เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #71  
เก่า 26-01-2011
angel frog angel frog is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 330
Default

พวกที่ เขาปิดแล้วยังไปแอบลงเนี๊ยะ น่าจะจับไปขัง แล้วลืมๆไปซะ 30 ปี ...นะ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #72  
เก่า 26-01-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default


บทความของ อ.บอย ใน fb เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2554



ปะการังฟอกขาว เราช้าในมิติของการศึกษา การจัดการเตรียมรับสถานการณ์ และการจัดการทรัพยากร


วันนี้ มีข่าวกรมอุทยานฯ จะปิดอุทยานแห่งชาติ เป็นเรื่องฮือฮากันมาก

แต่สำหรับผม มันช้าไปหน่อย

นักวิชาการเตือนก่อนหน้านี้นานแล้ว ว่าสถานการณ์ปะการังฟอกขาววิกฤตมาก จะต้องรีบดำเนินการแก้ไขปัญหา แต่ในช่วงที่ผ่านมา กรมอุทยานฯเอง ก็ไม่มีความชัดเจนในการประเมินสภาพปัญหา และการรับรู้สภาพปัญหาเพื่อเตรียมการรองรับ

นักวิชาการพร้อมที่จะช่วยมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม แต่ก็ได้แต่คุยกันไปมา

ในทางปฏิบัติไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะไม่มีงบประมาณทำงาน

ทุกวันนี้ เราจึงยังไม่สามารถสำรวจได้ทุกพื้นที่

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมีงบประมาณก็ค่อยๆทำไป

แต่นักวิชาการที่พร้อมจะช่วยเหลือ ไม่มีงบประมาณ ได้แต่เฝ้าดู

เป็นเรื่องน่าเสียดาย เรามีคนพร้อมจะทำงาน แต่ไม่มีโอกาส


พวกเราจัดประชุมกันเพื่อระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการทุกสถาบัน และออกเงินไปก่อนล่วงหน้า ตั้งแต่เดือนตุลาคม ชี้แจงให้เห็นปัญหาของปะการังฟอกขาว เงินที่สำรองจ่ายไปแล้ว เพิ่งจะออกมาจากกรมฯเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นเงินของการประชุม ไม่ใช่เงินค่าใช้จ่ายในการสำรวจ การสำรวจก็ต้องออกไปเองก่อน แล้วค่อยตามเบิกทีหลัง

ในมิติของการเตรียมการรองรับสถานการณ์ เรารู้แล้วว่าสถานการณ์จะเลวร้าย ปะการังหลายบริเวณตายไปตั้งแต่เดือนกันยายน ตุลาคมที่ผ่านมา และเราก็ทำนายผลกระทบจากการท่องเที่ยวไว้แล้ว แต่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ไม่ได้เตรียมการอะไรเลยที่จะบรรเทาผลกระทบ เช่น ถ้าต้องปิดจุดดำน้ำ แล้วจะทำอย่างไรต่อ

ข้อเสนอแนะ เช่น การจัดทำปะการังเทียมเพื่อชดเชยแหล่งดำน้ำ ให้ปลาเข้ามาอยู่อาศัย ก็ยังถกเถียงกันว่า ปะการังเทียมเป็นสิ่งแปลกปลอม เป็นขยะ นักวิชาการในกรมอุทยานแห่งชาติ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ยังแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้สร้าง อีกฝ่ายไม่ให้สร้าง

หรือ ถ้าเราต้องปิดอุทยานแห่งชาติจริงๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า จะปิดทุกแห่ง แนวปะการังหลายบริเวณก็ยังอยู่ในสภาพที่ดี อย่างหมู่เกาะอาดัง ราวี ก็ยังมีสภาพที่ดีอยู่ ยังรองรับนักท่องเที่ยวได้ ยกเว้นบริเวณหาดทรายขาว ของเกาะราวี จะต้องปิด และต้องไม่ไปพัฒนาสิ่งก่อสร้างห้องน้ำ ห้องส้วม ร้านอาหาร ที่พัก ในบริเวณหาดทรายขาว ทุกวันนี้ หาดทรายขาวเปิดท่องเที่ยวกันอย่างไม่สนใจว่าแนวปะการังตรงนั้นตายไปแล้ว ต้องการการดูแลให้มันฟื้นตัวเอง ไม่ใช่การซ้ำเติม


หมู่เกาะสุรินทร์ ถือว่าวิกฤติหนักที่สุด ถ้าจะต้องปิดทั้งอุทยานฯก็ต้องปิด เพราะเสียหายมากที่สุด แต่ถ้ากลัวผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยว ก็ต้องกำหนดกิจกรรม กำหนดสถานที่ให้เหมาะสม


ส่วนสิมิลันนั้น จุดดำน้ำลึกยังพอมีให้ใช้ได้ แต่ไม่ทุกจุด และต้องควบคุมอย่างเข้มงวด อย่าไปสร้างปัญหาซ้ำเติม จากของเสียจากเรือ การเหยียบย่ำ การให้อาหารปลา การทิ้งเศษอาหารลงทะเล

ส่วนจุดดำน้ำตื้น และบริเวณที่เป็นแนวปะการังแข็งทั้งหมดของหมู่เกาะสิมิลัน ต้องปิด เช่น เกาะหนึ่ง เกาะสอง เกาะสาม ต้องปิดอยู่แล้วเพราะเป็นเขตสงวนอย่างเข้มงวด แต่ที่ต้องปิดเพิ่มเป็นการชั่วคราวอย่างน้อย 3 ปี ได้แก่ ทางฝั่งตะวันออกของเกาะแปด เกาะเจ็ด


หมู่เกาะพีพี ต้องปิดหลายบริเวณ เช่น บริเวณที่ตื้นของเกาะไผ่ เกาะกลาง แนวปะการังทางทิศตะวันออกของเกาะพีพีดอนตั้งแต่ใต้อ่าวต้นไทรไปจนถึงแหลมตง และอ่าวมาหยา เกาะพีพีเล

ในภาพรวมของการท่องเที่ยวทางฝั่งอันดามัน เราอาจจะต้องย้ายนักท่องเที่ยวลงไปทางหมู่เกาะอาดัง ราวี และใช้มาตรการต่างๆควบคุมไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสร้างความเสียหาย ต้องส่งคนลงไปดูแลมากขึ้น เรือตรวจ ทุ่นจอดเรือ


ส่วนในมิติของการจัดการทรัพยากร...

วันนี้ ต้องยอมรับกันว่า ประเทศไทย ใช้คนที่ไม่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล ไปบริหารจัดการแนวปะการัง อย่างเช่น แนวปะการังของประเทศอยู่ในอุทยานแห่งชาติเกือบครึ่ง

แต่ถามว่า วันนี้ เจ้าหน้าที่อุทยานฯ มีทีมงานที่รู้เรื่องแนวปะการัง และการจัดการแนวปะการังหรือเปล่า หัวหน้าอุทยานฯแห่งชาติ เข้าใจหรือเปล่าว่าจะจัดการแนวปะการังอย่างไร

ทุกวันนี้ ได้แต่บอกว่า รอนักวิชาการข้างนอกเข้าไปสำรวจ แต่ถามว่า มีงบประมาณให้นักวิชาการทำงานหรือเปล่า

แล้วทำไม เจ้าหน้าที่ประเมินสถานการณ์กันเองไม่ได้ แค่ลงน้ำไปก็รู้แล้วว่าปะการังตรงไหนตายบ้าง เว้นแต่ว่า ไม่มีคนที่รู้จักปะการังว่า ลักษณะไหนที่ยังมีชีวิต ลักษณะไหนที่ตายแล้ว และยังประกาศออกสื่อว่าปะการังหายจากการฟอกขาวแล้ว พร้อมรับนักท่องเที่ยว ทั้งๆที่ความจริง คือ ปะการังหายฟอกขาว แต่ตายแบบยืนต้น ตายเกือบหมดทั้งอ่าว

ในช่วงที่ผ่านมา นักวิชาการต้องขอเข้าไปดูไปศึกษา ออกเงินเข้าไปทำงานกันเองทั้งค่ารถ ค่าเรือ ค่าใช้จ่ายต่างๆ และเมื่อมีข้อมูลออกมาแล้วก็ไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งนักท่องเที่ยวเข้าไปเห็นเอง เผยแพร่ออกมาตามสื่อต่างๆ เจ้าหน้าที่ถึงได้มีการตื่นตัว


การบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติในทุกวันนี้ เราเน้นแต่การบริหารจัดการคน บริหารจัดการนักท่องเที่ยว บริหารจัดการเงินรายได้ต่างๆ ทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวพึงพอใจ ทำอย่างไรจะมีนักท่องเที่ยวมาพัก แล้วเกิดความสบาย ทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวมีอาหารทะเลกิน และทำอย่างไรถึงจะเก็บเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ เข้ารัฐ และยังค่าอาหาร ค่าที่พัก ที่อยู่นอกระบบอีกเท่าไร การพัฒนาบนเกาะต่างๆเกิดขึ้นมากมายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว และมีเป้าหมายเพื่อหารายได้ แต่ทรัพยากรใต้น้ำ ไม่ค่อยสนใจจะดูแล

ที่ร้ายที่สุด คือ การพัฒนาต่างๆของอุทยานแห่งชาติเอง ที่สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศแนวปะการัง ไม่ว่าจะเป็นกิจการร้านอาหาร ที่พัก ห้องน้ำ ห้องส้วม ที่อยู่บนเกาะที่มีแนวปะการัง ล้วนแล้วแต่สร้างปัญหาให้กับคุณภาพน้ำทะเลของแนวปะการังทั้งสิ้น หาดทรายขาวที่เกาะราวี อช. ตะรุเตา เป็นตัวอย่างล่าสุดที่ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน

สุดท้าย อยากทราบจริงๆ ว่า.... กรมอุทยานแห่งชาติ มีแนวทางการคัดเลือกหัวหน้าอุทยานแห่งชาติทางทะเลต่างๆอย่างไร คนที่จะมาเป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติทางทะเล ควรมีความรู้และประสบการณ์อะไรบ้าง

ทุกวันนี้กลายเป็นว่า ส่งใครก็ได้ที่สามารถบริหารจัดการคน และงบประมาณเข้าไปเป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติทางทะเล


น่าเสียดายที่เราจำใจ... ต้องฝากฝังทรัพยากรธรรมชาติที่ดีที่สุดของประเทศและภูมิภาค ..... ไว้ในมือของกลุ่มคนที่ไม่รู้จักแนวปะการังเลย

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #73  
เก่า 26-01-2011
Thoto_Dive Thoto_Dive is offline
Member
 
วันที่สมัคร: Dec 2010
ข้อความ: 80
Default

ผมมีโอกาสได้ไปนั่งฟังการสัมนาเรื่อง "วิกฤติทรัพยากรธรรมชาติแหล่งท่องเที่ยว : สิทธิและทางออกเพื่อความยั่งยืน"
โดยมีผู้แทนจากอธิบดีกรมอุทยาน ท่านมาเพื่อตอบปัญหาปะการังฟอกขาวโดยเฉพาะ แค่ประโยชน์ที่ท่านแนะนำตัวก็ทำให้ผมสั่นสะท้าน

"ผมเป็นอดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติ หมู่เกาะเสม็ดและเกาะช้าง"

คงไม่เอ่ยต่อ แค่จินตนาการ หมู่เกาะสุรินทร์และสิมิลัน กลายเป็นแบบเกาะเสม็ดกับเกาะช้าง!!!!
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #74  
เก่า 27-01-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default


ชี้ปิดเขตอุทยานฯป้องกันแนวปะการัง ท่องเที่ยวป่วน


นายนพดล ทองเกิด ประธานชมรมผู้ประกอบการท่องเที่ยวเกาะพีพี จ.กระบี่ กล่าวถึงกรณีที่ทางกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เตรียมที่จะปิดอุทยานบางแห่งในพื้นที่ฝั่งอันดามัน โดยเฉพาะพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญเพื่อป้องกันแนวปะการังเสียหาย หลังเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว ทำให้ปะการังได้รับความเสียหายหลายแห่ง โดยในส่วนของจังหวัดกระบี่ เช่น ที่อ่าวมาหยา และอ่าวต้นไทร ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของเกาะพีพี และเป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังที่ขึ้นชื่อ

ประธานชมรมผู้ประกอบการท่องเที่ยวเกาะพีพีกล่าวว่า การประกาศปิดแหล่งดำน้ำดูปะการังในเขตอุทยานฯ จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของเกาะพีพีและจังหวัดกระบี่อย่างแน่นอน เพราะนักท่องเที่ยวที่มาเกาะพีพี ส่วนใหญ่จะเดินทางไปที่อ่าวมาหยา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุด และบริเวณดังกล่าวก็มีปะการังน้ำตื้นที่สวยงามอยู่เป็นจำนวนมาก ประกอบกับขณะนี้เป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะที่อ่าวมาหยา เฉลี่ยวันละ 800-1,000 คน หากมีการปิดอุทยานฯ ก็จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวแน่นอน “การปิดอุทยานฯ ไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้า ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะเท่าที่ตนติดตามข่าวสารมาโดยตลอดพบว่าปะการังเสียหาย เกิดขึ้นมานานกว่า 1 ปี แล้ว ทำไมทางอุทยานฯไม่ปิดในตอนนั้น กลับมาปิดในช่วงฤดูการท่องเที่ยว ซึ่งตนเห็นว่ามีเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน

ขณะที่นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวทำนองเดียวกันว่า ในส่วนของสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ ไม่เห็นด้วยเช่นกันที่กรมอุทยานฯจะปิดอุทยานฯในฝั่งอันดามัน โดยเฉพาะในพื้นที่เกาะพีพี ทางออกที่ดีที่สุดเพื่อให้ปะการังอยู่รอด ธุรกิจท่องเที่ยวอยู่ได้ ควรจะมีการแบ่งโซนพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยว โดยการสลับหมุนเวียนกัน ไม่ใช่ปิดพร้อมกันทุกจุด เนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลสำคัญส่วนใหญ่ของจังหวัดกระบี่อยู่ในเขตอุทยานฯ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวด้วยว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดกระบี่ จะเดินทางไปท่องเที่ยวทางทะเล ดำน้ำดูปะการัง และพักผ่อนตามชายหาด หากว่าทางกรมอุทยานฯประกาศปิดอุทยานฯ ก็จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่โดยตรง และเชื่อว่าผลที่ตามมาจากการปิดอุดทยานฯ จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวหายไป ประมาณ 50-60 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่รู้จะมาดูอะไร.




จาก ..................... เดลินิวส์ วันที่ 27 มกราคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #75  
เก่า 27-01-2011
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Unhappy



ที่กระบี่....เขาสั่งปิดเฉพาะที่หินใหญ่เท่านั้นนี่คะ.....ไหง๋ไพล่ไปพูดถึงปิดอ่าวมาหยาและอ่าวต้นไทรด้วยล่ะนี่....


อืมมมม.....แต่ที่มาหยากับอ่าวต้นไทรมันก็น่าจะปิดจริงๆซะด้วยสิคะ....

__________________
Saaychol
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #76  
เก่า 27-01-2011
moeak moeak is offline
Member
 
วันที่สมัคร: Aug 2010
ข้อความ: 40
Default

เมื่อวานดูข่าว เห็นเจ้าหน้าทีกำลัง วางทุ่นปิดไม่ให้ใช้พื้นที่

ก็ยังมีเรือพาคนไปลงต่อหน้าต่อตา แต่ก็โดนปรับ ไปคนละ 500 บาท เอง

น่ามีบทลงโทษไอคนพาไปหนักหน่อยนะ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #77  
เก่า 27-01-2011
ดอกปีบ's Avatar
ดอกปีบ ดอกปีบ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
ข้อความ: 703
Default

อาจารย์ศักดิ์อนันต์พูดได้ตรงประเด็นมากเลยครับ .. และผมก็เห็นแบบนั้นเสียด้วย

ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวนั้น ผมว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รวมถึงตัวผมด้วย ลืมไปว่าทะเลหรือทรัพยากรธรรมชาติทุกอย่างมัีนละเอียดอ่อนกว่าที่เราคิดมากนัก

ปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งนี้น่าจะสะท้อนหลายๆเรื่องว่า ต้องมีการจัดการการท่องเที่ยวกันอย่างเป็นระบบและอนุรักษ์มากขึ้น รวมถึงมีการคัดเลือกบุคคลกรที่เหมาะสมในทุกๆเรื่องจริงๆ
__________________
If we see the hearts of others, peace will follow

You may say I'm a dreamer .. but I'm not the only one: John Lennon
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #78  
เก่า 27-01-2011
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,160
Default



เรื่องการใช้บุคคลากรให้ถูกคนถูกเรื่องนี่ เป็นปัญหาใหญ่จริงๆในทุกองค์กรนะคะ อย่างไรก็ตาม จะเสนอเรื่องนี้ให้ที่เวทีเสวนาเรื่องปะการังฟอกขาวไว้ด้วยค่ะ...น้องปี๊บ

__________________
Saaychol
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #79  
เก่า 28-01-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default


"ปะการังฟอกขาว" สร้างโอกาสจากวิกฤตเพื่อท้องทะเลไทย ...................... โดย ปิ่น บุตรี



“ปะการัง...ปะการัง...งามล้ำค่า ช่วยกันรักษา...
เจ้าไข่มุกเอเซีย ต้องเสียหาย
โอ้ปักษ์ใต้บ้านเรา นั้นแย่แล้ว
ใต้ทะเลไม่เหลือ ไม่เห็นแนว
พังระเบิดเป็นแถว ปะการัง...”

เพลง“ปะการัง” ของวง“ซูซู” ดูจะ เข้ากับบรรรยากาศของสภาพปะการังในบ้านเราช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาไม่น้อยเลย เพียงแต่ว่างานนี้เปลี่ยนบริบทจากการถูกระเบิดทำลายกลายมาเป็น วิกฤตการณ์ “ปะการังฟอกขาว”แทน


ปะการังฟอกขาว ใครทำ???

ปะการังฟอกขาว เกิดจาก“สาหร่ายซูแซนเทลลี่”ที่ อาศัยอยู่ภายในเนื้อเยื่อปะการังซึ่งทำหน้าที่สร้างสีสันและสังเคราะห์แสง ให้พลังงาน แยกตัวออกมา ทำให้ตัวปะการังสีซีดลงกลายเป็นเนื้อเยื่อใสๆคล้ายวุ้นคลุมส่วนโครงสร้างที่ เป็นหินปูน มองเห็นเป็นสีขาว เทา หรือน้ำตาล

สาเหตุหลักในการเกิดปะการังฟอกขาวมาจากอุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้น เกินกว่าปกติ ซึ่งโดยปกติอุณหภูมิของน้ำทะเลจะอยู่ที่ 28-29 องศาเซลเซียส แต่ถ้าอุณหภูมิน้ำทะเลเกิดสูงเกิน 30.1 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลาเกิน 3 สัปดาห์ขึ้นไป ปะการังจะปรับทำตัวให้เกิดปะการังฟอกขาวขึ้นมา

ในอดีตปะการังฟอกขาวตามธรรมชาติจะสัมพันธ์กับปรากฏการณ์เอลนีโญที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในมหาสมุทร ครั้นเอลนีโญผ่านพ้นไปปะการังก็จะใช้เวลาพักฟื้นแล้วกลับมามีสีสันสวยงามอีกครั้ง โดยบ้านเราในช่วงปี พ.ศ. 2540-41 ก็เคยเกิดปะการังฟอกขาวที่ค่อนข้างรุนแรงเหมือนกัน แต่นั่นยังไม่เท่ากับการเกิดปะการังฟอกขาวในปัจจุบันที่เป็นข่าวฮือฮาในทุกวันนี้

ปะการังฟอกขาวหนนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น หากแต่เกิดขึ้นไปทั่วแถบภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย ทั้งอินเดีย ศรีลังกา มัลดีฟ ซีเชลส์ พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย

ส่วนที่เกิดบ้านเรานั้นถือว่าถือว่ารุนแรงที่สุดในประวัติการณ์ เป็นวิกฤตปะการังฟอกขาวที่มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 ขยายต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าไม่หาทางป้องกันเยียวยาให้ดี ผลที่เกิดขึ้นตามมาคือ มันไม่ได้เกิดเฉพาะแค่ปะการังตายเท่านั้น หากแต่มันกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ทั้งทำให้จำนวนปลาลดลง ส่งผลต่อไปยังเรื่องของการประมง แหล่งอาหารทางทะเลของมนุษย์ การท่องเที่ยว การกัดเซาะชายฝั่ง รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศทางทะเลด้วย

สำหรับการเกิดวิกฤตปะการังฟอกขาวครั้งนี้ ทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ ผู้รู้ ต่างออกมาให้ความเห็นในทำนองเดียวกันว่า

...การเกิดปะการังฟอกขาวในครั้งนี้ เกิดจากเอลนีโญที่มาจากสภาวะโลกร้อนเป็นหลัก...

แล้วสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนทำ หากแต่มาจากน้ำมือมนุษย์เรานั่นเอง


ปะการังฟอกขาวย้อนคืนสู่มนุษย์

ช่วงปะการังฟอกขาวเริ่มเป็นข่าวดัง ผมกำลังเริงร่าล่องใต้ทัวร์มาราธอนตามหมู่เกาะท้องทะเลในอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม หมู่เกาะเภตรา และหมู่เกาะตะรุเตา แห่งท้องทะเลอันดามันระหว่างทะเลตรังกับทะเลสตูลอยู่พอดี

ครั้นพอกลับขึ้นมากรุงเทพฯมีหลายคนคนถามว่า “ทะเลอันดามันไปเที่ยวได้หรือ เห็นข่าวออกมาว่าเขาปิดอุทยานฯหลายที่หนิ”

เอ้า...กลายเป็นเรื่องปิดอุทยานแห่งชาติทางทะเลหลายแห่งไปเสียฉิบ ทั้งที่ความจริงอุทยานฯทางทะเลยังเที่ยวได้ตามปกติ เพียงแต่ว่าทางกรมอุทยานฯเขาประกาศ “งดกิจกรรมดำน้ำบางจุด”หรือพูดง่ายๆว่า“ปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุด”ในอุทยานฯทาง ทะเลบางแห่ง ย้ำนะครับว่า“ปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุด” ไม่ได้ปิดอุทยานฯ ห้ามคนเข้าไปเที่ยวแต่อย่างใด นอกจากนี้กิจกรรมทางทะเลทั่วไป เช่น เล่นน้ำชายฝั่ง เดินชายหาด ชมทิวทัศน์ ท่องราตรี(ในบางพื้นที่) หรือดำน้ำในจุดที่อนุญาตไม่ใช่จุดต้องห้าม ก็ยังคงสามารถทำได้ตามปกติ

โดยอุทยานฯที่ทำการปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุด ณ เวลานี้ มี 7 อุทยานฯด้วยกัน ได้แก่
1. อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง บริเวณเกาะเชือก
2. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา จ.สตูล บริเวณเกาะบุโหลนไม้ไผ่ เกาะบุโหลนรังผึ้ง
3. อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล บริเวณเกาะตะเกียง เกาะหินงาม เกาะราวี หาดทรายขาว เกาะดง
4. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร บริเวณเกาะมะพร้าว
5. อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี บริเวณแนวปะการังบริเวณหินกลาง
6. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา บริเวณอ่าวสุเทพ อ่าวไม้งาม เกาะสตอร์ค หินกอง อ่าวผักกาด และแนวปะการังหน้าที่ทำการอุทยาน
7. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา บริเวณอ่าวไฟแว๊ป และอีส ออฟ อีเด็น

อย่างไรก็ดีการเลือกปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุดของกรมอุทยานฯ วัตถุประสงค์เท่าที่ผมจับจากข่าวก็เพื่อไม่ให้คน(นักท่องเที่ยว)เข้าไปซ้ำ เติมเหตุการณ์ให้มันเสื่อมเร็วและแย่ลงมากขึ้น เพราะหากเป็นปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวตามธรรมชาติปกตินั้นมันสามารถฟื้นตัวได้ อย่างเร็วอาจแค่ 1 ปี อย่างช้าอาจถึง 5 ปี

แต่กลับวิกฤตปะการังฟอกขาวครั้งนี้ยังไม่มีใครสรุปได้ว่าจะใช้เวลาฟื้นตัวแค่ไหน ยิ่งถ้าไม่หาทางป้องกันเยียวยาให้ดี ผลที่เกิดขึ้นตามมา มันไม่ได้เกิดเฉพาะแค่ปะการังตายจำนวนมากเท่านั้น หากแต่มันส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศทางทะเลและเกิดผลกระทบอื่นตามมา ทั้งทำให้จำนวนปลาลดลง แหล่งอาหารทางทะเลของมนุษย์ร่อยหรอ และส่งผลต่อไปยังเรื่องของการประมง การท่องเที่ยว ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง

เรียกว่าเมื่อมนุษย์เป็นตัวเอี่ยวสำคัญในการก่อวิกฤต ผลเอี่ยวจากการกระทำมันก็ย้อนศรกลับมากระทบต่อมนุษย์เราแบบไม่มีทางหลีกเลี่ยง


สร้างโอกาสจากวิกฤต

แม้วิกฤตปะการังฟอกขาวที่เกิดขึ้นจะอยู่ในขั้นรุนแรง แต่เราไม่ควรตื่นตระหนกจนเกิดเหตุ หากแต่ควรตื่นตัวต่อสภาวะโลกร้อนและปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น เพราะปัญหาทะเลไทยที่ผ่านมามาได้มีเฉพาะเรื่องปะการังฟอกขาวเท่านั้น แต่มันมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการกัดเซาะชายฝั่ง การจับสัตว์น้ำแบบเกินพอดี การระเบิดปลา ทำลายปะการัง การลักลอบนำปะการังไปขาย การทำอวนลาก อวนรุน การพัฒนาเมือง พัฒนาทางวัตถุโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

ในขณะที่ถ้าโฟกัสให้แคบลงมาเฉพาะในมิติของการท่องเที่ยว ที่ผ่านมาท้องทะเลไทยเราได้รับผลกระทบจากภาคการท่องเที่ยวไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งจาก นายทุนบุกรุกท้องทะเลสร้างรีสอร์ท โรงแรม การปล่อยน้ำเสีย ขยะ ตะกอน ของผู้ประกอบการลงสู่ทะเล การมักง่ายทิ้งขยะลงทะเลของนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวดำน้ำตื้นไปเหยียบยืนทำลายปะการังจนตายทั้งพวกที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และพวกที่ตั้งใจ เรือนำเที่ยวทิ้งของเสียลงทะเล หรือแม้กระทั่งการรับใต้โต๊ะของเจ้าหน้าที่อุทยานฯบางคนดังที่ปรากฏเป็นข่าว

ซึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนี้นอกจากการปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุดแล้ว ผู้เกี่ยวข้องควรให้ข้อมูลกับนักท่องเที่ยวในเรื่องปะการังฟอกขาว สร้างจิตสำนึกการท่องเที่ยวอย่างถูกวิธีที่แม้จะต้องพูดแล้วพูดอีกพูดซ้ำพูดซากก็คงต้องทำกันต่อไป เพราะหากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังคงเที่ยวกันแบบไร้สำนึก ทิ้งขยะ ของเสียลงทะเล ขโมยเก็บทรัพยากรนำกลับมา ไปเหยียบยืนบนปะการัง ไม่ว่าปะการังฟอกขาวหรือปะการังดีมันก็ถูกทำลายไม่ต่างกัน

และภาครัฐ นับแต่นี้ไปคงต้องเอาจริงเอาจังต่อการปฏิบัติหน้าที่กันเสียที ผู้ประกอบการคนใดไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของอุทยานฯ หากถูกจับได้ ต้องจัดการให้เด็ดขาด อย่าให้เอาเยี่ยงอย่าง เจ้าหน้าที่คนไหนทุจริตคอร์รัปชั่นต้องไล่ออกอย่าให้เป็นเยี่ยงอย่าง นายทุนคนไหนรุกล้ำที่ทั้งทางบกทางทะเลต้องอย่าปล่อยไว้ แม้หลายคนจะใหญ่มากเป็น“ตอยักษ์”ไม่สามารถจัดการได้ก็ต้องหาลู่ทางทำให้สื่อ ให้สังคมรับรู้ เพื่อสกัดยับยั้งไม่ให้เชื้อชั่วขยายผล

ส่วนทางด้านผู้ประกอบการท่องเที่ยวก็ต้องไม่ทำมาหากินแบบละโมบ แต่เน้นที่ความยั่งยืนแทน และต้องให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อบังคับต่างๆ รวมถึงช่วยดูและตักเตือนนักท่องเที่ยวที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์หลงทำผิดไปบ้าง

นอกจากนี้อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือเรื่องของการบริหารจัดการการท่องเที่ยว การการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวพักค้างบนอุทยานฯ จำกัดจำนวนคนดำน้ำในพื้นที่สุ่มเสี่ยงหลายจุด เป็นต้น

สำหรับเรื่องเหล่านี้แม้อาจดูฝันเฟื่อง เป็นอุดมคติ แต่อย่างน้อยการที่พวกเราโดยเฉพาะผู้เกี่ยวข้องได้ทำอะไรบ้างในทางที่ช่วยให้ดีขึ้น

มันย่อมดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย




จาก ..................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 28 มกราคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #80  
เก่า 28-01-2011
KENG@SK's Avatar
KENG@SK KENG@SK is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2010
ข้อความ: 234
Default

เห็นด้วยครับเรื่องเพิ่มโทษคนละเมิดกฏปิดอุทยานให้หนักขึ้นไม่งั้นเดี๋ยวก็จะทำซ้ำอีกให้ดีเพิ่มโทษแบนเรือห้ามเข้าอุทยานไปเลยก็ดี(ได้มั้ยเนี่ย)

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สายชล อ่านข้อความ


ขอบคุณล่วงหน้าค่ะน้องเก่ง....

ครับแต่คงได้มาแต่ปะการังน้ำตื้นนะครับเพราะผมยังไม่ได้ว่างเรียนสกูบาซะทีรอบนี้เลยจะดำแบบฟรีสกินไปก่อน
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:51


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger