เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > ท่องเที่ยวทั่วแผ่นดิน

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #51  
เก่า 07-07-2010
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default



เมื่อเราเข้าไปในบริเวณสถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร....เราได้เห็นรูปปั้นของ หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ตั้งอยู่ ท่ามกลางสวนหย่อมที่ตัดตกแต่งไว้อย่างดี...

รูปขนาดเล็ก
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	Sithiporn-Station_01.jpg
Views:	0
Size:	91.2 KB
ID:	7617   คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	Sithiporn-Station_02.jpg
Views:	0
Size:	99.4 KB
ID:	7618  
__________________
Saaychol
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #52  
เก่า 07-07-2010
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default


สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร ตั้งอยู่บนพื้นที่ซึ่งเคยเป็นฟาร์มบางเบิด ของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร นักบุกเบิกการเกษตร ผู้อุทิศชีพเพื่อเกษตรกรรมและเกษตรกรไทย ในระหว่างปี พ .ศ.2463 - 2502 พระองค์ได้ทรงทำการเกษตรแบบไร่นาสวนผสมขึ้นที่ฟาร์มบางเบิด เพื่อเป็น แบบอย่าง และเป็นทางเลือกสำหรับอาชีพของชนชั้นกลางรุ่นใหม่ ต่อมา พื้นที่ ดังกล่าวได้ตกเป็นที่ราชพัสดุ และให้เกษตรกรเช่าใช้ประโยชน์


ปัจจุบัน สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 452 ไร่ 77.6 ตารางวา แบ่งเป็น 2 แปลง คือ พื้นที่ตั้งสถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร มีเนื้อที่ 444 ไร่ 1 งาน 68.7 ตารางวา เป็นสถานที่ก่อสร้างอนุสรณ์สถานหม่อมเจ้าสิทธิพรกฤดากร สถานที่ก่อสร้างอาคารต่างๆ แปลงทดลองระะบบเกษตรที่เหมาะสมสำหรับภาคใต้ โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจ คือ ปาล์ม น้ำมัน และยางพารา และพื้นที่โครงการวิจัยด้านการประมง มีเนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 8.9 ตารางวา เป็นที่ตั้งอาคารปฏิบัติการประมง ซึ่งทำงานวิจัยด้านการเพาะเลี้ยงปูม้าหรือปูทะเลเพื่อปล่อยกลับสู่ธรรมชาติ เป็นหลัก


ข้อมูลจาก...http://www.aerdi.ku.ac.th/department...on_history.htm (ขอขอบคุณไว้ ณ.ที่นี้ค่ะ)




รูปปั้นที่เห็นในสถานีวิจัยฯ แห่งนี้....ทำให้เราจินตนาการได้ว่า หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ทรงมีความสุขเพียงไร ที่ได้มาประทับอยู่ที่ฟาร์มบางเบิด ท่ามกลางสวนเกษตรและสัตว์เลี้ยงที่ท่านโปรดปราน...
รูปขนาดเล็ก
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	Sithiporn-Station_03.jpg
Views:	0
Size:	114.5 KB
ID:	7619  
__________________
Saaychol

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 08-07-2010 เมื่อ 06:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #53  
เก่า 07-07-2010
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default



เราขับรถไปตามถนนที่ร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่ที่ปลูกอยู่ข้างทาง....

หลังแนวไม้ด้านซ้าย เป็นอาคารที่ทำการของสถานีวิจัย และโรงเพาะชำกล้าไม้ ที่มีเยาวชนหลายคนเข้ามาศึกษางาน และมีคนงานทำงานอยู่


ส่วนด้ายซ้ายเป็นบ้านพักสีขาวทรงสูงคล้ายโรงนาฝรั่ง ตั้งอยู่บนสนามหญ้าสีเขียวขจี มีไม้เลื้อย และไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่นแก่บ้านพักหลังนี้....


บ้านหลังนี้เอง ที่เคยเป็นที่ประทับของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤาดากร ในฟาร์มบางเบิด มาก่อนนั่นเอง


“ฟาร์มบางเบิด” เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2463 ณ ไร่บางเบิด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร พร้อมกับศรีภรรยาและลูกน้อยอีก 2 คน เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น





หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากรทรงค้นคว้าความรู้ด้านช่างและเกษตรกรรม ทรงเห็นว่าเกษตรกรรมที่พึ่งพืชเพียงอย่างเดียว คือ ข้าว นั้นย่อมได้ประโยชน์จากการใช้ที่ดินไม่สมบูรณ์ และทรงพิสูจน์ว่าพืชอื่นๆ ก็สามารถปลูกให้ได้ผลดีในประเทศเราเหมือนกัน โดยเฉพาะในที่ดอน โดยปลูกพืชหลายชนิดในลักษณะการเกษตรผสมผสาน มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทั้งด้านการปรับปรุงดิน การเลือกชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ การคัดพันธุ์ ผสมพันธุ์ การบำรุงรักษาพืชที่ปลูกและสัตว์ที่เลี้ยง การให้ปุ๋ย การใช้ยากำจัดศัตรูพืช ฟาร์มบางเบิดจึงเป็นฟาร์มแห่งแรกในประเทศไทยที่ปลูกพืชคลุมต่างๆ ด้วยการปลูกหมุนเวียนในที่ดินแห่งเดียวต่างกับปลูกพืชดอนในสมัยนั้น ซึ่งส่วนมากปลูกในไร่เลื่อนลอย และเป็นแห่งแรกที่ได้ทำการอนุรักษ์ดินไม่ให้หน้าดินถูกชะล้างไป โดยการปลูกต้นมะพร้าวไว้ตามขอบแปลงเป็นแถวยาวโค้งไปตามความสูงต่ำของระดับพื้นดิน เป็นการเริ่มงานอนุรักษ์ดินที่แท้จริง


ฟาร์มบางเบิดเป็นฟาร์มแห่งแรกที่ได้ส่งพันธุ์ปศุสัตว์โดยเฉพาะไก่กับสุกรมาเลี้ยงเป็นการค้า สำหรับไก่ที่เลี้ยงเป็นพันธุ์เล็กฮอร์นขาว หงอนแดง โดยเลี้ยงเป็นฝูงใหญ่เพื่อจำหน่ายไข่ โดยส่งจำหน่ายในตลาดกรุงเทพฯ สำหรับหมูเป็นหมูพันธุ์ยอร์คเชีย ตัวย่อมกะทัดรัด โดยส่งจำหน่ายในตลาดปีนัง และยังเลี้ยงวัวนมที่มีน้ำนมดีสำหรับรีดเลี้ยงบุตร





ที่นี่ยังเป็นฟาร์มแห่งแรกที่ได้นำพันธุ์แตงโมจากสหรัฐอเมริกาพันธุ์ tom watson และพันธุ์ klondike มาปลูกจำหน่ายจนมีชื่อเสียงเป็นพันธุ์ที่รู้จักกันดีในนามของ “แตงโมบางเบิด” แตงโมที่ผลิตได้จะจำหน่ายในตลาดกรุงเทพฯ และปีนัง โดยการใช้เกวียนหลายๆ เล่มขนส่ง และเป็นแห่งแรกที่ได้ทดลองผลิตยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนียที่บ่มด้วยความร้อน





ถั่วลิสงที่ปลูกในฟาร์มเป็นก็เป็นถั่วชนิดฝักป้อมใช้ปลูกด้วยเครื่องจักรและ เข้าเครื่องสำหรับกะเทาะเปลือกได้สะดวกดี ข้าวโพดที่ปลูกเป็นพันธุ์ที่ส่งมาจากต่างประเทศใช้เมล็ดเลี้ยงสัตว์และตัด ต้นลงดินเป็นปุ๋ยพืชสดเพื่อบำรุงดินให้อุดมสมบูรณ์สำหรับพืชอื่นๆ ต่อไป คนงานเป็นพวกชาวบ้านป่าแถบนั้นเอง ในระหว่างเขตของฟาร์มบางเบิดกับฟาร์มของเจ้าคุณพิพัทธกุลพงษ์มีห้วยน้ำไหล ผ่านไปลงทะเล น้ำในห้วยใสสะอาดจืดสนิทใช้บริโภคได้ และใช้น้ำในห้วยนี้สำหรับการเกษตรในฟาร์ม ซึ่งนับได้ว่าเป็นแห่งแรกที่ทำการปลูกพืชไร่และสัตว์เลี้ยงทำนองวิธีการที่ เรียกกันว่า “ไร่นาผสม”


พระองค์ทรงนำเครื่องทุ่นแรง คือ เครื่องจักรเครื่องมือเข้าใช้ ในที่ๆ วัวควายทำไม่ได้ ซึ่งการนำเครื่องทุ่นแรง เช่น รถแทรกเตอร์ในสมัยนั้นหย่อนคุณภาพ ค่าใช้จ่าย และค่าสึกหรอแพงมาก พระองค์จึงทรงใช้ทั้งวิทยาการสมัยใหม่ร่วมกับภูมิปัญญาพื้นบ้านได้อย่าง เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ อีกทั้งจัดให้มีการจัดระบบการเก็บสถิติการทดลอง การบันทึกค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการฟาร์ม ซึ่งเป็นการควบคุมต้นทุนการผลิต


พระองค์ทรงสนพระทัยเข้าคลุกคลีทำการทดลองวิจัยค้นคว้าหาข้อบกพร่อง และปรับปรุงจากการที่ทรงปฏิบัติจริงด้วยพระองค์เอง เมื่อปรากฎว่าได้ผลดีก็ได้นิพนธ์บทความชี้แจงถึงวิธีปฏิบัติการพร้อมด้วย สถิติตัวเลขประกอบ เพื่อเป็นวิทยาการเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ให้แก่เกษตรกรอื่นๆ ได้ทราบและปฏิบัติตาม จึงเป็นแนวความคิดให้เกิด “หนังสือพิมพ์กสิกร” โดยมีความมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่วิชาชีพทางประกอบกสิกรรมและเป็นสื่อนำความคิด เห็นในด้านนโยบายส่งเสริมการเกษตรของนักวิชาการเกษตรไปสู่ความรู้สึกนึกคิด ของผู้ใหญ่ฝ่ายปกครองตลอดจนกระทั่งถึงพระเจ้าแผ่นดิน


ในช่วงบั้นปลายแห่งชีวิต ท่านสิทธิพรทั้งชราและยากจนลงมากเกินกว่าจะดูแลรักษาไร่บางเบิดซึ่งมีขนาด ใหญ่ถึง 250 ไร่ ให้มีสภาพคงเดิมได้ ท่านจึงตัดสินใจขายไร่บางเบิดให้กับรัฐบาลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และท่านนำเงินที่มีอยู่จาการขายไร่นี้ไปซื้อที่ดินแปลงเล็กๆ ที่หัวหินเพื่อทำการทดลองการเกษตรต่อไป



ข้อมูลจาก....http://www.aerdi.ku.ac.th/department...ge/history.htm (ขอขอบคุณไว้ ณ.ที่นี้ค่ะ)



เราเห็นที่ประทับของพระองค์ท่านแล้ว ชอบมากค่ะ ถึงจะเป็นบ้านที่สร้างมาหลายปี แต่ก็ยังดูทันสมัย และน่าอยู่อาศัยเป็นที่สุด....
รูปขนาดเล็ก
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	Sithiporn-Station_05.jpg
Views:	0
Size:	237.9 KB
ID:	7620  
__________________
Saaychol

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 07-07-2010 เมื่อ 16:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #54  
เก่า 07-07-2010
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default



ที่ด้านในสุดของสถานีวิจัยฯ เป็นเรือนพักหลังยาวๆหลายหลัง และที่ทำให้สายชลตาโตก็คือ ที่นั่นมีแปลงปลูกต้นมะขามป้อม ที่กำลังออกลูกระย้าย้อยเต็มต้น


เห็นแล้วก็อยากหาไปปลูกที่บ้าน....เราจึงลงไปถามคนงานที่นั่นว่ามีต้นมะขามป้อมขายไหม จะขอซื้อสักสองสามต้น คำตอบก็คือ "ไม่มีค่ะ ที่นี่กำลังทดลองปลูกอยู่"

รูปขนาดเล็ก
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	Sithiporn-Station_06.jpg
Views:	0
Size:	238.0 KB
ID:	7621  
__________________
Saaychol
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #55  
เก่า 07-07-2010
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default

สายชลชอบทานมะขามป้อมมาก สมัยเด็กๆชอบเข้าป่าแถวบ้านทางภาคเหนือ ไปหามะขามป้อมมาทานทั้งแบบสดๆ และให้แม่บ้านดองให้ทานบ่อยๆ ทานแล้วก็ฝาดมาก แต่พอดื่มน้ำตามไปก็ชุ่มคอชื่นใจ

ทราบไหมคะ...มะขามป้อมเป็นพืชที่มีประโยชน์มากมาย ทุกส่วนของมะขามป้อมนำมาใช้ประโยชน์ได้หมด


ลองอ่านบทความนี้ดูนะคะ...



‘มะขามป้อม’ สุดยอดวิตามินซี ยาอายุวัฒนะขนานเอก ช่วยบำบัดโรค




มะขามป้อม เป็นสมุนไพรพระเอกของฤดูหนาวอีกชนิดหนึ่งที่ถูกกล่าวขวัญมาก ผู้เขียนเคยไปเดินป่าเก็บลูกมะขามป้อมกินสดๆ แรกๆ กัดเข้าไปทั้งฝาดทั้งขมและก็เปรี้ยว เรียกว่าหลับตาปี๋เลยทีเดียว แต่พอสักครู่เคี้ยวไปเคี้ยวมาทำไมรู้สึกว่าหวานได้ ที่สำคัญชุ่มคอจริงๆ จึงนำเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับมะขามป้อมมาฝาก


ชื่อสามัญ...........มะขามป้อม


ชื่อวิทยาศาสตร์
.... Phyllanthus emblica Linn. วงศ์ EUPHORBIACEAE


ชื่ออื่น.............. กำทวด (ราชบุรี) สันยาส่า มั่งลู่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) กันโตด (เขมร-จันทบุรี) อิ่ว อำใบเหล็ก (จีน)



ลักษณะ


มะขามป้อมเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดสูงประมาณ 7-15 เมตร ลำต้นมีเปลือกเรียบเกลี้ยง ลอกออกเป็นแผ่นๆ


ใบ ใบเดี่ยวเรียงชิดติดกันคล้ายขนนก ปลายใบยาวรี สีเขียวแก่ ยาวประมาณ 1 ซม.


ดอก
ออกดอกเป็นช่อหรือเป็นกระจุก ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียแยกกันอยู่บนต้นเดียวกัน หนึ่งดอกมีกลีบดอกประมาณ 5-6 กลีบ มีสีเหลืองอมเขียว


ผล รูปร่างกลม ผิวเกลี้ยง เนื้อหนา รสฝาด มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. เปลือกแบ่งเป็นสันความยาว 6 ซม. ภายในเนื้อมีเมล็ดสีน้ำตาลอยู่ 6 เมล็ด


ส่วนที่ใช้ ใบ เปลือกลำต้น ผล ปมที่ก้าน ราก



สรรพคุณทางยาสมุนไพรใช้ตามตำราโบราณ


รากแห้งของมะขามป้อม ใช้ต้มดื่มแก้ร้อนใน แก้ท้องเสีย แก้โรคเรื้อน ลดความดันโลหิต


รากสดมะขามป้อม นำมาพอกแผลเมื่อโดนตะขาบกัด สามารถแก้พิษได้


เปลือกลำต้นมะขามป้อม
ใช้เปลือกแห้งบดเป็นผง โรยบาดแผลหรือนำมาต้มดื่มแก้โรคบิดและฟกซ้ำ


ปมก้าน ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากแก้ปวดฟัน โดยนำปมก้าน 10-30 อัน มาต้มกับน้ำแล้วใช้อมหรือดื่มแก้ปวดท้องน้อย กระเพาะอาหาร แก้ปวดเมื่อยกระดูก แก้ไอ แก้ตานซางในเด็ก


ผลมะขามป้อมสด ใช้รับประทานเป็นผลไม้แก้กระหายน้ำได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังเป็นยาบำรุง แก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะ ขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย รักษาคอตีบ รักษาเลือกออกตามไรฟัน หรือจะนำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้ง รับประทานเป็นยาถ่ายพยาธิ


ผลมะขามป้อมแห้ง นำมาบดชงน้ำร้อนแบบชาดื่มแก้ท้องเสีย โรคหนองในบำรุงธาตุ รักษาโรคบิด ใช้ล้างตา แก้ตาแดง เยื่อบุตาอักเสบ แก้ตกเลือด ใช้เป็นยาล้างตาหรือจะผสมกับน้ำสนิมเหล็กแก้โรคดีซ่าน โลหิตจาง


เมล็ด นำมาเผาไฟจนเป็นเถ้าผสมกับน้ำมันพืช ทาแก้คัน หืด หรือตำเป็นผงชงน้ำร้อนดื่มรักษาโรคเบาหวาน หอบหืด หลอดลมอักเสบ รักษาโรคตา แก้คลื่นไส้ อาเจียน



คุณค่าทางอาหาร


มะขามป้อมมีรสชาติถึง 5 รสด้วยกันคือ เปรี้ยว หวาน เผ็ดร้อน ขม ฝาด ถือได้ว่าทุกส่วนของมะขามป้อมมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายเราทั้งสิ้น ในมะขามป้อม 1 ผลมีวิตามินซีสูงมาก นับว่าเป็นยาอายุวัฒนะขนานหนึ่ง ทางที่ดีเราควรหันมาบริโภคมะขามป้อมเป็นยาบำรุงและบำบัดโรค



มะขามป้อม เป็นส่วนผสมของสูตรยาตรีผลาตามตำรับยาไทยโบราณ ซึ่งประกอบด้วยสมอไทย สมอพิเภก และมะขามป้อม เพื่อล้างพิษออกจากระบบต่างๆของร่างกายโดยเฉพาะระบบทางเดินอาหาร ระบบเลือด และระบบน้ำเหลือง



ในมะขามป้อมนั้นมีแคลเซียมสูงมาก ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังมีวิตามินซีช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย



ข้อมูลจาก....http://www.thaihealth.or.th/node/7188 (ขอขอบคุณไว้ ณ.ที่นี้ค่ะ)
รูปขนาดเล็ก
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	Sithiporn-Station_07.jpg
Views:	0
Size:	157.4 KB
ID:	7622  
__________________
Saaychol

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 07-07-2010 เมื่อ 15:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #56  
เก่า 07-07-2010
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default


เราผิดหวังนิดๆที่ไม่ได้ต้นมะขามป้อมไปปลูก...แต่ไม่เป็นไรค่ะ ไปหาเอาใหม่แถวร้านขายต้นไม้ในกรุงเทพฯก็ได้...


เราขับรถออกจากสถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร พ้นประตูมาได้ก็เลี้ยวขวา ย้อนลงใต้ไปอีกนิดหนึ่งก็ถึงทางแยกไปทางเนินทรายมหัศจรรย์


ถนนที่ลัดเลาะไปตามคลองส่งน้ำเป็นถนนสองเลนลาดยางอย่างดี ที่มีท่าทีจะขยายเป็นถนนที่ใหญ่ขึ้นในไม่ช้านี้ พื้นที่แถวนี้ส่วนใหญ่เป็นทรายที่มีหญ้าปกคลุมอยู่ รถแล่นเข้าไปได้สักพัก ทางด้านซ้ายของถนนก็ปรากฎที่ดินผืนใหญ่ที่เขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย เหมือนโอเอซิสผุดขึ้นกลางทะเลทราย แถมมีรั้วรอบขอบชิดขนานไปกับถนนเป็นระยะทางยาว


เรานึกชื่นชมว่าผู้เป็นเจ้าของดูแลเอาใจใส่ ในที่ดินผืนนี้ได้ดีจริงๆ


ไม่นานนักเราก็เห็นประตูทางเข้าที่ดินผืนนี้ พอเห็นป้ายที่ติดไว้ว่า "โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ชุมพร" เราก็เลยถึงบางอ้อ...


ขอจงทรงพระเจริญ








อ้างอิง:
โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ จังหวัดชุมพร


ความเป็นมา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีที่ดินส่วนพระองค์ที่บ้านน้ำพุ ตำบลปากคลอง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เนื้อที่ประมาณ 448 ไร่ พื้นที่อยู่ติดทะเลสภาพเป็นดินทรายชายทะเลที่ถูกคลื่นทับถมกันเป็นเวลานานจน กลายสภาพเป็นเนินทราย (sand dune) กระจายอยู่ทั่วไป แต่เดิมสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ได้จัดทำโครงการวิจัยปลูกต้นไม้โตเร็วชนิดต่างๆ เป็นจำนวนมากเพื่อศึกษาผล กระทบที่ดินดังกล่าว ต่อมาสำนักงานจัดการทรัพยากรที่ดินส่วนพระองค์ซึ่งดูแลรับผิดชอบดูแลที่ดิน แปลงนี้อยู่ได้นำกลับมาเพื่อพัฒนา และหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินกลับจากทรงเยี่ยม พื้นที่จังหวัดชุมพร เมื่อปี พ.ศ.2541 จึงทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ โครงการพัฒนาส่วนพระองค์เป็นผู้รับผิดชอบโครงการพัฒนาที่ดินแปลงนี้ให้เป็น ไปตามพระราชประสงค์ โดยให้อนุรักษ์สภาพแวดล้อมเดิมซึ่งมีสภาพเป็นสันทรายป่าชายหาด พัฒนาพื้นที่เพื่อการเกษตร โดยการปรับปรุงดินตามความเหมาะสม เพื่อให้เป็นแหล่งศึกษาวิจัยและพัฒนาส่งเสริมอาชีพและแหล่งท่องเที่ยวแห่ง ใหม่ของจังหวัดชุมพร เนื่องจากมีศักยภาพเหมาะสมทุกด้าน


วัตถุประสงค์

1. เพื่อสนองพระราชดำริพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้พัฒนาพื้นที่โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร
2. เพื่อเป็นการฟื้นฟูสภาพ ป่าที่เสื่อมโทรม ในพื้นที่เนินทราย (sand dune)
3. เพื่ออนุรักษ์ความหลาก หลายของพันธุ์ไม้ในพื้นที่สภาพเนินสันทราย และพันธุ์สัตว์ป่าไว้เป็นที่ศึกษา ของนักเรียน นักศึกษา และบุคคลที่สนใจทั่วไป
4. เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่ง ท่องเที่ยวใหม่ของจังหวัดชุมพร เนื่องจากมีศักยภาพที่เหมาะสมในการพัฒนา



ที่ตั้งโครงการ

ภายในพื้นที่โครงการพัฒนา ส่วนพระองค์ บ้านน้ำพุ ตำบลปากคลอง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร แปลงที่ 7,8,9 และ 10 ซึ่งมีพื้นที่รับผิดชอบประมาณ 250 ไร่


ข้อมูลจาก....http://www.dnp.go.th/planing/special...th/forking.htm
__________________
Saaychol

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 07-07-2010 เมื่อ 16:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #57  
เก่า 07-07-2010
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default


เลยโครงการพัฒนาส่วนพระองค์ชุมพร ไปได้ไม่นานเราก็เห็นทะเลสีเขียวมรกตอยู่ทางด้านซ้ายมือ สองข้างถนนมีเนินทรายใหญ่ๆเหมือนภูเขากองอยู่ทั่วไป นี่ละกระมังที่เขาเรียกเนินทรายมหัศจรรย์...


พอได้เห็นป้ายข้างถนน....ก็ใช่เลยค่ะ


ชื่อเนินทรายนี้มีชื่อไพเราะเพราะพริ้งว่า "เนินทรายงามที่ชุมพร"
รูปขนาดเล็ก
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	Bangberd_14.jpg
Views:	0
Size:	102.0 KB
ID:	7623  
__________________
Saaychol
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #58  
เก่า 07-07-2010
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default



แต่ปลายอีกอันหนึ่งที่อยู่ถัดเข้าไป ไม่ยักจะเรียกชื่อเหมือนป้ายข้างต้น แต่กลับเรียกว่า "มหัศจรรย์สันทราย" หรือ "Sand Dune Wonder"


จะเรียกชื่ออย่างไรกันแน่ก็น่าจะตกลงกันให้ดีเสียก่อนนะคะ.....

รูปขนาดเล็ก
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	Bangberd_16.jpg
Views:	0
Size:	127.6 KB
ID:	7624   คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	Bangberd_15.jpg
Views:	0
Size:	105.6 KB
ID:	7625  
__________________
Saaychol
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #59  
เก่า 07-07-2010
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default



ไปค้นข้อมูลเกี่ยวกับเนินทรายงามมหัศจรรย์ที่ชุมพรมา ได้ความดังนี้ค่ะ....



อ้างอิง:
เนินทรายงามชุมพร ตั้งอยู่ที่บ้านน้ำพุ ตำบลปากคลอง อำเภอปะทิว ใกล้กับโครงการส่วนพระองค์ ริมเส้นทางเลียบชายหาดอ่าวบ่อเมา-หาดบางเบิด ช่วงที่ผ่านหาดถ้ำธงจะเห็นเนินทรายธรรมชาติ ริมถนนด้านขวามือเป็นระยะทางยาว มีป้ายบอกไว้ว่า"หนึ่งในสยาม เนินทรายงามที่ชุมพร" (The most distinct Thai sand dune in Chumphon" และมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติเนินทรายงาม เพื่อการเรียนรู้และอนุรักษ์ธรรมชาติ เป็นแผ่นหินเรียงเป็นทางเดินระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินประมาณ 45 นาที

ปรากฏการณ์เนินทรายริมชายหาดแห่งนี้เกิดจากอิทธิพลของพายุรุนแรงริมฝั่งทะเล ในฤดูมรสุมที่พัดพาทรายมาทับถมกันกลายเป็นเนินเขาย่อม ๆ ประกอบกับอิทธิพลของความแห้งแล้งแสงแดดกล้านอกฤดูมรสุมทำให้มีลักษณะ ธรรมชาติบริเวณนี้เหมือนทะเลทราย


หากมาเที่ยวในช่วงกลางวันที่มีแดดแรงระหว่างเวลา 10.00น.-16.00 น.จะรู้สึกร้อนมาก จึงเหมาะที่จะมาเที่ยวชมในช่วงเวลาเช้าและเวลาเย็น ซึ่งสามารถศึกษาพรรณไม้ที่ขึ้นอยู่ในบริเวณนี้ได้โดยไม่ร้อนจนเกินไป และไม่ควรเดินออกนอกเส้นทางที่ทำไว้ หากแพ้แมลงสัตว์กัดต่อยควรนำยาแก้แพ้ไปด้วย


ข้อมูลจาก....http://www.mochit.com/place/649

รูปขนาดเล็ก
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	Bangberd_17.jpg
Views:	0
Size:	114.4 KB
ID:	7626  
__________________
Saaychol
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #60  
เก่า 07-07-2010
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default



เห็นสภาพทางเดินที่เป็นแผ่นหินเรียงไว้ ดูระเกะระกะหาเป็นทางเดินไม่ ประกอบกับตอนที่ไปถึง เป็นช่วงใกล้เที่ยงที่แดดแผดเปรี้ยง สองสายเลยเลี่ยงที่จะเดินไปตามทางเดิน ที่เขาเตรียมไว้ให้เดินที่มีทรายร้อนฉ่า แต่เลี่ยงไปเดินในป่าสน ที่ใบสนตกลงมาคลุมทรายหนา ซึ่งเดินได้สบายเท้าและมีร่มเงาบังแดด ทำให้ไม่ร้อนจัดแทน...


รูปขนาดเล็ก
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	Bangberd_18.jpg
Views:	0
Size:	119.6 KB
ID:	7627   คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	Bangberd_19.jpg
Views:	0
Size:	99.1 KB
ID:	7628  
__________________
Saaychol

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 19-01-2013 เมื่อ 22:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:16


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger