#1
|
||||
|
||||
เจาะใจ"วริสร"แห่ง"ชุมพร คาบาน่า"
เจาะใจ"วริสร"แห่ง"ชุมพร คาบาน่า" เรียนรู้ชีวิตสไตล์โบ-เดิล อยากเปลี่ยนประเทศไทยด้วยวิชา"พอเพียง" น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ราว 20 ปีก่อน สมัยที่การดำน้ำยังไม่บูมอย่างทุกวันนี้ บังกะโลเล็กๆ บนหาดทุ่งวัวแล่น อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เคยเป็นจุดนัดพบสำคัญของบรรดานักดำน้ำรุ่นแรกๆของเมืองไทยมาก่อน ก่อนจะมุ่งหน้าไปท่องทะเลทางฝั่งตะวันออกของอ่าวไทย ที่มองไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา เมื่อพูดถึง อ.ปะทิว แล้ว สิ่งที่จดจำได้นั่นก็คือ "แตงโมบางเบิด" ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความหวาน อร่อย และลูกใหญ่ ใกล้กันนั้นจะได้พบกับ "มหัศจรรย์สันทรายงาม" (Sand dune) หนึ่งเดียวของประเทศไทย ที่ยาวกว่า 10 กิโลเมตร สูงสุดจากระดับน้ำทะเลราว 30 เมตร เนื้อทรายเนียนละเอียด เหยียบแล้วนุ่มสบายเท้า ชวนหลงไหลมนต์เสน่ห์แห่งสันทราย ... ขณะที่ "หาดทุ่งวัวแล่น" นั้น ใครที่เคยมาเยือนคงสัมผัสได้ถึงความเงียบ หาดทรายสีนวลสะอาดตา ไม่มีอาคารสูงประชิดติดหาดบดบังทัศนียภาพ จนถึงวันนี้ บนชายหาดที่เงียบสงบที่ดูไม่ต่างไปจากวันวาน ก็ยังคงมี "ชุมพร คาบาน่า รีสอร์ท" ที่เติบโตจากบังกะโลเล็กๆ ซึ่งรู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวแนวอนุรักษ์ธรรมชาติ จุดเด่นก็คือว่า รีสอร์ทที่เติบใหญ่ไล่ตามนักท่องเที่ยว ไม่ได้ทำให้สภาพธรรมชาติของหาดทุ่งวัวแล่นแปรเปลี่ยนไป เนื่องจากที่พักสูงสามชั้นถูกซ่อนตัวอยู่ในธรรมชาติอันร่มรื่น ลึกออกไปจากชายทะเล รายล้อมด้วยบ่อน้ำน้อยใหญ่ ฝูงสัตว์ปีก และพืชน้ำนานาชนิด ประดับด้วยดอกไม้สีสันสวยงาม ดูแล้วสบายตา ใกล้กันนั้น ยังมีพืชพันธุ์ไม้สมุนไพร ให้ประโยชน์นานัปการ อาหารอุดมสมบูรณ์ แขกไปใครมาก็จะได้ลิ้มรสผักและผลไม้ปลอดสารพิษ นอกจากนี้ยังมีฟาร์มไก่ ฟาร์มหมู โรงเรือนผลิตน้ำยาทำความสะอาด แชมพู สบู่เหลว ฯลฯ โรงผลิตอาหารปลา โรงผลิตน้ำมันไบโอดีเซล โรงอัดก๊าซ ไปจนถึงเตาเผาถ่าน
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งของรีสอร์ทเป็นโรงผลิตปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยจุลินทรีย์ เหมาะสำหรับเป็นแหล่งเรียนรู้ ตามแนวคิดวิถี "เศรษฐกิจพอเพียง" โดยก่อนหน้านี้ ชุมพร คาบาน่า ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของไทยเมื่อปี 2540 เช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่นๆจำนวนมาก ทำให้เจ้าของธุรกิจเป็นหนี้มหาศาลถึง 300 ล้านบาท ท่ามกลางภาระอันหนักอึ้งของ คุณวริสร รักษ์พันธุ์ หรือ "จ๋อง" หนุ่มวัย 20 กว่าปีในขณะนั้น ซึ่งถือว่าหนุ่มไฟแรง บัณฑิตจบใหม่สาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยว จากมหาวิทยาลัยรังสิต 10 ปี ผ่านไป คุณวริสร สามารถใช้หนี้ได้เกือบครึ่ง จากการนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ ประกอบกับการน้อมนำพระราชดำรัสแบบ "พึ่งตนเอง" มาเป็นแนวทาง และยึดวิธีคิดที่ว่า "เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง" เสมอมา ทุกวันนี้ ชุมพร คาบาน่า นอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจอันดับต้นๆแล้ว ยังกลายเป็นแหล่งศึกษาดูงานของผู้คนทั่วประเทศ ที่สนใจแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงด้วย จากความสำเร็จตรงนี้ ใครๆก็อยากเจอคุณวริสร ที่ตามตัวยากมากถึงมากที่สุด และเมื่อมีโอกาส "มติชนออนไลน์" จึงขอเข้าไปพูดคุยกับคุณวริสรทันที โดยเจ้าตัวตั้งตัวแทบไม่ติด เนื่องจากมีเวลาในการพูดคุยกันแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น ผลที่ตามมาหลังนำเอาแนวคิดแบบ "พึ่งตนเอง" มาประยุกต์ใช้ คุณวริสรเล่าว่า ที่ทำรีสอร์ททุกวันนี้ ไม่ได้หวังการตอบรับมากหรือน้อย คือเราทำอยู่แล้ว จึงเสมือนทำไปด้วย ศึกษาไปด้วย ประมาณว่าอยากเรียน จึงลงวิชาเรียน ซึ่งถือว่าเป็นการลงเรียนใหม่ ทั้งนี้ มองว่าตนยังเรียนอยู่ตลอด ต้องถามอาจารย์อยู่ตลอด คิดจิตนาการอย่างต่อเนื่อง ตอนที่เศรษฐกิจไม่ดี เจ้าหนี้ก็จะเอาอย่างเดียว แต่เราคิดในทางตรงกันข้าม เหมือนกลับความคิดใหม่ว่าเป็นผู้ให้ คิดว่าเราไม่ทำจุดขาย เปลี่ยนไปเป็นจุดให้ดีกว่า คิดว่าจะให้อะไรคนอื่นได้บ้าง หรือทำอะไรให้คนอื่นได้บ้าง ... ดูเหมือนประชดหรือเปล่า (หัวเราะ) แต่ก็เป็นไปในทางที่อยากจะทำ เพราะเราคิดอยากจะทำ พอได้ทำแล้ว ก็อยากทำต่อไป โดยเริ่มจากโจทย์ที่ว่า เราใช้สถานที่นี้ เป็นที่ฝึกของพนักงาน เขาอยู่กับท้องถิ่นมาก่อน เราก็สัญญาว่าจะไม่ทิ้งกัน (ดูเหมือนหนังน้ำเน่านะผมว่า) พอเราไม่มีใครจริงๆ ก็มีแต่พระราชดำรัสอย่างเดียว เหมือนเป็นน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจ เครื่องชโลมจิตใจ เพราะการที่เราพอเพียง ก็น่าจะมาจากความไม่พอเพียง มากไป น้อยไปจริงๆ อย่างการลงทุนก็ไม่ควรเยอะขนาดนี้ ไปทำซะเยอะก็เป็นภาระหนักหน่วง สิ่งที่น้อยไปก็คือความรู้ ความชำนาญ สามารถของคนในท้องถิ่น พอมาจับงานโรงแรม ซึ่งเป็นงานสากล เราก็ต้องบริหารความไม่สัมพันธ์ ความไม่ลงตัว เราก็เลยคิดว่า ความพอเพียงเป็นเป้าหมายสำคัญ ถ้าทำได้ก็สบาย ลงตัวพอดี นั่นก็หมายความว่าสิ่งที่เราเผชิญก็เสมือนเป็นแรงกระตุ้น แล้วใช้กระแสพระราชดำรัส มาผนวกกับวิถีชีวิตในชุมชนของคนในท้องถิ่น ในการจัดการ ตนได้นำหลักพุทธศาสนา ปรัญชาความพอเพียง และความเป็นท้องถิ่นผสมกัน เราไม่ได้วางว่า ที่นี่รับแขก ได้เงิน ได้กำไร แต่เราจะพัฒนาพนักงานให้อยู่ร่วมกันได้ แล้วใช้โจทย์ที่ว่าอยากให้ประเทศเป็นอย่างไร อยากปกครองอย่างไร ให้เป็นประชาธิปไตย เข้าใจวิถีไทย ไม่ใช่พวกมากลากไป ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วมันผิด แล้วเรายับยั้งได้อย่างไรล่ะ ทุกวันนี้ ตนจึงเป็นฝ่ายควบคุม เสมือนตุลาการ หรือเป็นเจ้าคณะจังหวัดในการดูแลองค์กร เหมือนการประชุมสภาฯในประเทศอิหร่าน ที่มีผู้แทนศาสนาคอยคุมอยู่ เพราะพวกมากลากไป อาจขัดกับศีลธรรมอันดีได้ แต่ประเทศเราเองไม่ได้ใช้คุณธรรมกำกับ เรารอให้ชาวบ้านมีประชาธิปไตยก่อน แล้วจึงวางการปกครองที่นี่
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ต้องมีการสร้างเวที พูดคุย แลกเปลี่ยนความเห็น และต้องมีใจรักในความพอเพียงด้วย มิเช่นนั้นก็มีแต่ความเห็น เกิดความวุ่นวาย เอาล่ะ เมื่อคิดตรงนี้ได้แล้ว เราก็ใช้หลักศาสนาพุทธกำกับ ตามด้วยหลักของพระเจ้าอยู่หัว และใช้หลักสมัยใหม่ทั่วไป เมื่อเรามาย้อนดู หลักศาสนาเราก็มีแล้ว หลักสมัยใหม่ก็ตามๆไปกับกระแส แต่ยังขาดหลักแห่งความพอเพียง เราต้องใช้ 3 หลักดังกล่าวควบคู่กันไป เราใช้ที่นี่เป็นเตาหลอม เมื่อได้ความรู้ ได้วิชาติดตัวไป ก็ออกไปประกอบอาชีพได้ เราเองก็ใช้การให้บริการลูกค้าเป็นเครื่องมือควบคู่ไปด้วยเช่นกัน เพราะการที่หลายๆคนเข้ามาใช้บริการ เราก็บอกว่าเป็นเสมือนบ้าน เป็นพี่เป็นน้อง ความรู้ที่ไม่ได้มีสอนในหลักสูตร MBA เรามาจากหนี้เยอะมาก เมื่อทำอย่างนี้ก็ต้องแก้ไขไปด้วย เราอยู่กับความไม่ลงตัว เราต้องบริหารจัดการอยู่ตลอดเวลา ต้องวางโครงสร้างใหม่ เริ่มธุรกิจจากทุนนิยมจ๋าก็ไม่ดี ต้องเดินทางสายกลาง ใช้ความรู้ไปพร้อมกับคุณธรรม และเริ่มต้นด้วยสัมมาทิฏฐิ ทำเป็นบันไดคุณธรรม โดยเริ่มจากการเป็นผู้ให้ จากธุรกิจเพื่อตัวเองก็เปลี่ยนเพื่อคนอื่นบ้าง อย่างเรื่องความรู้ ก็ต้องเป็นการรู้เขา รู้เรา รู้สถานการณ์ ซึ่งชาวบ้านไม่รู้อีกหลายเรื่องจากที่เราได้ศึกษามา "ถ้าจะทำได้ก็ต้องเกิดจากให้ก่อน แต่เราต้องเชื่อในเรื่องของการให้ก่อน ให้แล้วมีผล ไม่ใช่ให้แล้วได้อะไร(วะ) เมื่อเราไม่โกรธเจ้าหนี้ เราขอบคุณเขา ทำที่นี่ให้เป็นตัวอย่างของความสำเร็จ เริ่มต้นจากเรื่องกิน ใช้เกษตรอินทรีย์ ไม่ฆ่าดิน ฆ่าน้ำ ไม่ใช้สารเคมี ต่อมาก็คือเรื่องของการอยู่ ที่เราต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ดูแลดิน น้ำ ป่า ต่อด้วยเรื่องของการใช้ การจัดการ การปกครอง บำรุงสิ่งที่เหนือกว่า คือไม่ทิ้งวัด เพราะวัดเป็นใช้เป็นที่สะสมความมั่งคั่ง แต่ตอนนี้การคิดถึงคนที่สูงกว่า ก็เป็นกิจกรรมในองค์กรไปเสียแล้ว ขณะเดียวกันความกตัญญูรู้คุณก็หายไปด้วย เพราะสิ่งที่กล่าวมาหลักสูตร MBA ไม่มีสอน" แต่ก่อนเรียนรู้แต่การโรงแรม แต่พอศึกษาเรื่องของความพอเพียงมากๆ เราก็มาดูว่าทุกอย่างต้องเริ่มจากหนึ่งเสมอ นั่นก็คือ ความศรัทธา ตามด้วยวิริยะ คือขยัน และอีกหลายข้อ ปัญญาอยู่สุดท้าย แต่ก่อนจะเกิดปัญหา ก็มีกระบวนการที่นำไปสู่การเกิดปัญญา (เอ่อ...ที่เราทำนี่แหละใช่แล้ว) แต่ต้องมีอาจารย์ดีนะ นั่นก็คือกัลยาณมิตร เรามีเพื่อน ครอบครัว มีตัวอย่างเยอะมาก มีมืออาชีพก็เข้ามาช่วยเราได้ เพราะฉะนั้นเราก็รอด ที่รอดมาได้ ไม่ใช่ด้วยตัวของเราเพียงอย่างเดียว รัฐบาลขานรับแนวคิดธุรกิจแบบ "ชุมพร คาบาน่า" มากน้อยแค่ไหน ถ้าพูดถึงในแง่ของเศรษฐศาสตร์ จะมีคำว่าธุรกิจตาโต กับเศรษฐกิจหลังเขา แต่คำว่าเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ได้สุดโต่งไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ตนมองว่า เศรษฐกิจแบบประชานิยม เป็นเศรษฐกิจตาโต ซึ่งดีระยะสั้น ไม่ยั่งยืน แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย ไม่ตัดสินใจ ไม่ฟันดาบ อนุรักษ์นิยมเกินไป ก็เป็นเศรษฐกิจแบบหลังเขา ซึ่งก็ใช้ไม่ได้อีกเช่นกัน ฉะนั้นคำว่าพอเพียงคือ เราต้องยืนด้วยขาของตัวเองให้ได้ก่อน ต้องมั่นคง ใช่ว่าพึ่งปัจจัยภายนอกอยู่ตลอด ขั้นก้าวหน้าก็อย่าลืมเรื่องทะนุบำรุงสิ่งที่เหนือกว่า และดูแลคนที่ด้วยกว่า สังคมแบบนี้ก็จะเป็นสังคมที่สงบสุข มากกว่าสุดโต่งด้านใดด้านหนึ่ง หลังเขาก็ปิดประเทศ ไม่คบกับใครเลย ก็แย่นะ เราเป็นประเทศที่เชื่อต่อได้ มีทะเล มีภูมิประเทศ ในทางกลับกันถ้าเราตาโตไปเลย หรือหัวก้าวหน้าอย่างเดียว ก็น่ากลัว ฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าบางนโยบายน่ากลัว เพราะล่อแหลม เมื่อถามย้ำ เพราะฉะนั้นคุณจ๋องกำลังจะบอกว่านโยบายของรัฐบาลใหม่ออกแนวตาโต? (หัวเราะ) ก่อนจะบอกว่า เศรษฐกิจตาโตตรงกับกิเลสคน เร็ว ง่าย ถูกใจคนส่วนใหญ่ หลังเขาก็มีแค่ส่วนน้อย ส่วนเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเองคนก็ไม่เอา ก็จะเหนื่อยหน่อยในช่วงแรก เมื่อเป็นประชานิยมมากเกินไป ก็ควรจะดึงไว้บ้าง เชื่อได้เลยว่าสิ่งที่ดีที่สุด คนไม่ได้รักทั้งประเทศ แต่ก็มีคนที่มายึดหลักสายกลางอยู่บ้าง ไม่ถึงครึ่งก็ได้ แต่ขอแค่ 1 ใน 4 (ก็พอล่ะวะ) อย่างน้อยคนไทยส่วนหนึ่งยังให้ความสำคัญกับคำว่า "ความพอเพียง"
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ไม่เห็นด้วยกับการถมทะเล หรือสร้างเมืองใหม่ ...
ถ้ามองในทางยั่งยืนแล้ว มันมีทางเลือก มีทางที่ประชาชนช่วยกัน ซึ่งต้องนั่งให้ความรู้ เพราะถ้าเป็นเศรษฐกิจตาโตก็ไม่ไหว คนที่ได้ประโยชน์อาจจะเป็นคนกลุ่มน้อย แต่คนที่รับผลและต้องอยู่กับมันเต็มไปหมด เป็นล้านคน อยู่กับน้ำขัง ขณะเดียวกัน ยังมีวิธีอื่น เมื่อศึกษาแล้ว ที่ปากแม่น้ำ ที่ลุ่มตะกอนปากแม่น้ำ ตามโครงสร้าง ก็ต้องปล่อยให้มันเป็นที่ลุ่มปากแม่น้ำ เป็นแหล่งอาหาร เป็นที่เพาะปลูก แต่เราเอาที่เพาะปลูกไปทำบ้าน ไปทำเป็นเขื่อนกั้น ซึ่งไม่จบนะ ดินก็แย่ อากาศก็แย่ น้ำแห่ลงมาท่วมขัง อีกหน่อยต้องสูบน้ำออกหรือเปล่า? ไม่แน่ใจ "หากกลัดกระดุมเม็ดแรกแล้ว คิดว่าเราไม่ควรอยู่ตรงนี้ ก็ผิดตั้งแต่คิด อาการก็เหมือนคนเป็นมะเร็งแล้วทำคีโมแม้ไม่ตาย แต่อีกหน่อยก็ตาย เป็นมะเร็งแล้วกลับไปใช้ชีวิตแบบธรรมชาติจะไม่ดีกว่าเหรอ ซึ่งน้อยคนที่จะทำได้ รับสิ่งใหม่ๆ คอยควบคุมตัวเอง กินอาหารดีๆ ปฏิบัติธรรม สุดท้ายก็ทำไม่กี่คน สุดท้ายก็ต้องทำคีโมอยู่ดี" "ชุมพร คาบาน่า" ควรปลี่ยนหรือปรับปรุงอะไรอีก หรือพอแล้ว ยังนะ ... ทุกวันนี้มีพอแต่เพียง พอในที่นี้คือ เราพยายามคุมเรื่องของกิเลส เรื่องโลภ โกรธ หลง แต่เพียรในที่นี้ก็คือขยันอยู่ตลอด แต่ว่าสิ่งที่เราทำ ไม่ได้เอาอย่างเดียว เราถือว่าทำเพื่อให้ เราอยากให้เป็นประโยชน์มากขึ้น เป็นเงินที่ได้มาต้องไปทำนุบำรุง เผยแพร่ ปลุกระคมคน 1 ใน 4 ที่ว่าให้อยู่ในครรลองครองธรรม เราทำตัวเองให้ดีขึ้น เช่น เรื่องกิน เราก็ไม่ควรเบียดเบียนธรรมชาติ คิดว่ายิ่งทำก็ยิ่งส่งเสริมคนที่นำไปใช้ คนที่เข้ามาดูก็มีกำลังใจ แล้วนำกลับไปทำต่อ เหมือน Reading By Example คือเห็นแล้ว "เฮ้ยเอาไปทำที่บ้านดีกว่าเว้ย" ซึ่งเราก็อยากให้เป็นแบบนี้ เพื่อจะได้กระจายออกไป "เหมือนทำดินแดนในฝันให้เป็นจริง real mantic ไม่ใช่โรแมนติคอย่างเดียว มีคนพูดว่าทำความฝันให้เป็นจริง แต่อะไรที่บอกว่าไม่มีจริง ที่นี่ทำได้" มีคนบอกว่าทำไม่ได้หรอก ธุรกิจไม่ตอบสนอง พืชไม่กินปุ๋ยอินทรีย์ แต่ที่นี่กิน เพราะเราคัดพันธุ์ เลือกเมล็ดพันธุ์ที่กินอินทรีย์ เหมือนการเลี้ยงหมา เลี้ยงให้ได้พันธุ์ที่ตอบสนอง ถ้าบอกว่าผลผลิตลด ก็ใช่ซิ ... มันเคยกินแต่ปุ๋ยเคมี ไม่เคยกินปุ๋ยอินทรีย์ ฉะนั้น ถ้าจะให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลง ควรมาจากเมล็ดพันธุ์ที่ถูกให้ทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ หรือทนกับปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งตรงนี้สำคัญ เป้าหมายที่น่ากลัวที่สุดก็คือว่า เราเชื่อว่าประเทศนี้คนต้องการมากขึ้น ก็จะเกิดการล่าอาณานิคมแบบใหม่ ซึ่งอนาคตคนไทยไม่เหมือนเดิม ยิ่งเปิดช่องว่างเมื่อไหร่ ต่างชาติยิ่งชอบและเข้ามาแน่ๆ ที่ผ่านมาเริ่มแทรกทางกฎหมาย เพราะประเทศไทยน่าอยู่ ทำอะไรได้หมด ไม่ร้อนเกิน ไม่หนาวเกิน เมืองไทยมีป่าอเมซอน มีสภาพฟื้นฟูง่าย เราเลือกใช้สมัยใหม่ แต่ก็ไม่ทิ้งสิ่งเก่าๆ คุณวริสร บอกว่า เราต้องใช้คำว่า "โบ-เดิล" ที่มาจากคำว่า โบราณ+โมเดิล กลายเป็น โบ-เดิล ใช้ทฤษฎีนี้มาตลอด ได้หน้าแต่ก็ไม่ลืมหลัง "ผมว่าส่วนหนึ่งคนไทยมีอารมณ์ขัน เพราะกินข้าว ยิ่งเป็นข้าวอินทรีย์ ก็ยิ่งอารมณ์ดี แม้กระทั่งฝนหลวง พระเจ้าอยู่หัว ก็ใช้คำว่า "ก่อกวนเลี้ยงให้อ้วนแล้วโจมตี" (ก็มาคิดถึงการจีบสาว) ค่อยๆเป็นค่อยๆไป เป็นขั้นเป็นตอน ถึงอยู่รอดได้มาจนถึงทุกวันนี้ ... ถ้าทุกคนในประเทศไทยพอเพียง ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี .... และนี่คือความตั้งใจของชายที่ชื่อว่า "วริสร" จาก ..................... มติชน วันที่ 26 สิงหาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
กินอยู่ และ ทำธุรกิจ อย่าง "พอเพียง" ก็ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ และ ธุรกิจ ดีขึ้นได้มากมาย... สุดยอดเลยจ้ะน้องวริสร....
__________________
Saaychol |
#6
|
||||
|
||||
อ่านแล้วเห็นแนวคิดที่น่าสนใจเยอะเลยครับ ..
มีโอกาสก็อยากไปเ็ห็นด้วยตาไปสัมผัสด้วยตัวเองบ้าง ชุมพรคาบาน่า ..
__________________
If we see the hearts of others, peace will follow You may say I'm a dreamer .. but I'm not the only one: John Lennon |
|
|