#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2566
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ และอ่าวไทย เริ่มมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ มีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางแห่งบริเวณภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และประเทศลาวตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากใน ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ในช่วงวันที่ 9 ? 10 ก.ย. 66 คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 11 ? 15 ก.ย. 66 คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังแรงขึ้น โดยทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ตลอดช่วง ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
เปิดสาเหตุปลาตายเกลื่อนหาดบางพระ โลกร้อนตัวเร่งเกิดแพลงก์ตอนบลูมบ่อยขึ้น เกิดอะไรขึ้นเมื่อปลาหลากหลายชนิดตายเกลื่อนเต็มหาดบางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี จนสร้างความตกใจให้กับชาวบ้านในพื้นที่ หลังเพิ่งเกิดเหตุน้ำมันจากโรงกลั่นรั่วไหลลงทะเล และได้มีการกำจัดคราบน้ำมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จนมีการปิดศูนย์ขจัดคราบน้ำมันเมื่อเย็นวันที่ 7 ก.ย. ที่ผ่านมา หรือคราบน้ำมันกำจัดไม่หมด อีกทั้งช่วงนี้เกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี หรือแพลงก์ตอนบลูม เป็นอีกสาเหตุทำให้ปลาตายมหาศาล แล้วปลาเหล่านี้เอาไปกินได้หรือไม่? ปลาตายมหาศาล หวั่นมีสารโลหะหนัก คนเก็บไปกิน สิ่งที่เกิดขึ้นมีคำตอบจาก "ดร.สนธิ คชวัฒน์" ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ออกมาบอกชัดๆ เลยว่า ปลาที่ตายจำนวนมากเกลื่อนหาดบางพระ เกิดจากแพลงก์ตอนบลูม และคราบน้ำมันที่หลงเหลือลอยมา แม้ศูนย์ขจัดคราบน้ำมันยืนยันกำจัดคราบน้ำมันหมดแล้ว และได้ปิดศูนย์ไป แต่ก็ยังหลงเหลือคราบน้ำมันอยู่ จากการใช้สารดิสเพอร์เซนต์ (dispersant) ฉีดพ่นใกล้ฝั่งน้ำลึกไม่ถึง 100 เมตร ซึ่งยังลึกไม่เพียงพอ ทำให้แบคทีเรียย่อยสลายน้ำมันไม่หมด จนคราบน้ำมันกองอยู่ใต้ทะเล เป็นน้ำมันจากอาหรับ มีสารตะกั่วสูง ไปปกคลุมหญ้าทะเล ปะการัง หรือสัตว์ทะเลได้ "ประมาณ 7 วัน น้ำมันเหลวที่จมลงใต้ทะเลอาจจะพัดเข้าฝั่งกลายเป็นก้อนน้ำมันดิน หรือ Tar ball ขนาดเล็กจำนวนมากสร้างความสกปรกให้ชายหาดแหล่งท่องเที่ยว และขณะนี้คราบน้ำมันได้พัดเข้าฟาร์มเลี้ยงหอยแมลงภู่ ใกล้เกาะลอย อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เป็นเพราะหลังกำจัดคราบน้ำมัน มีการตรวจช่วงบ่าย คิดว่ากำจัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่พอน้ำลง ก็พัดคราบน้ำมันมา จนปลาตายมหาศาลเป็นประวัติศาสตร์พื้นที่ภาคตะวันออก เพราะนอกจากแพลงก์ตอนบลูม ไปแย่งออกซิเจนแล้ว คราบน้ำมันก็ปกคลุมผิวน้ำ ทำให้ออกซิเจนลงไปไม่ถึง ทำให้ปลาใต้ทะเล และปลาผิวน้ำ ตายหมด" สรุปสาเหตุการตายของปลามหาศาลบริเวณชายหาดบางพระ เกิดจากคราบน้ำมัน แพลงก์ตอนบลูม และน้ำยากำจัดคราบน้ำมัน ซึ่งคราบน้ำมันบางส่วนจะไหลไปหาดบางแสน แต่อาจน้อย ต้องระวังก้อนน้ำมันดินพัดขึ้นฝั่ง และระวังปลาและหอยในฟาร์มจะตายเพิ่มขึ้น เกิดผลกระทบต่อการค้าขายอาหารทะเล และเกรงว่าปลาที่ตายมหาศาลจะมีคนเก็บไปขาย เพราะปลาบางส่วนกินละอองน้ำมันผสมกับสารเคมีขจัดคราบน้ำมันใต้ทะเล ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาดูแล โดยเฉพาะสาธารณสุขจังหวัด ต้องนำปลาไปตรวจ และออกข่าวไม่ให้คนเก็บปลาที่ตายเอาไปกิน แม้แต่เอาไปทำปลาร้า ก็ไม่ได้ เพราะมีสารโลหะหนัก จะสะสมในระยะยาวมีผลต่อระบบทางเดินอาหาร และเป็นสารก่อมะเร็ง ส่วนอาหารทะเล ต้องปรุงให้สุก อย่ากินดิบ โลกร้อน ตัวเร่งทำให้เกิดแพลงก์ตอนบลูม บ่อยขึ้น ขณะที่ปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูมในทะเลอ่าวไทยเกิดในช่วงต้นฤดูฝนตั้งเดือนพ.ค.ถึงมิ.ย.และปลายฤดูฝนตั้งแต่เดือนก.ย.ถึงต.ค.ไล่มาตั้งแต่ทะเลจังหวัดชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี และทะเลก้นอ่าวในจ.ชลบุรี ตั้งแต่บางแสน บางพระ ศรีราชา อ่าวอุดม แหลมฉบัง บางละะมุง และบางเสร่ นอกจากนี้ภาวะโลกร้อนขึ้น ทำให้สารอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม ลอยขึ้นที่ผิวน้ำทะเล และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเพิ่มขึ้น จะถูกน้ำทะเลดูดซับไว้ถึง 40% มีส่วนทำให้ทะเลอ่าวไทยในช่วงฤดูฝนเกิดแพลงก์ตอนบลูม ทำให้น้ำทะเลเป็นสีเขียวบ่อยขึ้น จากระบบนิเวศในอ่าวไทยเปลี่ยนแปลง เมื่อแพลงก์ตอนบลูมสังเคราะห์แสงมากขึ้น และได้รับสารอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมในปริมาณมาก จึงเจริญเติบโตแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทำให้พื้นที่ใต้ทะเลขาดก๊าซออกซิเจน จากนั้นไม่นานจะเริ่มตายลง มีกลิ่นเหม็นคาว ออกซิเจนในทะเลลดลง ทำให้สัตว์ทะเลตายเป็นจำนวนมาก และเมื่อเกิดน้ำมันรั่วไหลลงทะเล ยิ่งทำให้ปลาตายหนักกว่าเดิมหลายเท่า. https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2723803
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
อึ้ง! เจอ "ไข่ทองคำปริศนา" ก้นมหาสมุทร ดูลึกลับ นักวิทย์ยังแอบผวา อึ้ง! เจอ "ไข่ทองคำปริศนา" อยู่ก้นมหาสมุทรใกล้ภูเขาไฟใต้น้ำ สุดลึกลับ แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังแอบผวา เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) ได้ส่งหุ่นยนต์ควบคุมจากระยะไกล ออกสำรวจใกล้ภูเขาไฟใต้น้ำ นอกชายฝั่งทางตอนใต้ของอ่าวอลาสกา สหรัฐฯ ในระดับความลึก 3,300 เมตร หุ่นยนต์ได้ค้นพบวัตถุประหลาดอยู่บริเวณก้นมหาสมุทร ซึ่งกระบวนการครั้งนี้ถูกการถ่ายทอดสดผ่านทางออนไลน์ ดังนั้นการค้นพบจึงสร้างความฮือฮาให้กับผู้คนได้ไม่น้อย โดยวัตถุชิ้นปริศนาชิ้นนี้มีลักษณะคล้าย "เปลือกไข่" มีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 10 เซนติเมตร วัตถุติดอยู่กับหิน ด้านนอกมีฟิล์มใส ส่วนด้านในมีวัตถุสีทองที่ไม่รู้จักและมีรูอยู่ข้างใต้ หลังจากเก็บตัวอย่างขึ้นมาตรวจสอบพบว่า "ไข่ปริศนา" ให้ความรู้สึกคล้ายกับเนื้อเยื่อผิวหนัง และค่อนข้างเปราะบาง นักวิจัยคาดการณ์ว่าไข่ปริศนานี้อาจเป็นเศษฟองน้ำที่ตายแล้ว หรือเปลือกไข่โบราณ แต่พวกเขาก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าจะมีสัตว์ชนิดใดที่สามารถวางเปลือกไข่เช่นนี้ได้ "ตอนที่กล้องซูมเข้า นักวิทยาศาสตร์ก็งงงวยในการระบุตัวตนของมัน แนวคิดแรก ๆ มีตั้งแต่เศษฟองน้ำที่ตายแล้ว หรือเปลือกไข่ เรายังไม่สามารถระบุได้ เราแค่รู้ว่ามันมีต้นกำเนิดทางชีวภาพ" นักวิทยาศาสตร์กล่าว ขอบคุณที่มา oceanexplorer https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_7857949
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|