถึงประเทศไทย อาจเกิดหายนะ เพราะผลจากปรากฏการณ์ดาวเคราะห์เรียงตัว เป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิครั้งใหญ่ตามมาทำลายล้างโลก ล่าสุด นักวิชาการจากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดเวทีสัมมนาเรื่อง "ตอบทุกคำถามสังคมไทยที่กังวลต่อการล่มสลายของโลก" ที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เพื่อให้ข้อมูลตามหลักวิชาการแก่ประชาชน ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ข้อมูลจากอีเมล์ลูกโซ่ดังกล่าวอ้างว่า ในวันที่ 12 มิถุนายน 2553 ประมาณ 11.30 UTC จะมีแผ่นดินไหว 7-8.5 ริกเตอร์ และอาจจะมีสึนามิตามมาในพื้นที่โซนแรกคือ เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ อาจจะเป็นหมู่เกาะสุมาตรา โซนที่สองในยุโรป แถบประเทศ อิตาลี สเปน และกรีก และโซนที่สาม ประเทศในอ่าวเม็กซิโก หรือทางฝั่งตะวันตกของประเทศอเมริกา โดยเป็นข้อมูลจากเว็บไซต์และอ้างว่าทำไมปฏิกิริยาบนดวงอาทิตย์จึงเกี่ยวกับแผ่นดินไหว คือ ถ้าเกิดปฏิกิริยาบนดวงอาทิตย์แล้ว จะทำให้โลกเกิดแผ่นดินไหวตามมาในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง พร้อมกับนำแบบจำลองของตำแหน่งดาวเคราะห์ในช่วงที่มีเหตุการณ์สึนามิครั้งใหญ่ของโลก 10 ครั้งมาประกอบ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า ในการเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ทั้ง 10 ครั้งนั้น ดาวเคราะห์ไม่ได้เรียงตัวในแนวเดียวกันแต่อย่างใด ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ ดังนั้น คำกล่าวที่ว่าดาวเคราะห์เรียงตัวกันแล้วเกิดแผ่นดินไหว ดูจากการเรียงตัวกันของดาวเคราะห์ในวันที่เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ๆของโลก 10 ครั้ง ไม่มีครั้งใดที่ดาวเคราะห์เรียงตัวกัน ที่สำคัญขณะนี้เป็นการพูดถึงวันที่ 12 มิถุนายน 2553 มองจากแบบจำลองคือดาวเคราะห์อยู่ในแนวดิ่งลง แต่โลกอยู่ในแนวตั้งฉาก ฉะนั้น โลกไม่ได้อยู่ในแนวเดียวกันกับดาวเคราะห์ในวันที่ 12 มิถุนายนอย่างแน่นอน ซึ่งในวันที่อ้างอื่นๆก็เช่นเดียวกัน ไม่มีวันใดที่โลกอยู่ในตำแหน่งเรียงตัวกันกับดาวเคราะห์และขนาดของแรงไม่สามารถทำให้เกิดอะไรได้ การกล่าวอ้างที่พูดถึงในเว็บไซต์และในจดหมายเรื่องหายนะดาวเรียงตัวเป็นคำอ้างที่ไม่มีหลักฐานและไม่มีการชี้แจงหรืออ้างบทความงานวิจัย ไม่ค่อยจะตรงกับงานวิจัยที่เขียนอยู่ และไม่มีผู้เขียน ไม่ระบุชื่อ เป็นลักษณะที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขียนในจดหมายลูกโซ่คืออะไรกันแน่ เป็นการคาดเดาไว้ก่อน ดร.สธน อธิบายให้ความกระจ่างต่อไปว่า ข้อมูลในวันโลกาวินาศอีกเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ คือเรื่องของการกลับขั้วสนามแม่เหล็กโลก หลายคนคิดว่าหากเกิดการกลับขั้วสนามแม่เหล็กโลกจะมีการพลิกสลับขั้ว แต่ที่จริงแล้ว โลกของเรามีสนามแม่เหล็กอยู่ ทิศทางของสนามแม่เหล็กเหมือนแท่งแม่เหล็ก แต่แท่งแม่เหล็กของโลกกลับกับแท่งแม่เหล็กที่เราอยู่ปกติ นั่นคือแท่งแม่เหล็กโลกขั้วใต้อยู่ที่ทิศเหนือ และแท่งแม่เหล็กโลกขั้วเหนืออยู่ที่ทิศใต้ ซึ่งสนามแม่เหล็กนี้เกิดจากการไหลของกระแสโลหะหลอมเหลวที่อยู่ในแกนกลางโลก เป็นเหมือนไดนาโมที่เราเอาขดลวดมาพันแล้วผ่านกระแสไฟฟ้าและเกิดสนามแม่เหล็ก ซึ่งเป็นแนวคิดที่ทราบกันมานานเนื่องจากการไหลของกระแสนี้ไม่สม่ำเสมอ ดังนั้น กระแสแม่เหล็กโลกจึงมีการเคลื่อนที่เปลี่ยนตำแหน่งอยู่เรื่อยๆ ตามการไหลของมัน เช่น มีการพบว่าในปี ค.ศ. 1904 อยู่บริเวณหนึ่ง และในปี 1996 จะเคลื่อนที่ไปอยู่อีกบริเวณหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ หากถามว่าสนามแม่เหล็กโลกกลับขั้วได้หรือเปล่า คำตอบคือ "กลับได้" จากการศึกษา "หิน" ที่ละลายแล้วแข็งตัวพบว่า โลกของเรากลับขั้วมาแล้วหลายครั้ง เวลาที่กลับและหินละลายออกมาใต้โลกยังที่ร้อนอยู่โลหะทั้งหลายที่อยู่ในหิน ยังหมุนไปมาได้ พอมาเจอสนามแม่เหล็ก มันจะปรับตัวเข้าตามสนามแม่เหล็ก เหมือนกับการที่เราเอาไขควงไปเผาให้ร้อน แล้วไปวางใกล้แม่เหล็ก พอไขควงนั้นเย็นลง จะเป็นแม่เหล็กไปด้วย กระบวนการที่ทำให้เกิดความร้อนสามารถทำให้เกิดแม่เหล็กได้ เพราะฉะนั้น หินจะมีสภาพความเป็นแม่เหล็กตามสภาพแม่เหล็กโลก ซึ่งพบว่ามีการเปลี่ยนมาแล้วหลายครั้ง แต่ละครั้งเว้นช่วงประมาณ 1 ล้านปี ปัจจุบัน โลกของเราจากการกลับครั้งสุดท้าย ผ่านมาแล้วประ มาณ 7 แสนปี และในระหว่าง 1 ล้านปี อาจจะมีการกลับขั้วเป็นช่วงสั้นๆ 4-5 พันปี มีบ้าง ซึ่งช่วงเวลาการกลับขั้วไม่แน่นอน ดังนั้น การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ใช่โลกจะพลิกกลับ แต่สนามแม่เหล็กโลกจะอ่อนกำลังลง และมีความยุ่งเหยิงมากขึ้นมีผลกับสัตว์ที่ต้องอาศัยสนามแม่เหล็กในการเดินทาง นกพิราบ ปลาฉลามวาฬ การใช้เข็มทิศ ดาวเทียม GPS หรือการใช้อุปกรณ์ที่ต้องอาศัยคลื่นวิทยุ โทรศัพท์มือถือ แต่อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ ก่อนจะกลับไปสู่สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอีกครั้ง ข้อมูลที่ปรากฏจากอีเมล์ลูกโซ่ที่บอกว่า ขั้วโลกจะพลิกกลับข้างภาย ใน 49 วันนั้น เป็นเวลาในช่วงการพลิกใช้เวลาเป็นพันปี ระหว่างการพลิกการเปลี่ยนแปลงใช้เวลา ณ ปัจจุบัน 7 แสนปี แต่เรารู้ว่ามีการเปลี่ยนแน่ๆ เพราะมีการวัดจากสนามแม่เหล็กโลกและรู้ว่ามีการอ่อนตัวลงของสนามแม่เหล็กโลก แต่ในปัจจุบันสนามแม่เหล็กโลกขึ้นๆลงๆ 7 แสนปีที่ผ่านมาเคยอ่อนกว่านี้ด้วยซ้ำ ฉะนั้น ยังไม่ใช่ประเด็นที่จะก่อให้เกิดปัญหามากมาย การพลิกก็ไม่ใช่โลกพลิกกลับข้าง และการเปลี่ยนแปลงนั้นช้า เป็นพันหรือแสนปีขึ้นไป ข้อมูลข่าวสารที่ประชาชนได้รับไม่ว่าจะเป็นในเรื่องอะไรควรมีการกลั่นกรอง ค้นคว้า ถามจากผู้รู้ หรืออาจใช้ช่องทางของคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ไม่ว่าจะเป็นการฝากข้อสงสัยต่างๆ พร้อมช่องทางในการติดต่อกลับที่สายด่วนคณะวิทยาศาสตร์ 0-2218-5555 หรืออีเมล์ scichula@gmail.com หรือ scicupr@gmail.com เพื่อให้นักวิชาการได้เข้าไปมีส่วนให้ข้อมูลที่ถูกต้อง อ้างอิงหลักฐานและหลักวิชาการ เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนได้อีกทาง จาก : ข่าวสด วันที่ 11 มิถุนายน 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#35
|
||||
|
||||
พรุ่งนี้ก็รู้แล้วนะคะว่า.....Fact or Fiction.....จริงหรือเท็จ
__________________
Saaychol |
#36
|
||||
|
||||
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากๆๆๆ หากเกิดขึ้นจริง ยานสะเทิ้นน้ำสะเทินบก คงจะขายได้ดี
แต่ยังไม่เห็นมีวางจำหน่าย เลย หรือมีแล้ว เป็นสัญญาซื้อ-ขายลับ เก็บที่ใดที่หนึ่งในโลก....
__________________
Superb_Sri_Nuan.Ray ณ SOS |
#37
|
||||
|
||||
เหยื่อดินถล่มจีน ทะลุ337ศพ คนสูญหายนับพัน
ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุดินถล่มทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ได้เพิ่มจำนวนเป็นอย่างน้อย 337 รายแล้ว ขณะที่ยอดผู้สูญหายล่าสุดจากข้อมูลของทางการจีนอยู่ที่ 1,148 ราย พบแม่เฒ่า 74 ปี รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์หลังติดใต้โคลน... สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 10 ส.ค.ว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุดินถล่มทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ได้เพิ่มจำนวนเป็นอย่างน้อย 337 รายแล้ว ขณะที่ยอดผู้สูญหายล่าสุดจากข้อมูลของทางการจีนอยู่ที่ 1,148 ราย รายงานข่าวระบุว่า ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมาทำให้เกิดเหตุดินถล่มขึ้นในหลายพื้นที่ของมณฑลกานซู ทำให้ถนน อาคาร บ้านเรือนต่างๆ ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก ขณะที่ทางการจีนได้ระดมกำลังทหารมากกว่า 4,500 นาย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ดับเพลิง หน่วยกู้ภัย และทีมแพทย์ฉุกเฉินเข้าไปในพื้นที่เพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตและให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยอื่นๆ แล้ว ด้านสำนักข่าวซินหัวของจีนระบุว่า พบแม่เฒ่า วัย 74 ปีรายหนึ่ง รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์หลังจากติดอยู่ใต้ซากอาคารแห่งหนึ่งที่มีโคลนถล่มทับ โดยหน่วยกู้ภัยได้นำตัวเธอส่งยังโรงพยาบาล และขณะนี้มีอาการปลอดภัยแล้ว แหล่งข่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในมณฑลกานซู ออกมาเปิดเผยว่า ตัวเลขผู้สูญหายในพื้นที่ล่าสุดอยู่ที่ 1,348 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่ารายงานของรัฐบาลจีน พร้อมระบุอาจพบร่างผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกตลอดระยะหลายวันข้างหน้านี้. โดย ไทยรัฐ http://www.thairath.co.th/content/oversea/102636 ************************************************************* กู้ภัยจีนเร่งค้นหาผู้สูญหายจากเหตุโคลนถล่มในมณฑลกันซู่ เจ้าหน้าที่กู้ภัยจีนยังคงช่วยกันค้นหาชาวบ้าน 1,148 คนที่สูญหายไปหลังจากเกิดเหตุโคลนถล่มในพื้นที่ห่างไกลของมณฑลกันซู่ เนื่องจากมีฝนตกลงมาอย่างหนักเมื่อวันเสาร์ โดยบ้านเรือนประชาชนในหมู่บ้าน 3 แห่ง ถูกกลืนหายไปกับกระแสโคลน อย่างไรก็ตาม ความหวังที่จะพบผู้รอดชีวิตเริ่มเลือนลาง ขณะที่คาดว่าจะมีฝนตกลงมาอีกในปลายสัปดาห์นี้ ส่วนตัวเลขผู้เสียชีวิต ล่าสุดอยู่ที่ 337 คน และมีผู้บาดเจ็บ 218 คน นอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ในจำนวนนี้ 41 คนอาการสาหัส ด้านนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า เร่งให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยทำงานแข่งกับเวลาในการค้นหาผู้รอดชีวิต แต่ยอมรับว่าเป็นภารกิจที่ยากลำบาก โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 10-08-2010 เมื่อ 13:25 |
#38
|
||||
|
||||
วานูอาตูแผ่นดินไหว 7.5 เกิดสึนามิขนาดย่อม เกิดแผ่นดินไหวระดับ 7.5 ที่วานูอาตู ทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดเล็ก ด้านศูนย์เตือนภัยสึนามิแปซิฟิกเตือน อาจมี "สึนามิใหญ่ตามมา"... สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ว่าเกิดเหตุแผ่นดินไหวระดับ 7.5 ที่หมู่เกาะวานูอาตูในมหาสมุทรแปซิฟิก แรงสั่นสะเทือนทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดเล็กสร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนนับพัน rากันวิ่งแตกตื่นขึ้นสู่พื้นที่สูงและเนินเขา สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งชาติสหรัฐฯ (USGS) รายงานในเบื้องต้นว่าจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งนี้อยู่ลึกลงไปใต้ทะเลราว 35 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากกรุงพอร์ท วิลา เมืองหลวงของวานูอาตูเพียง 40 กิโลเมตร โดย USGS ระบุว่าแรงสั่นสะเทือนได้เริ่มทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดเล็กก่อตัวนอกชายฝั่งวานูอาตูแล้ว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่อยู่ในเหตุการณ์รายหนึ่งเผยว่า อาคารหลายแห่งในกรุงพอร์ต วิลา ประสบแรงสั่นสะเทือนต่อเนื่องราว 15 นาที แต่ยังไม่พบความเสียหายแต่อย่างใด ล่าสุด ศูนย์เตือนภัยสึนามิแห่งมหาสมุทรแปซิฟิกออกมาเตือนว่า คลื่นสึนามิขนาดเล็กที่มีความสูงราว 9.2 นิ้วได้เริ่มซัดเข้าโจมตีกรุงพอร์ต วิลาแล้ว และมีความเป็นไปได้ที่อาจเกิดคลื่นสึนามิที่มีขนาดใหญ่และมีความสูงมากขึ้นตามมา. ขอบคุณข่าวและภาพจาก....ไทยรัฐ http://www.thairath.co.th/content/oversea/102698
__________________
Saaychol |
#39
|
||||
|
||||
นี่ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งของ หายนะบนโลกค่ะ
ขอ Share มาจาก FB ของน้องนุ ค่ะ Flash floods kill more than hundred people and leave several tourists stranded around the main town of India's Himalayan region of Ladakh. http://in.reuters.com/news/pictures/...INRTR2H3SX#a=3
__________________
Superb_Sri_Nuan.Ray ณ SOS |
#40
|
||||
|
||||
แผ่นดินไหว 7.0 ริกเตอร์ที่นิวซีแลนด์ ตาย 0 ราย-ปาฏิหาริย์หรือเทคโนโลยี ? สภาอาคารเมืองไครสต์เชิร์ช หลังผ่านเหตุแผ่นดินไหว 7.0 ริกเตอร์ “ตาย 220,000 ราย เหยื่อแผ่นดินไหวระดับ 7.0 ริกเตอร์ในเฮติ ณ มกราคม 2010” “เหยื่อแผ่นดินพิโรธ 6.9 ริกเตอร์ พุ่งถึง 2,000 ศพ ที่ตะวันตกเฉียงเหนือของจีนเดือนเมษายน 2010” “กว่า 500 ชีวิตสังเวยแผ่นดินไหว 8.8 ริกเตอร์ ที่ชิลี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2010” และแล้วปาฏิหาริย์ได้อุบัติขึ้นให้ชาวโลกได้ประจักษ์ในเมืองแห่งพระเยซู หรือ ไครสต์เชิร์ช นครขนาดใหญ่อันดับสองของประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อชาวเมือง 340,000 คนภายในเมืองต้องประสบกับเหตุแผ่นดินไหวระดับดุเดือดถึง 7.0 ริกเตอร์ ในช่วงเช้ามืดของวันเสาร์ที่ 4 กันยายน หายนะที่เกิดขึ้น ณ มูลค่ามากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยแผ่นดินแยกเป็นแนวยาว รางรถไฟบิดเบี้ยวเสียหาย แต่ปรากฏว่าอาคารต่างๆส่วนใหญ่ไม่มีการพังทลายหรือยุบตัว และเหนืออื่นใด แม้จะมีรายงานถึงเหยื่อแผ่นดินไหวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย แต่ไม่มีรายงานการเสียชีวิตในเหตุรุนแรงครั้งนี้!! นี่คือปาฏิหาริย์ หรือผลงานเชิงเทคโนโลยีกันแน่? เจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งเมืองไครสต์เชิร์ชให้ข้อมูลว่า ในเบื้องต้นเลยโชคดีที่การสะเทือนเลื่อนลั่นของแผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดในช่วงเช้ามืด ทำให้ลดความเสี่ยงไปได้อย่างมหาศาลในแง่ที่ว่าจะมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายจาก แผ่นดินแยก หรือกำแพงอาคารร่วงทับ และจึงกลายเป็นว่าเหยื่อที่โดนกำแพงอาคารร่วงทับกลับเป็นบรรดารถยนต์ที่จอดอยู่ข้างบ้าน โชคดีประการสำคัญมีอยู่ว่า ผู้คนส่วนใหญ่ยังอยู่ในอาคารบ้านเรือนซึ่งค่อนข้างปลอดภัย เป็นความปลอดภัยที่สวนทางอย่างยิ่งกับข้อเท็จจริงที่ว่า นิวซีแลนด์นั้นตั้งอยู่บนจุดเสี่ยงสูงของโลก โดยอยู่ในพื้นที่หัวแยกของแนวการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกสองแผ่น ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ที่แท้แล้วเป็นผลจากการ “ลงทุน” สร้างระบบโครงสร้างความปลอดภัยไว้เมื่อราวสิบปีที่ผ่านมา หลังจากที่มีการรณรงค์ให้ตื่นตัวกับการป้องกันภัย ผ่านการสรุปบทเรียนราคาแพงที่นิวซีแลนด์เคยได้รับในกรณีธรณีพิโรธเมืองนาเปียร์ ปี 1931 อันเป็นมหาวิบัติแผ่นดินไหวสะท้านสะเทือนระดับ 7.8 ริกเตอร์ และคร่าชีวิตผู้คนไป 256 ราย ที่ฮอว์กส์ เบย์ เด็กหนุ่มเมืองกีวีไต่ลงไปในรอยแยกของถนน ปีเตอร์ เบิร์กเอาท์ ซีอีโอแห่งสถาบัน BRANZ ซึ่งเป็นองค์การด้านวิจัยความปลอดภัยในการก่อสร้าง ให้เฉลยว่า อาคารบ้านเรือนรุ่นใหม่ๆในนิวซีแลนด์ ส่วนใหญ่สร้างขึ้นด้วยโครงไม้ซุงขนาดเบา ซึ่งเอื้อให้เกิดความยืดหยุ่นขณะที่ถูกเล่นงานโดยคลื่นสั่นไหวของผืนแผ่นดิน ในการนี้ อาคารที่ได้รับความเสียหายหนักๆในไครสต์เชิร์ช เป็นอาคารรุ่นเก่าที่สร้างจากวัสดุที่เกาะตัวกันแน่นหนา จนทำให้ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ในยามแผ่นดินไหว เบิร์กเอาท์บอกว่านิวซีแลนด์เป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำของโลกที่ได้รับการออกแบบให้ทนทานต่อภัยแผ่นดินไหว โดยที่สถาบัน BRANZ ได้จัดสร้างโรงงานวิจัยขนาดใหญ่ในเวลลิงตันไว้แสดงให้เห็นกันกับตาว่า บ้านหลังใหญ่ ไซส์จริงๆ นั้น สามารถรับแรงเขย่าแบบแผ่นดินไหวได้อย่างไร แม้แต่อาคารสำนักงานก็ถูกสร้างบนรากฐานที่มีลักษณะที่เหมือนกับอยู่บนการรองรับที่ซับแรงกระเทือนได้ ดังนั้น หากต้องเผชิญกับแรงสะเทือนของแผ่นดินไหวใหญ่ๆ อาคารเหล่านี้สามารถสั่นสะท้านไปทั่ว แต่ไม่ทลายตัวลงมา เท่ากับการลดโอกาสสร้างความเสียหายรุนแรงต่อร่างอันบอบบางของมนุษย์ที่อยู่ภายใน หรืออยู่ใกล้ๆกับอาคารได้อย่างมหาศาล ต้องขอบคุณปาฏิหาริย์แห่งเทคโนโลยี และปาฏิหาริย์แห่งพลังใจผู้คนที่มองการณ์ไกลเพียงพอที่จะลงทุนเพื่อสร้างความปลอดภัยอย่างยั่งยืน อันเป็นคุณลักษณ์ที่หายากในประเทศต่างๆ ทั่วโลก จาก .......... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 5 กันยายน 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|