#71
|
||||
|
||||
'ช่องโหว่ชั้นโอโซน' สัญญาณเตือนธรรมชาติ 'เอาคืน' "ไปสูดโอโซน" เหตุผลที่เราๆท่านๆมักจะอ้างอยู่เสมอเวลาอยากไปเที่ยวทะเล แม้จะรู้หรือไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วโอโซน (O3) นั้นเป็นก๊าซอันตรายต่อร่างกาย เพราะหากเข้าไปอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีโอโซนเป็นจำนวนมาก จะก่อให้เกิดอาการระคายเคืองตา ทางเดินระบบหายใจ และอาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ เพราะก๊าซโอโซนนั้นยอมให้แสงสว่างผ่านได้มากกว่าก๊าซชนิดอื่น แต่หากโอโซนอยู่ในพื้นที่ซึ่งเหมาะสม เช่น ในชั้นบรรยากาศระดับสตราโตสเฟียร์แล้วนั้น จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์อย่างมากเพราะโอโซนจะทำหน้าที่กรองรังสีอัลตราไวโอเลต (ยูวี) จากดวงอาทิตย์ให้ลงมายังพื้นโลกน้อยลง อย่างไรก็ตาม ได้เกิดเหตุที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งกับชั้นโอโซนในบรรยากาศโลกบริเวณขั้วโลกเหนือ เมื่อนักวิทยาศาสตร์พบ "ช่องโหว่" ขนาดใหญ่ในชั้นโอโซน ณ จุดเหนือสุดของโลก ที่มีขนาดเท่ากับ รัฐแคลิฟอร์เนีย และทำนายว่าจะเกิดภาวะวิกฤติคล้ายกับโดมิโนที่ล้มทับกันต่อๆ ไป จนทำให้ชั้นโอโซน "บาง" ลงไปอีก ซึ่งจะทำให้มนุษย์เสี่ยงต่อการสัมผัสรังสียูวีจนกลายเป็นมะเร็งผิวหนังมากขึ้น ทั้งยังทำให้สภาพอากาศโลกแปรปรวนไปกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอีก สาเหตุหลักของช่องโหว่ชั้นโอโซนเกิดจากสารประกอบคลอรีน ที่ใช้ในเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น กระป๋องสเปรย์ ชนิดต่างๆ ซึ่งระเหยขึ้นไปสะสมปะปนกับโอโซน และทำให้เกิดปฏิกิริยาการแตกตัวของโอโซน เป็นก๊าซออกซิเจน (O2) และอนุพันธ์อื่นๆของออกซิเจน ที่แม้จะมีสนธิสัญญามอนทรีออลเมื่อปี 2532 ห้ามใช้สารประกอบฟลูออโรคาร์บอนที่เป็นตัวการของการสะสมของก๊าซคลอรีนในชั้นบรรยากาศ แต่ปัญหาดังกล่าวได้เกิดขึ้นแล้วและอาจจะสายไปที่จะแก้ไข ช่องโหว่ของชั้นโอโซนในพื้นที่ขั้วโลกเหนือจะทำให้ขั้วโลกเหนือมีอากาศหนาวเย็นนานขึ้นกว่าเดิมมาก นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าขั้วโลกเหนือจะมีความเย็นยาวนานกว่าที่เคยเป็นในอดีต และความเย็นจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการทำลายชั้นโอโซนให้เร็วขึ้น พื้นที่ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดในเวลานี้คือประเทศรัสเซีย มองโกเลีย และยุโรปตะวันออก ประชาชนในพื้นที่ "มีความเสี่ยง" ต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังมากขึ้นจากการที่สัมผัสรังสียูวีที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ในเซลล์ผิวหนังทำให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ให้เป็นเนื้อร้าย ปัญหาดังกล่าวยังคงรอการแก้ไขโดยอาศัยความร่วมมือของมนุษยชาติอย่างจริงจัง จาก ...................... คม ชัด ลึก โดย...วัจน พรหโมบล วันที่ 8 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#72
|
||||
|
||||
20 บทเรียนรู้ทัน "ภัยพิบัติ" ในญี่ปุ่น สู้ "น้ำท่วม" ในประเทศไทย นับแต่มหันภัยสึนามิ และแผ่นดินไหวถาโถมประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก็มีข้อมูล และรูปแบบการเรียนการสอนเกี่ยวกับภัยพิบัติดังกล่าวออกมานับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นในรูปบทความ บทเรียนมีชีวิตที่สามารถโต้ตอบได้ รวมถึง การรู้บทเรียนจากอดีต และชุดประมวลวิดีโอ และรูปภาพ บทเรียนเหล่านี้ต่างมีคุณค่า ทั้งในแง่การเฝ้าระวังเพื่อตระเตรียมความพร้อมในการอยู่ร่วมทั้งก่อน และหลังภัยพิบัติ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอด 20 บทเรียนน่ารู้ ที่ได้รับประมวลผ่านเว็บไซต์นิวยอร์กไทม์ ซึ่งมีเครือข่ายการศึกษา "The Learning Network" เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน โดยการประมวลของ SARAH KAVANAGH และ HOLLY EPSTEIN OJALVO ที่ได้รวบรวมเทคนิค และแนวคิดการสอนจากครูทั่วโลก ที่ต่างคิดกระบวนการเรียนการสอนเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัยพิบัติไว้ทั้ง 20 รูปแบบ ดังนี้ 1.รู้ทันภัยพิบัติ เพื่อที่จะปูพื้นฐานความเข้าใจให้นักเรียน จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างในญี่ปุ่น ผ่านเรื่องเล่าด้วยคลิปวิดีโอที่แสดงให้เห็นภาพเหตุการณ์ตอนเกิดแผ่นดินไหว และสึนามิในญี่ปุ่น โดยเฉพาะภาพก่อน และหลังการเกิดเหตุการณ์ เพื่อสร้างความเข้าใจพื้นฐานให้นักเรียนถึงความสูญเสีย ซึ่งการเรียนในชั้นเรียนสามารถเชื่อมไปสู่มหันตภัยธรรมชาติในรูปแบบอื่นๆ ด้วยได้ 2.เกาะติดสถานการณ์ การติดตามข่าวสารเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ โดยเฉพาะการสร้างบทเรียนในห้องเรียนให้เชื่อมโยงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยการกระตุ้นให้นักเรียนค้นหาข้อมูลข่าวสารจากนอกห้อง เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนในห้องเรียน 3.ตามติดรูปแบบภัยพิบัติอย่างใกล้ชิด เริ่มตั้งแต่การเรียนรู้ว่าศูนย์กลางของการเกิดแผนดินไหวอยู่ที่ใด และญี่ปุ่นมีพื้นที่ใดที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิ กระทั่งหมู่บ้าน และเมืองใดที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ด้วยการสำรวจที่สามารถโต้ตอบได้ (Interactive map) เพื่อที่จะได้วิเคราะห์ และประเมินความเสียหายได้หลายหลากมุมมอง รวมไปถึงการเสียหายทางโครงสร้าง และยอดผู้เสียชีวิต ด้วยการใส่ข้อมูลต่างๆเหล่านี้ไว้เชื่อมโยงกับแผนที่ทวีปเอเชีย และแผนที่โลก 4.สวมบทบาทเป็นหนึ่งในผู้ประสบภัยพิบัติ หนึ่งในวิธีทำให้นักเรียนเข้าใจสถานการณ์ภัยพิบัติมากขึ้นก็คือ การแลกเปลี่ยนจากประสบการณ์ส่วนตัว โดยอาจจะให้นักเรียนเขียนจดหมาย หรือโปสการ์ด โดยสวมบทบาทเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิต ให้เล่าเรื่องภัยพิบัติที่นักเรียนแต่ละคนได้อ่าน หรือได้ค้นคว้าข้อมูล ก็จะทำให้เกิดความเข้าใจยิ่งขึ้น 5.ใช้รูปภาพเป็นสื่อการเรียนรู้ ใช้รูปภาพก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการในการถ่ายทอดการเรียนรู้ เพื่อที่จะให้เกิดความเข้าใจในภัยพิบัติดียิ่งขึ้น ด้วยการให้นักเรียนเล่าเรื่องผ่านภาพถ่าย 6.คิดวิเคราะห์ผ่านข้อมูลที่ถูกบอกเล่า ความท้าทาย และความอันตรายที่นักข่าวต้องเผชิญในการประมวลผล เพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นคืออะไรบ้าง และประชาชนทั่วไปจะสามารถร่วมแลกเปลี่ยนสถานการณ์ และร่วมเล่าเรื่องได้อย่างไร นักเรียนสามารถร่วมแลกเปลี่ยน และวิเคราะห์เนื้อหาข้อเท็จจริง ผ่านการรายงาน และรูปถ่ายได้ โดยนักเรียนสามารถเปรียบเทียบข้อมูลที่เหมือน และต่าง ผ่านการรายงานของนักข่าวแต่ละที่ได้รายงานในมุมมองของผู้อ่าน ซึ่งส่งเสริมให้นักเรียนสามารถเปลี่ยนสถานะเป็น "ผู้สื่อข่าวจิ๋ว" เพื่อรายงานสถานการณ์ในพื้นที่ให้กับผู้อ่านในโรงเรียนได้อีกด้วย 7.ผนวกไว้เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น นักเรียนสามารถผนวกเหตุการณ์สึนามิ และแผ่นดินไหวในปี 2011 ไว้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ซึ่งสามารถจะรวบรวมไว้ในเหตุการณ์สำคัญๆ อื่น เช่น เหตุการณ์ระเบิดในฮิโรชิม่า และนางาซากิ หรือผลกระทบในปัจจุบันที่มีผลพวงจากเหตุการณ์ในอดีต ไปพร้อมๆ กับการสอดแทรกสาเหตุของภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ และธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหวที่่โกเบ ในปี 1995 ซึ่งประโยชน์ของการเรียงลำดับเหตุการณ์ตามช่วงเวลานั้น นอกจากจะทำให้สามารถจัดลำดับบทความ รูปภาพ รูปถ่ายได้แล้ว ยังสามารถทำให้เราเรียนรู้รูปแบบการฟื้้นฟูประเทศของญี่ปุ่นได้อย่างไรด้วย 8.หวนรำลึกถึงวิกฤตปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เปรียบเทียบการรั่วไหลของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในปัจจุบันและอดีต ด้วยการวิเคราะห์ถึงผลกระทบที่เกิดจากการรั่วไหลของเตาปฏิมากรณ์ที่ฟุคุชิมากับที่อื่นๆ ว่ามีความเหมือน และแตกต่างกันอย่างไร แล้วนักเรียนจะสามารถเรียนรู้อะไรจากอุบัติเหตุดังกล่าวร่วมกันได้บ้าง 9.จำลองรูปแบบชีวิตหลังประสบภัยพิบัติ ลองจินตนาการถึงชีวิตหลังจากเกิดภัยพิบัติว่า จะเอาชีวิตรอดได้อย่างไร ในห้องเรียนอาจร่วมกันแลกเปลี่ยน และให้กำลังใจ ร่วมกันคิดว่าจะต้องทำตัวอย่างไรเพื่อที่จะกลับไปยังพื้นที่อยู่อาศัยบ้านเรือนหลังจากภัยพิบัติ 10.วางแผนรูปแบบการช่วยเหลือเยียวยา ให้นักเรียนร่วมกันคิดว่า เราจะช่วยเหลือกันและกันได้อย่างไร และอะไรเป็นความช่วยเหลือเร่งด่วน การร่วมกันค้นหาหน่วยงานช่วยเหลือฉุกเฉิน เพื่อเข้าถึงบริการท่ามกลางภาวะภัยพิบัติเหมือนที่เกิดในญี่ปุ่น และทั่วโลก โดยนักเรียนสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งได้ ด้วยการเลือกองค์กรช่วยเหลือสักหนึ่งแห่ง และเป็นตัวตั้งตัวตีในการระดมทุนช่วยเหลือ หรือการสร้างโปรเจ็กต์เรียนรู้ด้านการบริการงานเพื่อบรรเทาภัยพิบัติในญี่ปุ่น เป็นต้น ส่วนอีก 10 บทเรียนที่เหลือนั้น ก็ประกอบด้วย 11.การถกเถียงกันถึงเรื่องคุณประโยชน์และโทษในพลังงานนิวเคลียร์ เรียนรู้การหลอมละลายของพลังงานนิวเคลียร์ 12.เรียนรู้การเกิดแผ่นดินไหว 13.เรียนรู้มหันตภัยสึนามิ 14.เรียนรู้ประวัติศาสตร์การเกิดแผ่นดินไหว และสึนามิ 15.ผลสะท้อนจากการเตรียมความพร้อมท่ามกลางภัยพิบัติ 16.วิเคราะห์ถึงผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ 17.สำรวจคำศัพท์ใหม่จากภัยพิบัติ 18.เชื่อมโยงการใช้ชีวิตกับวรรณกรรมที่ถ่ายทอดเรื่องราวภัยพิบัติ 19.ศิลปะ..หนึ่งพลังในการเยียวยาจิตใจหลังภัยพิบัติ และ 20.การเยียวยาจิตใจหลังภัยพิบัติ บทเรียนจากตำราที่ถูกประมวลจากเครือข่ายการศึกษา สะท้อนให้เห็นการเรียนรู้ร่วมกันของสังคมทั่วทุกมุมโลกเพื่อจะก้าวผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยกัน สร้างให้เกิดพลังแรงกระตุ้นให้เกิด "การเรียนรู้ตลอดชีวิต" ได้อย่างแท้จริง จาก ...................... มติชน วันที่ 3 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#73
|
||||
|
||||
ไอพีซีซีเตือนให้โลกเตรียมรับสภาพอากาศวิปริต อนาคตเราต้องเตรียมรับมือกับสภาพอากาศที่เลวร้ายกว่าเดิม (เอเอฟพี) หลังจากประชุมหารือกันที่แอฟริกานักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศระดับหัวกะทิจากทั่วโลกของไอพีซีได้เตือนให้เตรียมรับสภาพอากาศวิปริตที่กำลังเป็นภัยคุกคาม ซึ่งตอนนี้เราให้ไดเห็นแล้วว่าเกิดทั้งอุบัติภัยในเมืองไทย ภัยแล้งในเท็กซัส ไปจนถึงคลื่นความร้อนที่สร้างความเสียหายให้แก่รัสเซีย และในอนาคตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเจอน้ำท่วมหนักมากกว่าเดิม 4 เท่า คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ หรือไอพีซีซี (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ได้เตือนให้โลกเตรียมรับมือกับสภาพอากาศวิปริตที่อันตายและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนมาก่อน ซึ่งเป็นผลเนื่องจากภาวะโลกร้อน โดยเอพีระบุว่าผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางด้านภูมิอากาศระดับหัวกะทิของโลกนั้นกลัวว่า หากไม่มีการเตรียมพร้อมรับมือแล้ว สภาพอากาศที่รุนแรงสุดขั้วนั้นอาจจะทำลายบางท้องถิ่นและทำให้บางพื้นที่ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ทั้งนี้ ไอพีซีซีองค์กรซึ่งได้รับรางวัลโนเบลาขาสันติภาพนี้ได้หยิบยกรายงานพิเศษว่าด้วยเรื่องภาวะโลกร้อนและสภาพอากาศวิปริตหลังร่วมประชุมที่เมืองกัมปาลา ประเทศอูกานดา ซึ่งเอพีระบุว่าเป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ได้ให้พุ่งเป้าไปที่อันตรายของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว อย่างเรื่องคลื่นความร้อน น้ำท่วม ภัยแล้งและพายุ โดนภัยพิบัติเหล่านี้เป็นอันตรายยิ่งกว่าอุณหภูมิโลกเฉลี่ยที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นเสียอีก และผู้นำของโลกต้องเตรียมรับมือสภาพอากาศสุดขั้วให้ดีกว่านี้ ตัวอย่างภัยคุกคามจากสภาพอากาศสุดขั้วนั้น รายงานพิเศษได้ทำนายว่า คลื่นความร้อนซึ่งเกิดขึ้น 1 ครั้งในชั่วอายุคนจะร้อนขึ้นและเกิดขึ้นทุกๆ 5 ปีเมื่อถึงกลางศตวรรษนี้ และเมื่อสิ้นสุดศตวรรษนี้จะเกิดถี่ขึ้นเป็นปีละครั้ง และในบางพื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ส่วนใหญ่ของละตินอเมริกา แอฟริกาและเอเชียนั้นจะกลายเป็นพื้นที่ร้อนสูงเหมือนเตาอบทุกปี ส่วนพายุฝนหนักๆ ที่ปกติจะเกิดขึ้นทุก 20 ปีนั้นในรายงานก็ระบุว่าจะเกิดถี่ขึ้นอีก โดยในสหรัฐฯ และแคนาดานั้นจะเกิดบ่อยขึ้น 3 เท่าก่อนเปลี่ยนศตวรรษ หากว่าการใช้พลังงานฟอสซิลยังคงในอัตราปัจจุบันนี้อยู่ ส่วนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นรายงานทำนยว่าจะเกิดมหาอุทกภัยบ่อยขึ้นกว่าที่เกิดในปัจจุบัน 4 เท่า “ผมคิดว่านี่เป็นสัญญาณเตือน” เดวิด อีสเตอร์ลิง (David Easterling) หนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมเขียนรายงานดังกล่าวและเป็นผู้อำนวยการส่วนการประยุกต์ด้านภูมิอากาศโลกขององค์การมหาสมุทรและบรรยากาศสหรัฐฯ (National Oceanic and Atmospheric Administration: NOAA) โดยเขาบอกว่าเหตุการณ์อย่างภัยแล้งและอุณหภูมิสูงถึง 38 องศาเซลเซียสที่เกิดขึ้นหลายๆวันในเท็กซัสและโอกลาโฮมา สหรัฐฯ จนกลายเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดหน้าร้อนนั้นจะรุนแรงขึ้นในอนาคต “เราจำเป็นต้องวิตก และการตั้งรับของเราจำเป็นต้องเตรียมป้องกันหายนะและลดความเสี่ยงก่อนที่เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น มากกว่าที่จะรอจนกระทั่งเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว และตามเก็บกวาดภายหลัง ความเสี่ยงนั้นได้เพิ่มขึ้นมโหฬารแล้ว” มาเต็น ฟาน อาลสท์ (Maarten van Aalst) ผู้อำนวยการศูนย์ภูมิอากาศกาชาดสากล (International Red Cross/Red Crescent Climate Centre) และหนึ่งในทีมเขียนรายงานของไอพีซีซีกล่าว ทางด้าน คริส ฟิล์ด (Chris Field) จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) สหรัฐฯ ซึ่งเป็นอีกผู้เชี่ยวชาญที่ร่วมเขียนรายงานของไอพีซีซีกล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์เองยังไม่แน่ใจนักว่าอับัติภัยจากสภาพอากาศแบบไหนที่จะคุกคามรุนแรงที่สุด เพราะสภาพอากาศที่ทารุณนั้นเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจและแหล่งที่ผู้คนอาศัยอยู่ด้วย และความไม่มั่นคงทางสังคมต่อหายนะทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากภูมิอากาศก็เพิ่มขึ้นด้วย “ชัดเจนว่าการสูญเสียจากหายนะกำลังเพิ่มขึ้น และในแง่การสูญเสียชีวิตนับจากช่วงทศวรรษ 1970 ถึงปัจจุบันนั้นเกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนามากกว่า 95%” ฟิล์ดกล่าว โดย ไมเคิล ออพเพนไฮเมอร์ (Michael Oppenheimer) จากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (Princeton University) ผู้ร่วมเขียนรายงานระบุว่า การสูญเสียนี้มีมูลค่าสูงถึงปีละ 6 ล้านล้านบาทแล้ว ภาพพายุ "ตาลัส" ขณะถล่มญี่ปุ่น (เอเอฟพี/นาซา) ด้าน โทมัส สต็อคเกอร์ (Thomas Stocker) มหาวิทยาลัยเบิร์น (University of Bern) กล่าวว่า วิทยาศาสตรืที่ก้าวหน้ามากขึ้นทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อมโยงการเพิ่มขึ้นเหตุการณ์สภาพอากาศอันเลวร้ายเข้ากับภาวะโลกร้อนได้อย่างมั่นใจขึ้น โดยพวกเขาสามารถประเมินความมั่นใจในหายนะจากภูมิอากาศและคลื่นความร้อนในอนาคตได้แน่นอนขึ้น ในรายงานระบุว่าคลื่นความร้อนนั้นกำลังเลวร้ายขึ้น ทั้งร้อนขึ้นและกินเวลายาวนานขึ้น และมีโอกาส 2 ใน 3 ที่ฝนตกหนักจะเพิ่มขึ้นทั้งบริเวณเส้นศูนย์สูตรและซีกโลกเหนือ รวมถึงฝนจากพายุหมุนเขตร้อน และรายงานสรุป 29 หน้าของไอพีซีซียังระบุอีกว่า ความรุนแรงของสภาพอากาศนั้นจะเลวร้ายมากถึงขั้นที่บางพื้นที่ต้องจัดให้เป็นพื้นที่ห้ามอาศัย (รายงานฉบับเต็มนั้นจะแล้วเสร็จในอีกหลายเดือนข้างหน้า) สำหรับพื้นที่ต้องห้ามนั้น ฟาน อาลสต์ระบุว่า มีแนวโน้มเป็นพื้นในประเทศยากจน หรือแม้กระทั่งบางพื้นที่ของประเทศพัฒนาแล้วอย่าง แคนาดา รัสเซีย และกรีนแลนด์นั้นอาจต้องย้ายเมืองเพราะผลกระทบจากสภาพอากาศอันเลวร้ายและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากความร้อนเนื่องน้ำมือมนุษย์ รวมถึงเนเธอร์แลนด์ต้องเรียนรู้ในการรับมือกับปัญหาสภาพอากาศใหม่ๆ อย่างคลื่นความร้อนด้วย จาก ........................ ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#74
|
||||
|
||||
โลกกับความจริงใหม่ ท่วมใหญ่-แล้งจัด ..................... โดย ปิยมิตร ปัญญา คณะนักวิทยาศาสตร์ 220 คน ที่รวมตัวกันขึ้น เป็น "คณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ" หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า "ไอพีซีซี" ซึ่งอยู่ใต้องค์กรระหว่างประเทศสำคัญอย่าง สหประชาชาติ เพิ่งออกมายืนยันสิ่งที่คนไทยเรารู้สึกกันมานานร่วมเดือนว่า ดินฟ้าอากาศของโลกใบนี้ ดูวิปริตผิดแผกไปจากเดิมที่มันเคยเป็น เป็นการออกมายืนยันอย่างเป็นทางการผ่านรายงานทางวิชาการหนากว่า 600 หน้า ที่มีใจความสรุปว่า ภาวะฝนหนัก พายุรุนแรง กับภาวะแล้งจัดจนยากเข็ญที่เกิดขึ้นควบคู่กันในไปบนโลกใบนี้ จากเอเชียตะวันออกไปจรดแอฟริกา และสหรัฐอเมริกาจะกลายเป็น "รูปแบบ" ที่โลกจำต้องเผชิญหน้าต่อไปในอีกหลายทศวรรษที่กำลังจะมาถึง เพราะการเปลี่ยนแปลงภาวะอากาศโลกเริ่มแสดงให้เห็นพิษสงของมันแล้ว พูดง่ายๆก็คือ ภาวะอากาศแบบ "สุดโต่ง" หรือ "เอ็กซ์ตรีม เวทเธอร์" ที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นนานๆสักครั้ง จะกลายเป็นภาวะ "ปกติสามัญ" ที่ทุกคนจะต้องเผชิญรับนับจากนี้ไป โลกกำลังเผชิญกับข้อเท็จจริงใหม่ในทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า เราไม่จำเป็นต้องรอให้อุณหภูมิของชั้นบรรยากาศรอบโลกอันเกิดขึ้นจากน้ำมือของเราเอง ทวีสูงขึ้นไปจนถึงระดับที่เราไม่อาจทานรับได้ จึงก่อให้เกิดปัญหา สร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สิน แต่เพียงแค่อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเพียงไม่กี่มากน้อย ก็สามารถเปลี่ยนแปรสภาวะภูมิอากาศให้เป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่งโดยสิ้นเชิง รูปแบบที่เราจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับมวลน้ำมากมายมหาศาลชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน หลากทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า เหมือนอย่างที่เราพานพบกันอยู่ในเวลานี้ ต้องเผชิญกับภาวะแล้งเข็ญ ชนิดทำให้ไม้ใหญ่ยืนต้นตายอย่างอับจนปัญญา เหมือนอย่างในแอฟริกาตะวันออก หรือเกิดพายุรุนแรงร้ายกาจต่อเนื่องลูกแล้วลูกเล่า และแม้กระทั่งพายุหิมะที่ทั้งรุนแรงและหนักหนาสาหัสมากกว่าทุกครั้ง และมาผิดกาลเวลาในทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกาเมื่อไม่นานมานี้ทั้งหมด ทำให้ทุกคนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า 2011 คือปีแห่งหายนภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายในทางเศรษฐกิจ ชีวิตและทรัพย์สินสูงสุดเป็นประวัติการณ์เท่าที่เคยมีมา จำเพาะในเมืองไทยก็อาจสูงถึงแสนล้านบาท ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกามีภัยธรรมชาติมากกว่า 10 ครั้ง ที่สร้างความเสียหายให้เกิน 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อครั้ง รวมกันแล้วการสูญเสียมากถึง 50,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ปีเดียว เจฟฟ์ มาสเตอร์ส แห่งเวเธอร์ อันเดอร์กราวด์ บอกเอาไว้ว่า เขาอยู่ในแวดวงอุตุนิยมวิทยามานานกว่า 30 ปี ไม่เคยมีปีไหนภาวะอากาศรุนแรงสุดโต่งเหมือนปีนี้มาก่อน รุนแรง แล้วก็เป็นทั้งบทเรียน และคำเตือนให้กับโลกทั้งโลกครับ บ๊อบ เวิร์ด ผู้อำนวยการด้านนโยบายและ การสื่อสารของสถาบันวิจัยแกรนแธม ในสังกัด ลอนดอน สคูล ออฟ อีโคโนมิกส์ (แอลเอสอี) ชี้ว่า รายงานที่ชื่อ "รายงานพิเศษว่าด้วยภาวะสุดโต่งของ ภูมิอากาศ" ข้างต้นนี้ สะท้อนให้เห็นว่าบรรดานักวิทยาศาสตร์เข้าใจ "กระจ่างชัด" แล้วว่า "การเปลี่ยน แปลงภาวะอากาศได้ส่งผลกระทบต่อหลายๆส่วนของโลกแล้วทั้งในแง่ความถี่ของการเกิดเหตุการณ์ ความหนักหน่วงของเหตุการณ์ และสถานที่เกิดของภาวะอากาศแบบสุดโต่ง อย่างเช่นคลื่นความร้อน, ภาวะแห้งแล้งและน้ำท่วมฉับพลัน" เขาย้ำว่าเรื่องนี้ต้องใส่ใจ เพราะเดิมทีภาวะอากาศสุดโต่งแบบนี้เกิดขึ้นยากมาก น้อยเสียจนไม่สามารถตรวจจับหาแนวโน้มในแง่สถิติได้ "แต่ตอนนี้ เทรนด์เหล่านี้เห็นได้ชัดเจน ไม่เพียงเท่านั้น ยังเห็นได้ชัดในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา ตอนที่อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้นเพียงแค่ 1 ใน 10 ของ 1 องศาเซลเซียสเท่านั้นเอง" นักวิทยาศาสตร์ของไอพีซีซี อาศัยแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ แสดงให้เห็นว่า "มีความเป็นไปได้สูงยิ่ง" อันเป็นคำที่ใช้กันในการเขียนพรรณนาข้อมูลทาง วิทยาศาสตร์เมื่อมันมีความเป็นไปได้ระหว่าง 90-100 เปอร์เซ็นต์ว่า "กระแสอากาศอุ่นหรือคลื่นความร้อนจะโจมตีมวลที่เป็นผืนแผ่นดินเพิ่มมากขึ้นทั้งในแง่ของระยะเวลาการเกิด, ความถี่ของการเกิด และความเข้มข้นเมื่อมันเกิดขึ้น" นั่นหมายความง่ายๆว่า ภาวะวันที่ร้อนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นให้พบเห็น 1 ครั้งในทุกๆ 20 ปี จะเกิดขึ้นแบบ "ปีเว้นปี" นับตั้งแต่นี้ต่อไป "ฮีทเวฟ" คลื่นความร้อนเข้มข้นที่ว่านี้ ส่งผลกระทบสูงมากต่อคนชราและเด็กๆที่เปราะบางต่อความผันผวนขึ้นลงของอุณหภูมิอย่างยิ่ง แบบจำลองดังกล่าวยังแสดงให้เห็นด้วยว่า "มีความเป็นไปได้สูง" ที่ในศตวรรษที่ 21 นี้ ในหลายพื้นที่ของโลกจะเกิดภาวะฝน ลูกเห็บ หิมะ ตกหนักบ่อยขึ้น ถี่ขึ้น หรือไม่ก็จะเกิดภาวะ "ฝนตกหนัก" ถึง "หนักมาก" ทวีปริมาณเพิ่มขึ้น ภาวะดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นกับดินแดนในแถบละติจูดสูงๆ และดินแดนในแถบร้อนชื้นอย่างประเทศไทยของเรา กับพื้นที่ทางเหนือเส้นศูนย์สูตรบริเวณตอนกลาง ภาวะฝนตกหนักเกี่ยวพันเชื่อมโยงกันกับการเกิดพายุไซโคลนในเขตร้อนชื้นซึ่งจะทวีขึ้นทั้งความถี่ของการเกิดและความรุนแรงของการเกิดเช่นกัน สภาวะดังกล่าวซึ่งเคยเกิดขึ้น 1 ครั้งในทุกๆ 20 ปี จะกลับมาเยือนเราถี่ขึ้นเป็นทุกๆ 5 ปี! แม้นักวิทยาศาสตร์จะยังไม่ปักใจว่านั่นอาจจะ หมายถึงการ "ท่วมใหญ่" เหมือนกับที่เราเผชิญหน้ากันอยู่ในเวลานี้ทุกๆ 5 ปี เนื่องเพราะภาวะน้ำท่วมใหญ่นั้นมีองค์ประกอบอื่นๆ เข้ามามีส่วนอยู่ด้วยอย่างสำคัญ อย่างเช่น สภาพภูมิประเทศ การเกิดขึ้นของชุมชนเมือง และอื่นๆ แต่นั่นก็หมายความได้ในสองทาง หนึ่งนั้น ทุกๆ 5 ปีเราเสี่ยงที่จะเผชิญกับมหาอุทกภัยสูงยิ่ง หรือไม่เช่นนั้นอุทกภัยขนาดไม่ใหญ่โตนักก็อาจเกิดขึ้นได้ถี่กว่า ชนิดปีต่อปีก็ได้เช่นเดียวกันครับ คริส ฟีลด์ ประธานร่วมของไอพีซีซี ที่เป็นผู้จัดทำรายงานชิ้นนี้ บอกเอาไว้ว่า ทั้งหมดที่แบบจำลองทางวิทยาศาสตร์แสดงออกมานั้น ชัดเจนกระจ่างแจ้งอย่างยิ่ง "เอ็กซ์ตรีม เวทเธอร์" ไม่เพียงมาเยือนเราได้บ่อยครั้งเท่านั้น "ภาวะอากาศสุดโต่งที่สำคัญๆบางอย่างได้เปลี่ยนแปลงไป และจะเปลี่ยนไปมากยิ่งขึ้นในอนาคต เรามีหลักฐานที่ชัดเจนกระจ่างในเรื่องนี้ ที่ทำให้เราสามารถรู้ด้วยว่ามีสาเหตุหลายต่อหลายอย่างที่ก่อให้เกิดความสูญเสียระดับหายนะขึ้นมา" คำร้องขอของเขาก็คือ รัฐบาลควรใส่ใจว่า การสูญเสียหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ระดับหายนภัย ทั้งในทางด้านเศรษฐกิจและในส่วนของผลกระทบต่อมนุษย์นั้น สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าหากรัฐบาลตื่นตัวและเตรียมพร้อมเพียงพอ "เราสูญเสียชีวิตผู้คนและทรัพย์สินไปให้กับหายนภัยธรรมชาติ มากมายเกินไปแล้วในเวลานี้" ไม่มีความเห็นเพิ่มเติมครับ! จาก ........................ มติชน วันที่ 20 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#75
|
||||
|
||||
อภิหายนะแห่งปี 3 ภัยพิบัติซัด "ญี่ปุ่น" ปี 2554 สุดยอดมหันตภัยทางธรรมชาติที่ส่งผลสะเทือนมนุษย์ ครั้งใหญ่เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น แม้จะเป็นดินแดนที่เผชิญแผ่นดินไหวอยู่บ่อยครั้ง แต่แผ่นดินไหวในเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์นี้ก่อคลื่นยักษ์สึนามิโถมซัดเมือง กวาดบ้านเรือนและคร่าชีวิตผู้คนทั้งที่พบร่างและ สาบสูญไปกว่า 20,000 ราย ทั้งนำไปสู่วิกฤตโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่กัมมันตรังสีรั่วไหลเขย่าขวัญผู้คนในคราวเดียวกัน 9 ริกเตอร์เขย่าใต้ทะเล เมื่อเวลา 14.46 น. วันที่ 11 มี.ค. ตามเวลาท้องถิ่นญี่ปุ่น เกิดแผ่นดินไหวใต้ทะเลขนาด 9.0 ริกเตอร์ นอกชายฝั่งญี่ปุ่นทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ โดยมีจุดเกิดแผ่นดินไหวอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดินเพียง 32 กิโลเมตร นับเป็นแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น และเป็น 1 ใน 1 แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดของโลกเท่าที่มีการบันทึกมาตั้งแต่พ.ศ.2443 แผ่นดินไหวดังกล่าวรุนแรงเสียจนทำให้เกาะฮอนชูเลื่อนไปทางตะวันออก 2.4 เมตร พร้อมกับเคลื่อนแกนหมุนของโลกไปเกือบ 10 เซนติเมตรเลยทีเดียว สำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่นระบุว่า มีผู้เสียชีวิต 15,729 ราย บาดเจ็บ 5,719 ราย และสูญหาย 4,539 ราย ในพื้นที่ 10 จังหวัด เช่นเดียวกับอาคารที่ถูกทำลายหรือได้รับความเสียหายกว่า 125,000 หลัง บ้านเรือนราว 4.4 ล้านหลังคาเรือนทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ และอีก 1.5 ล้านคนไม่มีน้ำใช้ สึนามิ 40 เมตร ซัดถล่ม ในวันเดียวกันนั้นเอง แผ่นดินไหวก่อให้เกิดคลื่นสึนามิทำลายล้างซึ่งสูงที่สุดถึง 40.5 เมตร ในมิยาโกะ อิวาเตะ โทโฮะกุ บางพื้นที่พบว่าคลื่นได้พัดพาลึกเข้าไปในแผ่นดินลึกถึง 14 กิโลเมตร มีรายงานว่า เมืองทั้งเมืองถูกทำลายจากคลื่นสึนามิ รวมทั้งเมืองมินามิซานริกุ ซึ่งมีผู้สูญหายกว่า 9,500 คน แรงคลื่นสึนามิทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองคุจิและพื้นที่ส่วนใต้ของโอฟุนาโตะรวมทั้งบริเวณท่าเรือถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง เมืองอื่นที่ได้รับรายงานว่าถูกทำลายหรือได้รับความเสียหายอย่างหนักจากคลื่นสึนามิ ได้แก่ ริกุเซนตากาตะ โอนางาวะ นาโตะริ โอตสึชิ และยามาดะ ในจังหวัดอิวาเตะ เมืองนามิเอะ โซมะ และ มินามิโซมะ ในจังหวัดฟูกูชิมะ และโอนางาวะ นาโตะริ อิชิโนะมากิ และเคเซนนุมะ ในจังหวัดมิยางิ ทีมงานนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตต กับองค์การนาซ่า สหรัฐอเมริกา ใช้ข้อมูลภาพจากดาวเทียมของนาซ่าและข้อมูลดาวเทียมของยุโรปเรดาร์ พบว่าคลื่นยักษ์ครั้งนี้เป็นสึนามิผสม หรือสึนามิ 2 ลูกพัดมารวมกัน ซึ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อปะทะฝั่ง รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่ามูลค่าความเสียหายจากภัยพิบัติแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิอาจมีมูลค่าสูงถึง 309,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 9.2 ล้านล้านบาท ธนาคารกลางญี่ปุ่นอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบอย่างน้อย 6 ล้านล้านบาท เมื่อวันที่ 14 มี.ค.2554 เพื่อพยายามฟื้นฟูสภาพการตลาดให้กลับคืนสู่สภาพปกติ วิกฤตนิวเคลียร์ฟูกูชิมะ "ความวัว" จากแผ่นดินไหวและสึนามิยังไม่ทันจบ "ความควาย" จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะก็เข้ามาแทรกทันที เมื่อแรงแผ่นดินไหวและพลังคลื่นสึนามิก่อให้เกิดเหตุระเบิดขึ้นในโรงไฟฟ้า 3 ครั้ง บริษัทโตเกียวอิเล็กทริก เพาเวอร์ หรือ เทปโก เจ้าของโรงไฟฟ้า ประกาศสถาน การณ์ฉุกเฉิน ประชาชนซึ่งอยู่อาศัยในรัศมี 20 กิโลเมตรรอบโรงไฟฟ้าถูกสั่งอพยพ ก่อนเพิ่มพื้นที่เป็นในระยะรัศมี 30 กิโลเมตรในเวลาต่อมา รวมแล้วมีผู้ถูกอพยพไปมากกว่า 200,000 คน เมื่อวิกฤตการณ์นิวเคลียร์ย่างเข้าสู่เดือนที่สอง ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า แม้ฟูกูชิมะไม่ใช่อุบัติเหตุนิวเคลียร์ครั้งร้ายแรงที่สุด แต่ยุ่งยากซับซ้อนที่สุด การวิเคราะห์ภายหลังบ่งชี้ว่าเครื่องปฏิกรณ์ 3 เครื่องหลอมละลายและน้ำหล่อเย็นรั่วไหล จากนั้นตรวจจับไอโอดีนและซีเซียมกัมมันตภาพรังสีได้ในน้ำประปาในฟูกูชิมะ โตชิงิ กุนมะ โตเกียว ชิบะ ไซตามะ และนิอิงาตะ ตามด้วยการพบกัมมันตภาพรังสีในดินบางพื้นที่ของฟูกูชิมะ ผลิตภัณฑ์อาหารถูกพบว่าปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสีในหลายพื้นที่ของญี่ปุ่น จนกระทั่งวันที่ 5 เม.ย.2554 จังหวัดอิราบากิห้ามการประมงปลาแซนด์เลซ ต่อมาปลายเดือนก.ค. เนื้อวัวปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีถูกพบวางขายอยู่ที่ตลาดในกรุงโตเกียว ซึ่งกลายเป็นข่าวใหญ่ทั่วโลก ในช่วงเวลาวิกฤตหนัก คนงาน 300 คน ที่ประกอบด้วย ช่างเทคนิค ทหาร เจ้าหน้าที่ดับเพลิง ที่ทำงานสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันรอบละ 50 คน หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ฟูกูชิมะ 50" ช่วยกันระบายความร้อนที่เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ โดยไม่คำนึงถึงอันตรายต่อชีวิต หลายคนระบุพร้อมพลีชีพ จนในวันที่ 7 ก.ย. วีรบุรุษเหล่านี้ได้รับ "รางวัลเจ้าชายแห่งอัสตูเรียส" อันทรงเกียรติของสเปน ในสาขาสันติภาพ ทุกวันนี้บรรยากาศในเมืองฟูตาบะ จ.ฟูกูชิมะ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากโรงงานไฟฟ้าเพียง 20 ก.ม. อยู่ในสภาพเงียบเหงา บ้านเรือน ร้านค้า โรงเรียน ถูกปิดตายทิ้งร้างไร้ผู้คน คาดว่าอีกกว่า 20 ปี ชาวเมืองถึงจะกลับเข้าไปใช้ชีวิตตามปกติได้ น้ำท่วมไทยซ้ำเติมอีกยก ช่วงท้ายปี ญี่ปุ่นซึ่งกำลังเร่งฟื้นตัวจากหายนะในประเทศ กลับ ต้องเจอผลกระทบซ้ำจากเหตุน้ำท่วมครั้งประวัติศาสตร์ของไทย! น้ำท่วมไทยที่เริ่มตั้งแต่เดือนต.ค. ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ชิ้นส่วนการผลิตต่อโรงงานของญี่ปุ่นที่ตั้งฐานการผลิตอยู่ในหลายจังหวัดในลุ่มน้ำเจ้าพระยา บริษัทรายใหญ่ที่ได้รับผลกระทบได้แก่ โตโยต้า ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก บริษัท ไพโอเนียร์ ที่ทำเครื่องเสียงรถยนต์ นอกจากนี้บริษัทอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบยังมี โซนี่, นิคอน, อีซูซุ บริษัทญี่ปุ่นถือเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่มาตั้งฐานการผลิตในไทยตลอดช่วง 3 ทศวรรษ และงบลงทุนของญี่ปุ่นในไทยมีมูลค่าถึง 1 แสนล้านบาทในปี 2553 เงินลงทุนจากญี่ปุ่นยังถือเป็นรายได้หลักของไทย และสินค้าที่กระจายไปสู่ตลาดโลกเหล่านี้ยังได้รับผลกระทบโดยตรง ทั้งในเรื่องราคา ความล่าช้าในการขนส่ง และภาวะสินค้าขาดตลาด ความปั่นป่วนในปีนี้จึงทำให้มนุษย์ตัวเล็กๆ ได้ตระหนักถึงความน่าเกรงขามของธรรมชาติอีกครั้ง จาก ........................ ข่าวสด วันที่ 30 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#76
|
||||
|
||||
ปีแห่งมหันตภัยและความสูญเสีย ปีเถาะกระต่ายที่กำลังจะผ่านพ้นไปเป็นปีแห่งภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งร้ายแรงเป็นประวัติการณ์ คร่าชีวิตผู้คนหลายหมื่นคนในหลายประเทศ อีกทั้งเป็นปีแห่งการประท้วงจนสามารถโค่นล้มรัฐบาลทรราชย์ในหลายประเทศโดยเฉพาะในตะวันออกกลางและแอฟริกาตอนเหนือ ปีแห่งการพิฆาตศัตรูตัวฉกาจของสหรัฐที่ถูกตราหน้าว่าเป็นแกนแห่งความชั่วร้าย และปีแห่งการสูญเสียบุคคลผู้ทรงอิทธิพลในวงการต่างๆ หน้าต่างประเทศ "คม ชัด ลึก" ได้จัดอันดับ 10 ข่าวเด่นแห่งปี ประกอบด้วย 1.ธรณีพิโรธ มหาคลื่นยักษ์สึนามิและวิกฤตินิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่น แดนซามูไรได้เผชิญกับ 3 มหันตภัยครั้งร้ายแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในคราวเดียวกัน เริ่มจากแผ่นดินไหวระดับ 9.0 ริกเตอร์บริเวณชายฝั่งตะวันออกเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ตามด้วยคลื่นยักษ์สึนามิสูงหลายสิบเมตรกวาดซัดเมืองหลายเมือง มีผู้เสียชีวิตหรือสูญหายกว่า 2.7 หมื่นคน และยังเป็นชนวนของวิกฤติการณ์นิวเคลียร์รั่วไหลครั้งร้ายแรงที่สุดในโลก ทางการต้องอพยพประชาชนราวแสนคนรอบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ไดอิจิ ใกล้เมืองเซนได ที่เกิดเพลิงไหม้ นอกจากนี้ก็ตรวจพบการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีในอาหารจากพื้นที่บริเวณนั้น ทำให้หลายประเทศต้องงดนำเข้าอาหารจากญี่ปุ่นเป็นการชั่วคราว สุดท้ายนายนาโอโตะ คัง นายกรัฐมนตรี ต้องประกาศลาออกหลังถูกโจมตีว่าล่าช้าในการรับมือกับมหาภัยพิบัติ และการเร่งฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้น 2.อาหรับสปริง และออคคิวพายนิวยอร์ก น้ำผึ้งหยดเดียวที่บานปลายกลายเป็นการปฏิวัติของประชาชนจนสามารถขับไล่รัฐบาลทรราชย์หลายประเทศในตะวันออกกลางและแอฟริกาตอนเหนือ เริ่มจากพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่งในตูนิเซียได้จุดไฟเผาตัวเองเพื่อประท้วงความไม่เป็นธรรมในสังคม ทำให้รัฐบาลล้มครืนในชั่วข้ามคืน เช่นเดียวกับรัฐบาลอียิปต์ เยเมน และลิเบีย ขณะที่รัฐบาลซีเรียก็กำลังง่อนแง่นเต็มที จากนั้น คลื่นการปฏิวัติ "อาหรับสปริง" ได้ระบาดไปที่อเมริกา เมื่อชาวอเมริกันได้รวมตัวประท้วงกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเป็นสัญลักษณ์ความไม่เท่าเทียมทางสังคมและเศรษฐกิจ ก่อนจะบานปลายไปตามประเทศต่างๆ ทั่วโลก 3.ภัยพิบัติทางธรรมชาติทั่วโลก ตลอดทั้งปี 2554 ถือเป็นปีที่โลกประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งร้ายแรงที่สุด เริ่มจากแผ่นดินไหวทั้งต้นปีและปลายปีที่ไครสต์เชิร์ช นิวซีแลนด์ ตามด้วยแผ่นดินไหวและสึนามิที่ญี่ปุ่น น้ำท่วมใหญ่ทางภาคเหนือของออสเตรเลีย ไทย ปากีสถาน และภาคตะวันออกของจีน ทอร์นาโด 2 ลูกถล่มชายฝั่งสหรัฐ พายุหิมะถล่มทวีปยุโรป ตบท้ายด้วยพายุถล่มฟิลิปปินส์ สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจถึง 3.5 แสนล้านดอลลาร์ (ราว10.5 ล้านล้านบาท) นอกเหนือจากคร่าชีวิตผู้คนกว่า 3 หมื่นคน 4.จลาจลอังกฤษ อันดับ 4 มี 2 ข่าวที่ได้คะแนนเท่ากัน ข่าวแรกก็คือเหตุจลาจลเผาบ้านเผาเมืองในกรุงลอนดอนและลามไปหลายเมือง ชนวนมาจากการชุมนุมประท้วงของประชาชนในย่านท็อตแนมซึ่งไม่พอใจที่ตำรวจยิงชายผู้หนึ่งเสียชีวิตระหว่างปราบปรามอาชญากรรมในย่านอาศัยของชุมชนชาวแอฟริกันและแคริบเบียน ทางการเชื่อว่าสาเหตุมาจากการว่างงานของวัยรุ่นและความโกรธแค้นของชุมชนคนผิวดำซึ่งได้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นที่เผยแพร่ข่าวลือต่างๆ 5.ฟ้าเริ่มใสในพม่า ถนนการเมืองและถนนเศรษฐกิจทุกสายกำลังมุ่งหน้าไปที่พม่าซึ่งเริ่มเนื้อหอมหลังจากประธานาธิบดีเต็งเส่งได้เริ่ม "เปลี่ยนแปลง" นโยบายต่างๆ อย่างเห็นได้ชัดด้วยการเปิดประตูประเทศกว้างขึ้น ผ่อนคลายเสรีภาพและประชาธิปไตยในประเทศ ปล่อยนักโทษการเมืองลอตใหญ่ ไฟเขียวให้นางออง ซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้าน ลงสมัครรับเลือกตั้งได้ ทำให้ประธานาธิบดีบารัก โอบามาต้องปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ส่งนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศไปกรุยทาง ตามด้วยการเดินทางเยือนของรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น 6.สิ้น 3 ผู้นำศัตรูตัวฉกาจของสหรัฐ ปีนี้เป็นปีที่ 3 ศัตรูตัวฉกาจที่สหรัฐหมายหัวมานานในฐานะแกนนำแห่งความชั่วร้ายถูกปลิดชีพ หรือเสียชีวิตกะทันหัน เริ่มจากนายโอซามา บิน ลาเดน ที่ถูกหน่วยปฏิบัติการพิเศษของกองทัพเรือสหรัฐลั่นกระสุนสังหารคารังกบดานในเมืองอับบอตตาบัด ในปากีสถาน หลังจากใช้เวลาไลาล่ามานานถึง 10 ปีเต็ม ตามด้วยพันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี แห่งลิเบีย ซึ่งถูกฝ่ายต่อต้านที่เปิดฉากทำสงครามกลางเมืองนานถึง 8 เดือนปลิดชีพอย่างน่าอนาถ สิ้นสุดการครองอำนาจนานถึง 42 ปี รายสุดท้ายก็คือประธานาธิบดีคิม จอง อิลแห่งเกาหลีเหนือ ซึ่งมีข่าวว่าถึงแก่อสัญกรรมบนรถไฟขณะเดินทางไปตรวจพื้นที่ชั้นนอกด้วยอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายจากโรคหัวใจขาดเลือด หลังเกิดภาวะช็อกที่เกี่ยวข้องกับหัวใจตั้งแต่วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 7.ปิดตำนานนิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ ข่าวที่สั่นสะเทือนวงการสื่อมวลชนทั่วโลกเมื่อนิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ชื่อดังของอังกฤษที่มีอายุถึง 168 ปีต้องปิดตำนานลงหลังถูกเปิดโปงเรื่องอื้อฉาวว่าแอบแฮ็กข้อมูลในวอยซ์เมลเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย นักการเมือง ดารา คนดังและพระบรมวงศานุวงศ์รวมแล้วราว 4 พันคน นอกเหนือจากจ่ายสินบนให้ตำรวจเพื่อแลกกับข้อมูลเชิงลึก 8.สังหารหมู่นอร์เวย์ ชาวนอร์เวย์ต่างช็อกไปตามๆ หลังเกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อนายอันเดอร์สเบห์ริง เบรวิก ซึ่งคลั่งศาสนาและมีแนวคิดอนุรักษนิยมสุดโต่งได้ลอบวางระเบิดรถยนต์ถล่มอาคารศูนย์ราชการกลางกรุงออสโล จากนั้นก็กราดยิงผู้คนในค่ายยุวชนพรรครัฐบาลบนเกาะแห่งหนึ่ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 70 ราย 9.ปีแห่งการอภิเษกสมรส ปีนี้ถือเป็นปีมงคล ปีแห่งตำนานรักระหว่างกษัตริย์และเจ้าชายรูปงามกับหญิงสาวสามัญชน เริ่มด้วยเจ้าชายวิลเลียม รัชทายาทลำดับที่ 2 แห่งอังกฤษได้เข้าพิธีเสกสมรสอย่างยิ่งใหญ่กับนางสาวเคท มิดเดิลตัน ที่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ เมื่อวันที่ 29 เมษายน ต่อมาเมื่อวันที่ 1 และ 2 กรกฎาคม เจ้าชายอัลแบร์ตที่ 2 แห่งราชรัฐโมนาโก ได้ทรงจูงมือชาร์ลีน วิตต์สต็อก อดีตนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติแอฟริกาใต้เข้าพิธีอภิเษกสมรสที่ตระการตา ส่วนตำนานรักส่งท้ายปีมีขึ้นเมื่อสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสอย่างเรียบง่ายตามประเพณีโบราณ กับหญิงสาวสามัญชน เจตซัน เปมาที่พระอารามหลวงภายในพูนาคา เมืองหลวงเก่าอันสงบเงียบแห่งดินแดนหิมาลัย จาก ........................ คม ชัด ลึก วันที่ 30 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#77
|
||||
|
||||
ภัยธรรมชาติกับอนาคตของมวลมนุษย์ เริ่มต้นปีใหม่ พ.ศ. 2555 ตามพุทธศักราช หรือ 2012 ตามคริสต์ศักราช ปีนี้สำหรับกลุ่มคนที่เชื่อในทฤษฎีวันโลกาวินาศ คงเริ่มใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ นับถอยหลัง เพราะเหลืออีกประมาณ 51 สัปดาห์ ก็จะถึงวันดับสูญของโลก จากการทำนายของชนเผ่ามายา ชนเผ่าอารยธรรมรุ่งเรืองยุคโบราณ ทางใต้ของประเทศเม็กซิโก จารึกบนแผ่นหินเก่าแก่อายุ 1,300 ปี ของชาวมายา กำหนดวันสุดท้ายในปฏิทินของชนเผ่า ไว้ที่วันที่ 21 ธ.ค. ปี ค.ศ. 2012 พร้อมกับระบุว่า จะเป็นวันที่โลกมนุษย์ถึงจุดสิ้นสุด ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ก็จริง แต่เราท่านควรใช้สติไตร่ตรอง และไม่ใส่ใจหรือหวาดวิตกจนเกินไป เพราะนี่เป็นแค่คำทำนาย ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักเหตุผล อาจจะไม่เกิดขึ้นเหมือนกับอีกหลายคำทำนายแบบเดียวกัน คิดดูว่าขนาดพิสูจน์ได้ตามวิทยาการสมัยใหม่ ยังผิดพลาดไม่เป็นจริง เช่นคำเตือนของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับปัญหาวายทูเค ที่เคยสร้างกระแสแตกตื่นไปทั่วโลก สุดท้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นต้น ภัยอันตรายใหญ่หลวงต่อโลกที่เกิดได้ตลอดเวลา ยังมีอยู่อีกมากมาย เพียงแต่ไม่สามารถระบุวันเวลาล่วงหน้าได้แน่ชัด อย่างเช่น สงคราม โรคระบาด หรือ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เป็นต้น ในรอบปี 2554 ที่เพิ่งจะผ่านพ้นมา ภัยพิบัติทางธรรมชาติร้ายแรงสุด ต้องยกให้เหตุการณ์แผ่นดินไหว 9.0 ริคเตอร์ และคลื่นยักษ์สึนามิความสูง 14–40.5 เมตร กระหน่ำพื้นที่ชายฝั่งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11 มี.ค. ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 15,842 ราย บาดเจ็บ 5,890 ราย และสูญหาย 3,485 คน ส่วนความเสียหายต่อเศรษฐกิจ รวมถึงงบสำหรับการฟื้นฟูบูรณะ ตัวเลขยังไม่ลงเอย แต่คาดว่าน่าจะสูงสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ อันดับรองคือ มหาอุทก ภัยที่ภาคใต้ของปากีสถาน ช่วงก่อนและหลังเดือน ก.ย. ประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 9.5 ล้านคน บ้านเรือนกว่า 1.5 ล้านหลัง และที่ดินเพาะปลูกราว 17 ล้านไร่ เสียหายยับ ในส่วนของแผ่นดินไหวญี่ปุ่น 11 มี.ค. หรือที่เรียกกันว่า “แผ่นดินไหวโตโฮกุ 2011” มีความพิเศษตรงส่วนหนึ่งของผลกระทบ ซึ่งมันได้ปรับเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์ของโลก เกือบจะสิ้นเชิง ก่อนถึง 11 มี.ค. หลายประเทศที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ต่างเลือกการสร้างพลังงานจากนิวเคลียร์ แทนการเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล แต่หลังจากแผ่นดินไหวรุนแรง และสึนามิถล่ม สร้างความเสียหายแก่เตาปฏิกรณ์ ที่โรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ไดอิจิ ของบริษัทเทปโก ที่จังหวัดฟูกูชิมา ริมฝั่งทะเลทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป บริษัทเทปโกระดมคนงาน และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค เสี่ยงภัยการสัมผัสกัมมันตรังสี เข้าแก้ไขปัญหา ใช้น้ำทำให้เตาปฏิกรณ์เย็นลง แต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายไฮโดรเจนระเบิดทั่วโรงงาน ทำให้สารกัมมันตรังสีปริมาณมหาศาลฟุ้งกระจาย ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ เจ้าหน้าที่ทางการต้องอพยพประชาชนราว 150,000 คน ออกพ้นรัศมี 20 กม. โดยรอบโรงงานฟูกูชิมะ ไดอิจิ เหตุการณ์เกิดขึ้น 25 ปี หลังเหตุการณ์แบบเดียวกัน ที่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เชอร์โนบิลในยูเครน ทำให้ญี่ปุ่นที่ได้ชื่อว่าขีดขั้นเทคโนโลยีอยู่ระดับหัวแถวของโลกในปัจจุบัน เสียชื่อเสียงไปเยอะ รวมทั้งเสียความน่าเชื่อถือ จากการที่กว่าเจ้าหน้าที่ทางการจะกล้ายอมรับ ระดับความร้ายแรงของเหตุการณ์ เวลาก็ล่วงเลยไปนาน ถึงสิ้นเดือน พ.ค. รัฐบาลเยอรมนีประกาศจะปิดเตาปฏิกรณ์ 17 แห่งทั่วประเทศ ภายในไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า สวิตเซอร์แลนด์จะปิดทั้งหมดภายในปี พ.ศ. 2577 ขณะที่เบลเยียมจะค่อย ๆ ลดการพึ่งพาพลังงานจากนิวเคลียร์ จนกว่าจะเลิกทั้งหมด แต่ไม่ระบุกรอบเวลา เช่นเดียวกับอิตาลี ซึ่งทำประชามติในเดือน มิ.ย. ผลประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้ล้มเลิกอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ทั้งหมดในประเทศ ฝรั่งเศสซึ่งพลังงาน 75% ที่ใช้ในประเทศ มาจากการแตกตัวของนิวเคลียสอะตอม อนาคตของอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ ได้กลายเป็นประเด็นหลักในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะมีขึ้นในปีนี้ เหตุการณ์โรงไฟฟ้าฟูกูชิมะ ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องหาทางเรียกคืนความศรัทธาเชื่อมั่นจากประชาชน ส่งคณะเจ้าหน้าที่เดินทางไปทดสอบโรงงานพลังงานทั่วโลก ปิดเตาปฏิกรณ์ในประเทศเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ยังเหลือเดินเครื่องแบบปิด ๆ เปิด ๆ แค่ 9 เตา อีกหลายเดือนกว่าจะเห็นแนวโน้ม ในอนาคตญี่ปุ่นจะเดินหน้าพลังงานจากนิวเคลียร์หรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ ที่ยังดำเนินการอยู่ขณะนี้ จำเป็นต้องยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัย ซึ่งหมายถึงราคาพลังงานจากนิวเคลียร์จะสูงขึ้น และศักยภาพการแข่งขันลดลง กรณีของฟูกูชิมะ ไดอิจิ นับเป็นหายนะภัยจากนิวเคลียร์ ร้ายแรงสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากเกาะทรีไมล์ในรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2522 และเชอร์โนบิลในยูเครนในปี 2529 บริษัทยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมนิวเคลียร์ของโลกในปัจจุบันมีไม่กี่บริษัท ระดับหัวแถวประกอบด้วย จีอี-ฮิตาชิ, โตชิบา-เวสติงเฮาส์, โรซาตอม (รัสเซีย) และอารีวาของฝรั่งเศส อนาคตข้างหน้าของบริษัทเหล่านี้ยังไม่แน่ชัด ผู้เชี่ยวชาญยังแตกความเห็น บ้างก็ว่าอีกไม่นานก็ล้มหายตายจากกันหมด ส่วนหนึ่งเห็นว่ายังอยู่ได้อีกนาน แต่ธุรกิจจะค่อย ๆ ถดถอย มีเวลาปรับตัวหันเหสู่ธุรกิจอื่น แต่สถานการณ์ล่าสุด จากข้อมูลของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) ก็คือ วิกฤติฟูกูชิมะ ไดอิจิ ส่งผลให้โครงการใหม่พลังงานนิวเคลียร์ทั่วโลก ถูกยกเลิกแล้ว 50% กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วไม่มีการก่อสร้างเพิ่ม สถานีพลังงานนิวเคลียร์ที่มีอยู่ทั่วโลกถูกลดจำนวนลง 15% ปัจจุบันทั่วโลกกำลังมีการสร้างเตาปฏิกรณ์รวม 62 เตา 3 ใน 4 ของจำนวนดังกล่าวอยู่ในเอเชีย ซึ่งการบริโภคพลังงานเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง โดยจีนและอินเดียเป็น 2 ประเทศผู้บริโภคเชื้อเพลิงฟอสซิลมากกว่าใครเพื่อน และยังไม่มีทางเลือกราคาถูกกว่านิวเคลียร์มากพอต่อความต้องการในขณะนี้ วิกฤตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ทำให้หลายประเทศในยุโรป ต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลต่อไป โดยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเพดานการปล่อยก๊าซคาร์บอนของตน ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ ฟินแลนด์ สวีเดน และโปแลนด์ เป็นต้น ถ้าขาดพลังงานนิวเคลียร์ กลุ่มประเทศเหล่านี้ต้องดิ้นรนหาทางเลือกใหม่ ในการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยไม่ต้องเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล ความเป็นไปได้มากที่สุดในอนาคตอันใกล้คือ พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งราคากำลังถูกลงเรื่อย ๆ แต่ข้อเสียคือยังขาดแคลน ไม่เพียงพอหากมีการปรับเปลี่ยนไปใช้ในเร็ววัน ที่สำคัญ พลังงานลมและพลังงานแสงแดด โดยภาพรวมอนาคตไม่แน่นอน ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเชื่อว่า ก๊าซธรรมชาติน่าจะเป็นทางเลือกยอดนิยม ผู้ชนะตัวจริง หากท้ายที่สุดกาลอวสานของยุคพลังงานนิวเคลียร์มาถึง (มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#78
|
||||
|
||||
ภัยธรรมชาติกับอนาคตของมวลมนุษย์ (ต่อ) เหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิ 11 มี.ค. ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง เป็นแค่ความเคลื่อนไหวเล็ก ๆ บนพื้นผิวโลก แต่ไม่มีทางที่มนุษย์จะหยุดยั้ง ป้องกัน หรือลดขนาดความสูญเสีย จากผลกระทบของมันได้ ตามทรรศนะของ ศจ.ชุนจิ โออูชิ แห่งคณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม มหาวิทยาลัยชูโอะ ในกรุงโตเกียว ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติก็คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามปกติของธรรมชาติ ไม่ใช่ภัยพิบัติ ถ้าโลกใบนี้ไม่มีมนุษย์ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่ง ที่อาศัยอยู่บนพื้นผิวโลก หลีกไม่พ้นที่จะต้องเผชิญกับความผันแปรผันผวนบนพื้นโลก ความเคลื่อนไหวในชั้นบรรยากาศ และการเปลี่ยนแปลงของสิ่งเหล่านี้ อาจกล่าวได้ว่า อันตรายจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ อาจกลายเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติได้เสมอ และอันตรายที่ว่านี้จะสูงเป็นพิเศษ สำหรับประเทศอย่างญี่ปุ่น ที่บังเอิญที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ อยู่บนหลายรอยต่อของรอยเลื่อนแผ่นเปลือกโลก และเกิดพายุไต้ฝุ่นบ่อยครั้ง ญี่ปุ่นเคยเกิดแผ่นดินไหวแบบ 11 มี.ค. ในอดีต และคาดว่าจะได้เห็นกันอีกในอนาคต ไม่เร็วก็ช้า เครื่องมือที่มนุษย์สร้างขึ้นจนถึงขณะนี้ สามารถป้องกันความหายนะจากภัยธรรมชาติได้แค่ในวงจำกัด ดังนั้นจึงควรมุ่งเน้นการคิดค้นระบบตรวจจับล่วงหน้า และหลีกเลี่ยง เพื่อลดความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ นอกจากนั้น มนุษย์เราควรเรียนรู้ และเข้าใจธรรมชาติ รวมทั้งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ให้ลึกซึ้งมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะเห็นได้ชัดว่า ยังมีอีกมากที่เรายังไม่รู้เกี่ยวกับมัน อย่างเช่น สาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งก่อนนี้อธิบายกันโดยทั่วไปว่า เกิดจากการขยับตัวของแผ่นเปลือกโลก และแค่ประมาณ 40 ปีที่ผ่านมานี่เอง ที่ทฤษฎีการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก เริ่มได้รับการยอมรับในวงกว้าง แต่ก็ยังมีนักวิจัยจำนวนมากไม่เห็นด้วย ซึ่งแสดงว่า ศาสตร์ด้านนี้ของมนุษย์ยังไม่ลงตัว ต้องเรียนรู้อีกมาก มนุษย์ต่อสู้กับความโกรธเกรี้ยวของธรรมชาติ รวมทั้งเพื่อความอยู่รอด และความเจริญรุ่งเรือง มาตลอดนับตั้งแต่อดีตกาล ในยุคปัจจุบัน มวลมนุษยชาติเป็นฝ่ายชนะ การต่อสู้ที่กล่าวมาจำนวนมาก จากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เราบรรลุความเจริญรุ่งเรือง อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่เรากำลังตัดขาดตัวเราจากธรรมชาติ หันไปเน้นการขยายโลกที่ปลอดภัย สะดวกสบายและสะอาด ที่มนุษย์สร้างขึ้น ประเด็นนี้อาจารย์ชุนจิเชื่อว่า ตราบใดที่มนุษย์เรายังเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ การเอาชนะธรรมชาติต่อไปเรื่อยๆ จะเป็นหนทางตรงไปสู่การทำลายล้างตัวเราเองในที่สุด วิทยาการแขนงต่างๆของมนุษย์ก้าวหน้ามาไกลถึงขนาดนี้ แต่ก็ยังอ่อนด้อย โดยวัดจากประสิทธิภาพในการขัดขวางปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ นี่ถือเป็นสัญญาณเตือนมนุษย์อีกอย่างหนึ่ง แผ่นดินไหวและสึนามิ 11 มี.ค. ที่ญี่ปุ่น แสดงให้เห็นชัดถึงขีดความสามารถของมนุษย์ ในการป้องกันและรับมือกับภัยธรรมชาติ รวมทั้งการควบคุมพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเชื่อกันว่าจะเป็นแหล่งพลังงาน ที่จะปูทางไปสู่อนาคตของเรา ประชากรโลกเพิ่งจะผ่านหลัก 7,000 ล้านคน เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ที่ผ่านมา ตามการประเมินของสหประชาชาติ และมีแนวโน้มมนุษย์จะแสวงหาความสุขสบายให้ชีวิตมากยิ่งขึ้นต่อไป นั่นหมายถึง พลังงาน อาหาร และทรัพยากรอื่นๆที่มีจำกัด จะร่อยหรอลงเรื่อยๆจากการบริโภคของประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ถึงเวลาแล้วที่มนุษย์เราต้องพิจารณาตัวเองใหม่ เนื่องจากไม่มีที่ไหนอีกแล้ว ที่เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ นอกจากบนโลกใบนี้ และพิจารณาสังคมต่างๆของมนุษย์ให้ลึกลงไปจนถึงรากฐาน ความขาดแคลนที่อยู่ที่กิน หรือทรัพยากรในอนาคต อาจทำให้เกิดความขัดแย้ง ลุกลามบานปลายกลายเป็นสงครามสู้รบขนาดใหญ่ ผลาญชีวิตมนุษย์ได้มากกว่าโรคระบาด หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ. จาก ........................ เดลินิวส์ วันที่ 2 มกราคม 2555
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#79
|
||||
|
||||
ไขปริศนาอภิมหาข่าวลือ สิ้นปี "55 โลกแตก (อีกแล้ว!?) ขึ้นปีใหม่ทีไร ไม่ว่ามนุษย์ในพื้นที่ทวีปใดของโลกเชื่อว่าล้วนแล้วแต่หนีไม่พ้น ′ข่าวลือ′ สารพัดเรื่องเกี่ยวกับวันโลกแตก วันโลกาวินาศ วันสิ้นโลก วันมหาวินาศ อภิมหาเหตุร้าย-ภัยธรรมชาตินอกเหนือความคาดหมาย ฯลฯ ทั้งเรื่องที่พอมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับ หรือบางทีก็มั่วนิ่ม แต่งนิยายขึ้นมาดื้อๆ วันนี้ ′ข่าวสดหลาก&หลาย′ รวบรวมข้อมูลจากผู้รู้ ได้แก่ ′วิมุติ วสะหลาย′ แห่งสมาคมดาราศาสตร์ไทยมาไขปริศนาความหวาดหวั่นวันโลกแตก ค.ศ.2012 (พ.ศ.2555) รวมหาคำตอบถึงประเด็น ′คำทำนายเด็กชายปลาบู่ กรณีเขื่อนภูมิพลแตก′ ซึ่งร้อนแรงเละเทะดีเหลือเกินในโลกไซเบอร์ จนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยต้องเสียเวลาอธิบายขนานใหญ่! 1.ปฏิทินมายาทำนายว่า ปีค.ศ.2012 เป็นวาระสุดท้ายของโลก? ปฏิทินมายามีหลายแบบ แบบหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับปีค.ศ.2012 คือแบบที่เรียกกันว่า ปฏิทินรอบยาว (long count) ระบุวันด้วยชุดของตัวเลข ตัวเลขชุดนี้แทนวันที่ได้ยาวนาน 5,126 ปี เทียบกับวันที่ตามระบบปฏิทินสากลตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 3114 ปีก่อนคริสตกาลไปจนสุดจำนวนเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 การสิ้นสุดของตัวเลขปฏิทินมายา หรือการครบจำนวนสูงสุดที่กำหนดไว้ในระบบนับวันระบบใดระบบหนึ่ง จะแสดงถึงการสิ้นสุดของโลกเชียวหรือ คอมพิวเตอร์สมัยก่อนก็มีระบบปฏิทินในตัวเครื่องที่แสดงวันเดือนปีได้จนถึงสิ้น ค.ศ. 1999 อันเป็นที่รู้จักกันในนามของปัญหา Y2K แต่เมื่อสิ้นสุด ค.ศ.1999 โลกก็ไม่ได้แตกระบบนับวันของคอมพิว เตอร์ ระบบบอกพิกัดจีพีเอสก็มีระบบนับสัปดาห์เป็นของตัวเอง ซึ่งตัวเลขจะสุดจำนวนที่วันที่ 21 สิงหาคม 2542 ทำนองเดียวกับ Y2K ของคอมพิวเตอร์ แต่เมื่อสิ้นวันที่ 21 สิงหาคม 2542 โลกก็ไม่ได้แตกตามระบบจีพีเอส ทำนองเดียวกัน โลกก็จะไม่แตกสลายเพราะว่าสุดตัวเลขปฏิทินมายาหลังวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 ปฏิทินมายาก็จะเริ่มนับรอบใหม่ 2.ดาวนิบิรุ กับ Planet X เป็นดวงเดียวกันหรือไม่? บทความ หรือทฤษฎีที่เกี่ยวกับโลกแตกปี 2012 มักกล่าวว่า ′นิบิรุ′ และ ดาวเคราะห์เอ็กซ์ (Planet X) เป็นวัตถุดวงเดียวกัน แต่ความจริงต่างกันโดยสิ้นเชิง ดาวเคราะห์เอ็กซ์เป็นดาวเคราะห์ที่ยังหาไม่พบ แต่เชื่อว่ามีจริงและมีการค้นหาอยู่ ส่วนดาวนิบิรุ เป็นดาวในตำนานที่ยังขาดหลักฐานที่ดีพอที่จะบอกได้ว่ามีอยู่จริง ว่ากันว่าเป็นดาวตามทฤษฎีของ ′เซชาเรีย ซิตชิน′ ซึ่งอ้างว่าถอดความมาจากจารึกของชาวสุเมเรียน ทฤษฎีนี้กล่าวว่าดาวนิบิรุเป็นดาวที่มีสิ่งมีชีวิตที่มีอารย ธรรมอาศัยอยู่และเคยมาเยือนโลกเมื่อนานมาแล้ว แม้เรื่องดาวนิบิรุจะได้รับความนิยมในหมู่ผู้ชื่นชอบเรื่องลึกลับ เรื่องจานบิน เรื่องมนุษย์ต่างดาว แต่เนื่องจากทฤษฎีนี้มีหลักฐานอ่อนมาก และตั้งอยู่บนจินตนาการมากกว่าเหตุผล เรื่องนี้จึงไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้างในวงการวิทยาศาสตร์รวมถึงนักวิชาการด้านสุเมเรียนด้วย 3.Planet X (ดาวเคราะห์เอ็กซ์) เป็นดาวเคราะห์ล้างโลกจริงหรือ? ดาวเคราะห์แต่ละดวงมีวงโคจรของตัวเอง มีรัศมีวงโคจรต่างกัน วงโคจรมีเสถียรภาพดี ไม่ใช่สิ่งที่จะมาชนกันได้ง่ายๆ ตามความรู้และข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์มีอยู่ เชื่อว่าหากมีการค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ในระบบสุริยะจริง (ซึ่งจะได้ชื่อว่าเป็นดาวเคราะห์เอ็กซ์) ดาวเคราะห์ดวงนี้ก็น่าจะอยู่พ้นวงโคจรของดาวเนปจูนออกไปอีก แล้วดาวเคราะห์ที่มีวงโคจรใหญ่โตอยู่ไกลปืนเที่ยงขนาดนั้นจะมาชนโลกได้อย่างไร ดาวเคราะห์เอ็กซ์คือสิ่งที่นักดารา ศาสตร์ถวิลหา และการค้นพบจะเป็นข่าวน่ายินดี หากวันหนึ่งคุณเห็นข่าวพาดหัวว่าค้นพบดาวเคราะห์เอ็กซ์แล้ว ก็อย่าไปแตกตื่นให้อายใครเขา 4.ปี 2012 ดวงอาทิตย์จะเกิดซูเปอร์แฟลร์ ส่งผลถึงขั้นทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก? ไม่จริง, ซูเปอร์แฟลร์เป็นปรากฏการณ์คล้ายกับแฟลร์ (การลุกจ้า) บนดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดพายุสุริยะ แต่ซูเปอร์แฟลร์รุนแรงมากกว่าแฟลร์ปกติหลายเท่า นักดาราศาสตร์พบการเกิด ซูเปอร์แฟลร์มาแล้วในดาวฤกษ์ดวงอื่น ความรุนแรงของซูเปอร์แฟลร์ที่พบนั้น หากเกิดขึ้นบนดวงอาทิตย์จะรุนแรงถึงขั้นทำลายบรรยากาศของโลก ทำลายระบบนิเวศบนโลกจนถึงขั้นเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ทีเดียว อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานว่าเคยเกิดซูเปอร์แฟลร์ขึ้นบนดวงอาทิตย์ หรือในระบบสุริยะของเรามาก่อน และนักดาราศาสตร์ไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ นี้เพราะ ซูเปอร์แฟลร์จะเกิดในระบบที่มีวัตถุสนามแม่เหล็กเข้มข้นอยู่ใกล้กัน เช่น มีดาวเคราะห์ยักษ์แบบดาวพฤหัสบดี หรือใหญ่กว่าโคจรอยู่ใกล้ดาวฤกษ์ แต่ระบบสุริยะของเราไม่มีลักษณะเช่นนั้น แม้ดาวพฤหัสบดีจะมีสนามแม่เหล็กเข้มข้น แต่ก็อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มาก ส่วนดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ก็มีสนามแม่เหล็กอ่อนเกินกว่าจะทำให้เกิดซูเปอร์แฟลร์ได้ 5. วันที่ 21 ธ.ค. 2012 ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจะเรียงเป็นแนวเดียวกัน? ไม่จริง, วันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 ดาวเคราะห์แต่ละดวงอยู่กันคนละทิศคนละทาง ไม่ได้เรียงกันเป็นเส้นตรง และไม่ได้ใกล้เคียงด้วย เรื่องที่ควรทราบอย่างหนึ่งคือ ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะไม่มีวันเรียงเป็นแนวเดียวกัน ความเป็นไปได้อย่างมากก็แค่ใกล้เคียงเท่านั้น แต่แม้จะสมมติว่ามีวันที่ดาวเคราะห์ทั้งหมดมาเรียงเป็นแนวเดียวกันจริงก็ไม่ต้องห่วงว่า ′แรงดึงดูด′ ของดาวเคราะห์แต่ละดวงจะส่งผลร้ายแรงใดๆ ต่อโลก 6.ปี 2012 จะเกิดปรากฏการณ์ pole shift จริงหรือ? Pole shift (โพลชิฟต์) คือการเลื่อนขั้วแกนหมุนของโลก ทำให้ขั้วเหนือและใต้ของโลกเปลี่ยนตำแหน่งไป เกิดขึ้นจากการที่สัณฐานของโลกไม่กลมสมบูรณ์ ปรากฏการณ์นี้เชื่อว่าเคยเกิดขึ้นจริงกับโลก รวมถึงดาวเคราะห์และดวงจันทร์ของดาวเคราะห์ดวงอื่นด้วย ไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่าจะเกิดปรากฏการณ์นี้ในปี 2012 และแม้จะเกิดก็จะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเนื่องจากการเลื่อนนี้เกิดขึ้นในอัตราที่เชื่องช้ามาก ความไม่แน่นอนของขั้วโลกยังมีอีกหลายแบบ เช่น ขั้วแม่เหล็กโลกเลื่อนตำแหน่ง การเปลี่ยนตำแหน่งของขั้วอันเกิดจากการเลื่อนของแผ่นทวีป การเปลี่ยนตำแหน่งของดาวเหนืออันเกิดจากการส่ายของขั้วโลก แต่การเปลี่ยนแปลงจากสาเหตุเหล่านี้มีชื่อเรียกอย่างอื่น ไม่ได้เรียกว่า pole shift 7. ปี 2012 สนามแม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนตำแหน่งจริงหรือ? จริง แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่กำลังจะเกิดในค.ศ.2012 หากแต่เกิดขึ้นตลอดเวลา แม้แต่ตอนนี้ก็เกิด นักวิทยาศาสตร์ทราบว่าขั้วแม่เหล็กโลก ′เคลื่อนที่′ ตั้งแต่ที่ค้นพบขั้วเหนือแม่เหล็กโลกเมื่อกว่าศตวรรษก่อนแล้ว การเคลื่อนที่นี้เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยอัตราเฉลี่ยประมาณ 1 องศาต่อ 1 ล้านปี หรืออาจเร็วกว่านั้น การสำรวจในช่วงไม่กี่ปีมาพบว่า ขั้วเหนือแม่เหล็กโลกเคลื่อนที่เร็วขึ้น แต่ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าโลกใกล้จะสลับขั้วหรือกำลังวิปริต เพราะอัตราการเคลื่อนที่มีขึ้นมีลงอยู่เสมอ 8.′ด.ช.ปลาบู่′ทำนายเขื่อนภูมิพลพัง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ยืนยันว่าเขื่อนภูมิพลมีความมั่นคงแข็งแรง และปลอดภัย เนื่องจากเขื่อนภูมิพลถูกออกแบบให้ทนต่อการสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ถึง 7.5 ริกเตอร์ โดยที่เขื่อนไม่ได้ตั้งอยู่ในแนวรอยเลื่อนหลักที่จะเกิดแผ่นดินไหว และปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนลดลงอย่างต่อเนื่อง เหตุผลหลักที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง-ปลอดภัยของตัวเขื่อนมี 3 ประการ ได้แก่ 1. เรื่องแผ่นดินไหว 2. เรื่องปริมาณน้ำมากหรือน้ำหลาก 3. การก่อวินาศกรรม เหตุผลประการแรก เรื่องแผ่นดินไหว เขื่อนภูมิพลเป็นเขื่อนคอนกรีตโค้งขนาดใหญ่ที่ออกแบบ และก่อสร้างให้มีความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล โดยบริษัทผู้ออกแบบและก่อสร้างเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญสูง เป็นบริษัทเดียวกันกับที่สร้าง ′เขื่อนฮูเวอร์′ ของสหรัฐ ฉะนั้น จึงมีความมั่นใจได้ในเรื่องเทคโนโลยีการก่อสร้างที่แข็งแรง ส่วนทำเลที่ใช้วางตัวเขื่อนก็เหมาะสมกับสภาพทางธรณีฐานรากและแรงกระทำจากแผ่นดินไหว ประการที่ 2 เรื่องปริมาณน้ำมากหรือน้ำหลาก เขื่อนภูมิพลออกแบบให้สามารถรับน้ำได้เต็มพิกัดที่ 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ผ่านมาเขื่อนภูมิพลผ่านการเก็บกักน้ำที่ระดับสูงสุดและน้ำหลากถึง 4 ครั้ง ในปี 2518, 2545, 2549 รวมทั้งในปี 2554 นี้ เก็บกักอยู่ที่ระดับ 99-100 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลายาวนานติดต่อกันมากกว่า 2 เดือน และจากการคำนวณคาดการณ์วันที่ 31 ธ.ค. 2554 ระดับน้ำจะลดลงอยู่ประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ของระดับกักเก็บสูงสุด ดังนั้น แรงกดดันของน้ำที่กระทำต่อตัวเขื่อนก็จะลดลง ประการที่ 3 การก่อวินาศกรรม เขื่อนภูมิพลปฏิบัติตาม พ.ร.บ.รักษาความปลอดภัยแห่งชาติปี 2552 โดยมีแผนรองรับตามระดับความรุนแรงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น หากพิจารณาด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ จึงมีโอกาสน้อยมากที่เขื่อนจะพัง ขอวิงวอนให้พี่น้องประชาชนมั่นใจในความแข็งแรงของเขื่อนภูมิพล อย่าได้วิตกกังวลตามกระแสข่าวลือ ซึ่งข่าวลือประเภทนี้เคยมีมาแล้วหลายครั้ง แต่เขื่อนก็ยังทำหน้าที่ของเขื่อนได้ดีเช่นเดิม จาก ........................ ข่าวสด วันที่ 3 มกราคม 2555
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#80
|
||||
|
||||
ไขปริศนาหายนะปี 2012 โลกาวินาศ - มนุษยชาติสูญสิ้น!? ในปี ค.ศ. 2012 นี้นับเป็นปีที่มีกระแสข่าวรุนแรงในเรื่องของความหายนะที่จะเกิดขึ้นกับโลกของเรา ซึ่งบางกระแสข่าวรุนแรงถึงขั้นมีหลักฐานยืนยันว่าโลกจะแตกในปีนี้ ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตรวมทั้งมนุษยชาติสูญสิ้นกันเลยทีเดียว โดยสาเหตุมาจากหลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสภาพความแปรปรวนของอากาศ เหตุภัยพิบัติและอุทกภัยซึ่งสร้างความตื่นตระหนกให้แก่ประชาชน ด้วยเกรงว่าคำทำนายและความเชื่อนั้นจะเป็นจริง...!! จากการกล่าวอ้างรวมทั้งกระแสข่าวต่าง ๆ ทั้งหมด องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) จึงร่วมกับสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สดร. จัดเสวนาให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อจะได้เข้าใจข้อมูลที่ถูกต้องขึ้น ในหัวข้อ “โลกาวินาศ วิทยาศาสตร์วิพากษ์ พยากรณ์ 2012 ฤาโลกจะสูญสิ้น” โดย ดร.พิชัย สนแจ้ง ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ และดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมกันให้ความรู้ว่า ความเชื่อกับหลักการทางด้านวิทยาศาสตร์มักจะสวนทางกันอยู่เป็นประจำ เช่น เรื่องของโลกาวินาศ ซึ่งเรื่องแรกที่เราจะพูดถึงกันคือ “ปฏิทินมายา” อันมีที่มาจากชาวมายาซึ่งเป็นชนเผ่าโบราณอยู่แถวอเมริกากลาง ปัจจุบันเป็นประเทศกัวเตมาลา จุดเริ่มต้นของกระแสข่าวนี้คือ ในปี ค.ศ. 1966 มีหนังสือมายาเกิดขึ้นเป็นหนังสือเล่มแรกของฝรั่งที่อ้างว่าน่าจะมีวันสิ้นสุดของโลกในปี ค.ศ. 2012 นี้ ประมาณเดือนธันวาคม แต่ว่าวันที่จะเลื่อนไปเลื่อนมาในการพิมพ์แต่ละครั้ง และถูกปรับมาเป็นวันที่ 21 ธ.ค. เพราะมีข่าวหลายกระแส ซึ่งวิธีคิด คือชาวมายาจะใช้ระบบปฏิทินอย่างน้อย 3 แบบหลัก คือแบบแรกและแบบที่ 2 เป็นการนับวัน ส่วนแบบที่ 3 เรียกว่าปฏิทินแบบลองเคาทน์ มีการนับ 2 แบบ คือรอบยาวและรอบสั้น โดยรอบสั้นถูกนำมาใช้อ้างอิงในทฤษฎีโลกแตกปี ค.ศ. 2012 ซึ่งแบบสั้นจะอยู่ที่ 13 baktuns หรือ 1,872,000 วัน หรือ 5,125 ปี เมื่อสิ้นสุดวันจะเริ่มนับใหม่ จากข้อมูลอ้างว่าวันสุดท้ายของปฏิทินตรงกับวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 2012 จึงตีความกันว่าจะเป็นวันสุดท้ายของการสิ้นโลก เพราะตามตำนานเมื่อถึงวันสุดท้ายของปฏิทินจะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย แต่ก็เป็นเพียงความเชื่อในตำนานการสร้างโลกของชาวมายาเท่านั้น แต่เรื่องร้ายมักจะกล่าวถึงกันมากกว่า เรื่องที่ 2 คือ ’ดาวนิบิรุ” พุ่งชนโลก โดยทฤษฎีนี้เชื่อกันว่าวันหนึ่งจะมีดาวนิบิรุหรือวัตถุจากฟากฟ้าพุ่งชนโลก โดยในอดีตเคยมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง คือดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง หรือวัตถุขนาดใหญ่พุ่งชนโลก การชนมีทั้งผลดีและผลเสีย ขณะเดียวกันก็เกิดผลดีเพราะในระบบสุริยะช่วงที่โลกร้อนจัดเป็นไปไม่ได้ที่โลกจะมีน้ำ แต่ปัจจุบันเราเห็นมหาสมุทรที่อยู่บนผิวโลก 3 ใน 4 ของพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งตัวเราก็มีองค์ประกอบหลักเป็นน้ำ และน้ำเหล่านี้มาจากวัตถุที่หลงเหลือจากการเกิดระบบสุริยะนั่นคือดาวหาง ซึ่งดาวหางองค์ประกอบหลักหรือโมเลกุลสำคัญของมันคือน้ำ และเมื่อเกิดการชนของดาวหางบนโลกยุคแรกๆมากมาย น้ำจากดาวหางค่อยๆสะสม ซึ่งตัวเราส่วนหนึ่งก็เป็นองค์ประกอบของดาวหางเช่นกัน เพราะน้ำในตัวเราไม่มีที่มาอย่างแน่นอน นอกจากการชนโลกของดาวหาง จากหลักฐานมีการชนเกิดขึ้นจริงเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2537 มีดาวหางชื่อว่า ชูเมกเกอร์ชนดาวพฤหัสบดี โดยก่อนชนมีการแตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ หลายชิ้น และพุ่งชนดาวพฤหัสบดีทีละลูก ซึ่งด้านที่ชนดาวพฤหัสบดีหันมาทางโลกพอดี ทำให้ยานอวกาศชื่อกาลิเลโอถ่ายภาพด้วยกล้องอินฟาเรดขณะชนได้ ในภาพจะเห็นว่ามันปลดปล่อยพลังงานมหาศาลออกมา ซึ่งเราจะเห็นแผลดำๆเกิดขึ้นบนดาวพฤหัสบดีนานปีกว่าๆด้วยกัน โดยเศษดาวหางแต่ละลูกถ้าชนโลกคงน่ากลัวมาก แต่ว่าดาวพฤหัสบดีโดนชนง่ายกว่าโลก เพราะมีแรงโน้มถ่วงสูง และครั้งสุดท้ายที่มีการชนโลกจริงๆที่มีหลักฐานคือการชนที่ทังกัสก้า ประเทศไซบีเรีย เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1908 หรือเมื่อ 103 ปีที่แล้ว ซึ่งแรงระเบิดเทียบเท่าระเบิด TNT ถึง 30 เมกะตัน ต่อมามีการวิจัยศึกษาทางด้านธรณีวิทยาพบว่าจากการชนมีการกระจายแร่ธาตุต่าง ๆ พอที่จะเชื่อได้ว่าเป็นการชนของอุกกาบาตหรือดาวเคราะห์น้อย เป็นวัตถุขนาด 20-30 เมตร แต่มีอำนาจการทำลายล้างมหาศาล ซึ่งวัตถุที่ว่านี้ไม่ได้พุ่งชนที่พื้นแต่มีการระเบิดก่อนถึงพื้นที่ประมาณความสูง 4-5 เมตร แต่โชคดีไม่มีใครเสียชีวิต เพราะเป็นบริเวณที่ไม่มีใครอาศัยอยู่ สำหรับดาวนิบิรุอ้างถึงว่า เป็นดาวเคราะห์ถูกค้นพบโดยชาวสุเมเรียน เมื่อประมาณ 2,500 ปีก่อนคริสตกาล วงโคจรรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลา 3,600 ปี และจะพุ่งชนโลกในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2012 นี้ จากการวิเคราะห์คาบโคจรในทางฟิสิกส์แล้วถ้าดาวนิบิรุมีจริงน่าจะมีวงโคจรที่เป็นวงรีมาก ๆ และปัจจุบันจะต้องอยู่ใกล้เคียงวงโคจรของดาวพฤหัสบดี มีความสว่างสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ขณะนี้ยังไม่มีการค้นพบดาวดวงนี้ ส่วนกรณีที่ดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อยจะพุ่งชนโลกโดยมีการกล่าวอ้างว่าองค์การนาซาปกปิดนั้นก็เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากปัจจุบันมีหลายโครงการทั่วโลกที่ค้นหาและติดตามวัตถุที่มีขนาดใหญ่กว่า 200 เมตร ที่มีวงโคจรเข้าใกล้โลกไม่เกิน 4.5 ล้านไมล์ ปัจจุบันเราค้นพบดาวเคราะห์น้อยที่มีโอกาสเข้าใกล้โลกมากที่สุด คือดาวเคราะห์น้อย 1950 DA มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.1 กม. มีวงโคจร 2.2 ปีรอบดวงอาทิตย์ ถ้าไม่เปลี่ยนวงโคจรเลยมีโอกาสจะพุ่งชนโลกได้ในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2880 ดังนั้นเราจึงยังมีเวลาเตรียมตัวอีก 800 ปีข้างหน้า และโอกาสความน่าจะเป็นที่จะชนโลก มี 0.33 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นในช่วงอีก 800 ปีข้างหน้า ความก้าวหน้าทางวิทยาการของมนุษย์คงสามารถจัดการมันได้ เรื่องที่ 3 ’การเรียงตัวกันของดาวเคราะห์” เกิดแรงดูดมหาศาลและส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงทั่วโลก รวมทั้งเกิดพายุสุริยะถาโถมเข้าใส่โลกนั้น จากการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์แล้วพบว่า เหตุการณ์นี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง เนื่องจากอิทธิพลของแรงดึงดูดจากดาวเคราะห์เหล่านั้นมีผลต่อโลกน้อยมาก เมื่อเทียบกับแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่มีต่อโลก หรือแม้แต่กระแสข่าวที่ว่าโลกจะถูกหลุมดำที่ใจกลางทางช้างเผือกดูดเข้าไปในวันที่ 21 ธันวาคม 2555 ก็ขอยืนยันว่าจากการศึกษาการโคจรของดาวฤกษ์หลายดวงรอบหลุมดำต่าง ๆ ประกอบกับแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ที่กระทำต่อโลก สูงกว่าแรงโน้มถ่วงของหลุมดำถึง 100,000 ล้านเท่า ทำให้โลกของเราจะไม่ถูกหลุมดำนี้ดูดเข้าไปแน่นอน หรือ ถ้าจะมีการดูดเกิดขึ้นดวงดวงอื่นที่อยู่ใกล้กว่าโลกก็จะต้องถูกดูดเข้าไปก่อนแล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่มีดาวดวงใดถูกดูดเข้าไปเลยซักดวง (มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|