#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ทำให้บริเวณประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนที่อาศัยบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยของภาคเหนือและภาคตะวันออก ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 20 - 21 กันยายน 2563 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และประเทศไทยมีกำลังแรง ส่งผลทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนตกต่อเนื่องกับมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร และอ่าวไทยตอนบนคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 22 - 26 กันยายน 2563 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้ภาคใต้มีฝนลดลง และคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 20 ? 21 และ 23 - 26 ก.ย. ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากไว้ด้วย สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และ เรือเล็กในบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่ง ในช่วงวันที่ 20-21 ก.ย.
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
นักโบราณคดียัน พบซากเรือขนทาสชาวมายาลำแรก เผยอดีตดำมืดของเม็กซิโก นักโบราณคดีเม็กซิโกยืนยัน ซากเรือที่พบเมื่อ 3 ปีก่อน เป็นเรือขนทาสชาวมายาลำแรกที่เคยพบบนโลก ซึ่งมีข้อมูลมากมายเผยให้เห็นอดีตอันดำมืดของประเทศ สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า สถาบันมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์แห่งชาติ (INAH) ของเม็กซิโก ประกาศเมื่อวันอังคารที่ 15 ก.ย. 2563 ว่า ซากเรือที่พบนอกชายฝั่งของคาบสมุทรยูกาตัน เป็นเรือที่ครั้งหนึ่งถูกใช้เพื่อขนชาวมายาซึ่งถูกจับตัวและถูกขายเป็นทาส ทำให้นี่เป็นเรือค้าทาสชาวมายาลำแรกที่เคยถูกค้นพบบนโลกนี้ เรือดังกล่าวเป็นเรือกลไฟ ชื่อว่า 'ลา อูนิยง' ถูกพบห่างจากชายฝั่งเมืองซีซัล ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเม็กซิโก ประมาณ 2 ไมล์ทะเล เมื่อปี 2560 แต่นักวิชาการใช้เวลาถึง 3 ปีเพื่อยืนยันว่า เรือลำนี้เป็นเรือขนทาสชาวมายันจริง INAH ระบุว่า จากหลักฐานที่ค้นพบ ลา อูนิยง จับและขนส่งชาวมายาราว 25-30 ไปยังคิวบาทุกเดือนอย่างผิดกฎหมาย โดยชาวมายาเหล่านี้ถูกบังคับให้ทำงานในไร่อ้อยระหว่างปี 2398-2404 ซึ่งอยู่ในช่วงสงครามวรรณะแห่งยูกาตัน "ทาสแต่ละคนถูกขายแก่คนกลางในราคา 25 เปโซ และถูกขายต่อในกรุงฮาวานา มากสุด 160 เปโซสำหรับผู้ชาย และ 120 เปโซสำหรับผู้หญิง" นาง เฮเลนา บาร์บา เมนเนคกี นักโบราณคดีของ INAH ระบุในแถลงการณ์ซึ่งเผยด้วยว่า เรือลำนี้ถูกจมในวันที่ 19 ก.ย. 2404 ระหว่างเดินทางไปคิวบา เป็นข้อพิสูจน์ว่า การค้าทาสในเม็กซิโกยังดำเนินอยู่ แม้จะถูกยกเลิกและสั่งห้ามในปี 2372 "สำหรับนักวิจัย การค้นพบครั้งนี้มีความสำคัญมาก? INAH ระบุ ?นอกเหนือจากความยากในการระบุชื่อซากเรือลำนี้แล้ว มันยังบอกถึงอดีตอันเลวร้ายของเม็กซิโก ที่ควรจะถูกยอมรับว่ามีจริและมีการศึกษาในแง่ของบริบทและช่วงเวลาช" ทั้งนี้ นักโบราณคดีระบุชื่อเรือลำนี้ได้จากหม้อต้มเครื่องยนต์ ซึ่งระเบิดจนทำให้เกิดไฟไม้เรือ และจากไม้ข้างล้อใบจักรซึ่งยังรักษาสภาพเอาไว้ได้ พวกเขายังพบสิ่งของหลายอย่าง เช่น เศษแก้วจากขวด, เซรามิก และช้อนส้อมทองเหลือง ที่ใช้โดยผู้โดยสารชั้น 1 ของเรือ อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ลูกเรือ 80 คนกับผู้โดยสาร 60 คน เสียชีวิตราวครึ่งหนึ่ง โดยไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้เสียชีวิตรวมถึงทาสชาวมายา ซึ่งถูกขึ้นบัญชีเป็น สินค้า ไม่ใช่ ผู้โดยสาร ด้วยหรือไม่ https://www.thairath.co.th/news/foreign/1933861 ********************************************************************************************************************************************************* จีนกู้ซากเกราะเหล็ก เรือประจัญบานสมัยราชวงศ์ชิง จมก้นทะเลกว่า 100 ปี จีนกู้ซากเกราะเหล็ก เรือประจัญบาน ติ้งหย่วน สมัยราชวงศ์ชิง จากใต้ทะเล หลังถูกยิงด้วยตอร์ปิโดโดยกองเรือรบญี่ปุ่นที่บุกเข้ามาตั้งแต่ กว่า 100 ปีก่อน สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 19 ก.ย. 63 นักโบราณคดีในจีน เปิดเผยว่า แผ่นเหล็กจำนวน 18 ตัน ได้รับการยืนยันว่าเป็นส่วนหนึ่งของซาก เรือติ้งหย่วน เรือประจัญบานชื่อดังแห่งราชวงศ์ชิง (ปี ค.ศ.1644-1911) ได้ถูกยกขึ้นจากน้ำใน เขตมณฑลซานตงทางตะวันออกของจีนแล้ว โดยซากเรือดังกล่าวเป็นแผ่นเหล็กขนาดยาว 2.86 เมตร กว้าง 2.6 เมตร หนา 0.33 เมตร ถูกยกขึ้นมาจากน้ำทะเลบริเวณใกล้เกาะหลิวกงในเมืองเวยไห่ ซึ่งเป็นฐานทัพเดิมของกองเรือเป่ยหยาง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 ก.ย. ซึ่งเป็นวันครบรอบ 126 ปี ของสงครามจีน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 หรือที่รู้จักกันในจีนว่าสงครามเจี๋ยอู่ โจวชุนสุ่ย หัวหน้าคณะสำรวจทางโบราณคดีใต้น้ำของเรือรบติ้งหย่วน กล่าวว่า แผ่นเหล็กชิ้นนี้แสดงหลักฐานที่ชัดเจนว่าซากเรืออับปางเป็นส่วนหนึ่งของเรือติ้งหย่วน ซึ่งเป็นเรือธงของกองเรือเป่ยหยาง ตรงกับที่บันทึกไว้ในสัญญาการต่อเรือติ้งหย่วน ทั้งในแง่ของวัสดุและรายละเอียดอื่นๆ ศูนย์มรดกวัฒนธรรมใต้น้ำแห่งสำนักบริหารมรดกวัฒนธรรมแห่งชาติจีน ซึ่งเป็นผู้นำในการสำรวจครั้งนี้ เผยว่าแผ่นเหล็กชิ้นนี้เป็นแผ่นเกราะที่เคยใช้ปกป้องเรือประจัญบานของกองเรือเป่ยหยางเพียงชิ้นเดียวที่เก็บกู้ขึ้นมาได้จากน้ำจนถึงตอนนี้ ซึ่งแผ่นเหล็กได้ถูกนำไปไว้ที่ฐานทัพเก่าของกองเรือเป่ยหยางบนเกาะหลิวกง และกำลังอยู่ในกระบวนการขจัดเอาเกลือออกเพื่อการเก็บรักษา ทั้งนี้ เรือติ้งหย่วน ถูกสร้างขึ้นในประเทศเยอรมนี โดยคณะข้าหลวงของราชวงศ์ชิง มีความจุเครื่องยนต์ 7,670 ตัน โดยเรือลำนี้ได้รับความเสียหาย หลังจากถูกยิงด้วยตอร์ปิโดจากกองเรือญี่ปุ่นที่บุกเข้ามาในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2438 ก่อนกัปตันเรือจะสั่งให้จมเรือเพื่อไม่ให้ตกไปอยู่ในมือศัตรู. https://www.thairath.co.th/news/foreign/1933736
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ขยะปนเปื้อนนำเข้า ทำคนไทยตายผ่อนส่ง เมื่อถุงพลาสติกถูกทิ้งเป็น "ขยะ" อยู่ตามสิ่งแวดล้อมมากมาย ทั้งขยะบนบกและขยะในทะเล ที่ไม่ใช่มีผลต่อระบบนิเวศเท่านั้น แต่กำลังกลายเป็น "ภัยร้ายใกล้ตัว" ย้อนกลับมาทำร้าย "ผู้บริโภค" ด้วยเช่นกัน เพราะขยะพลาสติกนี้ถูกทิ้งลง "ทะเล" มักสลายตัวกลายเป็น "ไมโครพลาสติก" มีอนุภาคขนาดเล็กเท่ากับแบคทีเรียบางชนิด ที่เกิดจากการแตกหัก "สารเคมีใช้ผลิตพลาสติก" แขวนลอยปนเปื้อนอยู่ในทะเล ทำให้สิ่งมีชีวิตในทะเลกินเป็นอาหาร โดยเฉพาะ "ปลาชนิดกินแพลงก์ตอน" ได้รับไมโครพลาสติกไปอยู่ในท้องปลาอย่างมาก สุดท้ายก็เป็น "ห่วงโซ่" อาหารของ "คน" ในการนำสัตว์ทะเลมารับประทาน เมื่อเป็นเช่นนี้ "ผู้บริโภค" ก็จะรับสารพิษและสารเคมีเข้าสู่ร่างกายแบบไม่รู้ตัว กลายเป็น "สิ่งแปลกปลอม" รบกวนการทำงานของระบบในร่างกาย รบกวนการทำงานการปล่อยฮอร์โมน อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา... สถานการณ์ขยะพลาสติกนี้ ดร.วิจารย์ สิมาฉายา อดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ในฐานะ ผอ.สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย บอกว่า ตอนนี้ในภาพรวมของขยะมูลฝอยถูกทิ้งทั่วประเทศประมาณ 27.40 ล้านตันต่อปี คิดเป็น 75,046 ตันต่อวัน เฉลี่ยแต่ละคนสร้างขยะ 1.3 กก.ต่อคนต่อวัน ในจำนวนนี้มีขยะพลาสติกปะปนรวมอยู่ราว 2 ล้านตันต่อปี แต่มีการนำกลับไปใช้ประโยชน์ หรือรีไซเคิลได้ประมาณ 5 แสนตัน คิดเป็นร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4 ของพลาสติกทั้งหมดเท่านั้น ส่วนอีก 1.5 ล้านตันต่อปี ถูกนำไปกำจัด แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.เผาทำลาย มีโรงงานเผาอยู่ 4 แห่ง คือ ภูเก็ต กทม. ขอนแก่น สมุทรปราการ สามารถเผาได้ประมาณ 2,000 ตันต่อปี 2.การฝังกลบราว 3,000 ตันต่อปี แต่มักเกิดปัญหา "บ่อขยะเต็ม" ถูกนำมากองเป็นภูเขาเลากาไว้ ที่เป็นการจำกัดไม่ถูกวิธี ถ้ามีฝนตกมาก็ชะกองขยะ นำความสกปรก เชื้อโรค สารพิษ ไหลลงสู่แหล่งน้ำ และ 3.เป็นของเสีย ถูกปล่อยลงแหล่งน้ำและทะเล มีประมาณ 1 ล้านตันต่อปี ที่กำลังเพิ่มพูนจำนวนมากขึ้นทุกปี ก่อนหน้านี้ "กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง" มีการติดตั้งทุ่นกักขยะตามปากแม่น้ำและลำคลองสายหลัก สามารถตรวจดักจับเก็บขยะได้มากมาย เช่น ขวดน้ำพลาสติก ขวดแก้ว โฟม ถุงพลาสติก ฝาน้ำ ซึ่งขยะพลาสติกพวกนี้ต้องใช้เวลาย่อยสลายนานกว่า 450 ปีด้วยซ้ำ ในระหว่างการย่อยสลายล่องลอยอยู่ในน้ำทะเลนี้ "ขยะพลาสติกขนาดใหญ่" เมื่อถูกรังสียูวีจากดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดการสลายโครงสร้างเป็นชิ้นเล็กลงกลายเป็น "ไมโครพลาสติก" โดยเฉพาะพื้นที่มหาสมุทรลักษณะน้ำอุ่น เช่น เอเชียแปซิฟิก มักมีไมโครพลาสติกปนเปื้อนอยู่จำนวนมาก "ขยะพลาสติก" ยิ่งอยู่ในน้ำทะเลนานจะมีลักษณะคล้าย "แมงกะพรุน" จากนั้นจะสลายเป็น "ไมโครพลาสติก" มีแสงระยิบระยับคล้าย "แพลงก์ตอน" หลอกล่อสัตว์ทะเลมากิน แต่มีความเป็นพิษสูงมาก เพราะเมื่อราว 40-50 ปีที่แล้ว ?นักวิจัย? เก็บตัวอย่างสิ่งมีชีวิต สัตว์ทะเล เช่น "นกทะเล" ที่มีไมโครพลาสติกในร่างกาย 5% แต่ไม่กี่ปีมานี้ก็เก็บตัวอย่างใหม่ กลับพบว่า ?นกทะเล? มีไมโครพลาสติกเพิ่มขึ้นสูงถึง 90% อีกทั้งยังมีผลกระทบในสัตว์น้ำอื่น เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ที่มีไมโครพลาสติกสะสมในตัวสัตว์อยู่มาก จนเนื้อเยื่อในกระเพาะอาหารเป็นแผล และยับยั้งการเจริญเติบโตของสัตว์ด้วย... ดังนั้น "คน" บริโภคเนื้อสัตว์ทะเลนี้ที่มีไมโครพลาสติกปนเปื้อน ก็มีโอกาสเข้ามาสะสมเป็น ?สิ่งแปลกปลอม? ที่จะก่อให้เกิดโรคต่างๆ อาจก่อให้เกิด "โรคมะเร็ง" ตามมาได้แน่นอน แต่ระยะเวลาที่จะแสดงอาการของโรคอาจจะช้ากว่าสัตว์ขนาดเล็กเท่านั้นเอง สอดคล้องผลการศึกษา "การปนเปื้อนไมโครพลาสติกในอาหารและมนุษย์" ได้นำอุจจาระจากผู้บริโภค ?สัตว์ทะเล? ในพื้นที่ที่มีการสะสมของไมโครพลาสติกหนาแน่น พบว่า ในอุจจาระจะเจออนุภาคของไมโครพลาสติก แม้แต่ "เนื้อเยื้อของคน" ก็มีการสะสมปนเปื้อนอยู่เช่นกัน สิ่งนี้ยังปัญหาส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ที่ล้วนเกิดจากมนุษย์ที่ไม่มีจิตสำนึกในการร่วมกันรักษาให้กับโลกใบนี้ด้วย ต้องยอมรับว่า..."ประเทศไทย" มีการใช้ถุงพลาสติกก๊อบแก๊บราว 4.5 หมื่นล้านใบต่อปี แบ่งเป็น...ในห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เกต และร้านสะดวกซื้อ ร้อยละ 30 ส่วนที่เหลือร้อยละ 70 มีการใช้ในตลาดสด ร้านขายของชำ และนับแต่เดือน ม.ค.2563 มีการขับเคลื่อนงดเลิกใช้ถุงพลาสติก ก็สามารถลดได้ราว 30% เท่านั้น กระทั่ง..."การระบาดโควิด-19" ทำให้ "รัฐบาล" มีมาตรการชัตดาวน์เมืองอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะเขตเมือง ทั้งกรุงเทพฯและเมืองท่องเที่ยว ต่างก็มีปริมาณขยะมูลฝอยโดยรวมลดลง เช่น จ.ภูเก็ต ลดลงจาก 970 ตันต่อวัน เป็น 840 ตันต่อวัน พัทยา จาก 850 ตันต่อวัน เป็น 380 ตันต่อวัน เป็นต้น ทว่า..."สัดส่วนขยะพลาสติก" กลับเพิ่มสูงขึ้นในเกือบทุกเมืองถึงร้อยละ 62 สาเหตุจากการสั่งอาหารรูปแบบดีลิเวอรีที่มีการเติบโตมากกว่า 200% ตามรายงานของกรุงเทพฯ ในเดือน เม.ย.2563 มีปริมาณขยะพลาสติก 3,440 ตันต่อวันของขยะทั้งหมด 9,370 ตันต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 2562 จำนวน 2,120 ตันต่อวัน ทำให้หลังจาก "หยุดระบาดโควิด-19" คงต้องรณรงค์หยุดการใช้ถุงพลาสติกกันใหม่ โดยเฉพาะ "โรดแม็ปการจัดการขยะพลาสติก" ในการเลิกใช้พลาสติกที่ดำเนินมาตั้งแต่ในปี 2562 แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ 1.พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่ม 2.พลาสติกผสมสารออกโซ 3.พลาสติกผสมไมโครบีด และระยะที่สอง...จะยกเลิกให้ใช้ภายในปี 2565 อีก 4 ชนิด คือ 1.พลาสติกหูหิ้วที่มีความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน 2.กล่องโฟมบรรจุอาหาร 3.หลอดพลาสติก ที่มีข้อยกเว้นสำหรับใช้กับเด็ก คนชรา และผู้ป่วย และ 4.ยกเลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ประเด็น..."นำเข้าขยะพลาสติกนำมารีไซเคิลในประเทศไทย" ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ ที่เป็นปัญหา "รัฐบาล" ต้องให้ความชัดเจน เพราะเดิมการนำเข้าขยะพลาสติก ต้องเป็นสิ่งพลาสติกสะอาด แต่ในช่วงหลังมานี้กลับมาเป็น "พลาสติกปนเปื้อน" สาเหตุจาก "ประเทศจีน" ห้ามนำเข้าขยะพวกนี้ และทะลักมาในไทยแทน ทำให้ "ตัวเลข" ในการนำเข้าขยะพลาสติกจากไม่ถึงหมื่นตันต่อปี กลายมาเป็นหลักแสนตันต่อปี ดังนั้น "กระทรวงอุตสาหกรรม หรือกรมศุลกากร" คงต้องตรวจสอบตัวเลขให้ชัดเจน เพราะ "ตามระเบียบ" การนำเข้าขยะพลาสติกสะอาด ต้องนำเข้าโรงงานรีไซเคิลที่ขึ้นทะเบียนกับกรมโรงงานถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น หนำซ้ำ...ในช่วงนี้กลับไม่เป็นตามระเบียนเพิ่มขึ้น เพราะ "คนต่างชาติ" หันมาลงทุนทำธุรกิจโรงงานประเภทรีไซเคิลมากกว่าเดิม มีทั้งได้รับอนุญาต และไม่รับอนุญาต ทำให้มีการนำเข้า "ขยะอิเล็กทรอนิกส์ปนเปื้อน" ที่มีการคัดแยกอย่างไม่ถูกต้อง ทั้งการเผากลางแจ้ง หรือไม่มีระบบกำจัดมลพิษ เป็นต้น ปัญหานี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงต้องเข้าไปแก้ไข และกำหนดเงื่อนไขโควตาการนำเข้าขยะพลาสติก และขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้ชัดเจน เพราะคราวก่อนนี้ก็เคยมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.การจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และซากผลิตภัณฑ์อื่น พ.ศ. ... สุดท้ายต้องถอนกลับไปตั้งต้นกันใหม่ แต่ในส่วนของต่างชาติ 60 ประเทศ มีกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมขยะนำเข้าประเทศกันอย่างเข้มงวดแล้ว ทำให้ประเทศไทยมีช่องว่างในการ "ดีแคลร์สำแดงขยะนำเข้าไม่ตรงตามจริง" เช่น นำเข้าพลาสติกสกปรก กลับสำแดงแจ้งเป็นพลาสติกสะอาด ฯลฯ ย้ำว่า..."ประเทศไทย" ถูกจัดอยู่อันดับที่ 6 ที่มีขยะทางทะเลมากที่สุดในโลก และนี่อาจไม่ใช่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น หากแต่ยังมีผลต่อ "สัตว์ทะเล" ที่กำลังย้อนมาทำร้าย "ผู้บริโภค" รับสารพิษตกค้างตายผ่อนส่งในที่สุดอีกด้วย. https://www.thairath.co.th/news/society/1933509
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
มหัศจรรย์! เต่าทะเลนับพัน แห่ขึ้นฝั่งวางไข่ที่ "คอสตาริกา" เต่าทะเลนับพันขึ้นมาวางไข่ที่ชายหาดคอสตาริกา (ภาพจากเฟซบุ๊ก Ashleigh Walters) เผยภาพสุดทึ่ง เมื่อเต่าทะเลนับพันแห่เดินพาเหรดขึ้นฝั่งวางไข่ ในฤดู "อาร์ริบาดา" บนชายหาดเมืองกัวนาคาสเตประเทศคอสตาริกา เฟซบุ๊กบัญชีรายชื่อ "Ashleigh Walters" ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวแห่ง www.WPTV.com เผยคลิปสุดทึ่งของเต่าทะเลนับพัน แห่เดินพาเหรดขึ้นมาวางไข่ บนชายหาดเมือง "กัวนาคาสเต" (Guanacaste) ประเทศคอสตาริกา (Costa Rica) ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ทุก ๆ ปีที่คอสตาริกา เรียกว่าฤดู "อาร์ริบาดา" (Arribada) ซึ่งจะมีเต่าทะเลจำนวนมาก เดินทางขึ้นมาวางไข่บนชายหาดในช่วงเดือนกันยายน ถือเป็นปรากฏการณ์การวางไข่ครั้งยิ่งใหญ่แห่งปีบรรดาเหล่าเต่าทะเล สำหรับเต่าทะเล เป็นสัตว์ที่มักกลับมาวางไข่ที่ชายหาดเดิมที่มันเกิด โดยแม่เต่าแต่ละตัวสามารถออกไข่ได้มากนับ 100 ฟอง โดยมีระยะเวลาฟักไข่ราว 50-60 วัน https://mgronline.com/travel/detail/9630000096341
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
ซากเรือบรรทุกทาส พบใต้ทะเลลำแรก ยืนยันแล้วเป็นของชนเผ่ามายา ซากเรือบรรทุกทาส - เมื่อ 20 ก.ย. ซีเอ็นเอ็น รายงานผลการตรวจสอบซากเรือเก่าแก่ที่พบใต้ทะเล บริเวณชายฝั่งซีซัล คาบสมุทรยูกาตัน ประเทศเม็กซิโก ยืนยันว่าเป็นเรือบรรทุกทาสลำแรกของชนเผ่ามายา ลักลอบขนคนที่ถูกจับเป็นทาสไปส่งใช้แรงงานที่ประเทศคิวบา นักโบราณคดีประจำสถาบันมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์แห่งชาติเม็กซิโก หรือ INAH แถลงว่าซากเรือที่พบคือเรือลาอูนิยง - La Uni?n ใช้ขนทาสเดือนละ 25-30 คนไปบังคับใช้แรงงานในไร่อ้อยช่วงปีค.ศ. 1855 -1861 เรือลำนี้มีผู้ค้นพบเมื่อปี 2560 อยู่ห่างจากอ่าวเม็กซิโก 2 ไมล์ทะเลจากชายฝั่งซิซัล แต่ต้องใช้เวลาตรวจสอบและวิจัยนาน 3 ปีจนยืนยันได้ว่าเป็นเรือบรรทุกทาสจริง "ทาสแต่ละคนถูกขายให้พ่อค้าคนกลาง ราคาคนละ 25 เปโซ จากนั้นจึงถูกนำไปขายซ้ำที่กรุงฮาวานา ราคาเพิ่มเป็น 160 เปโซสำหรับผู้ชาย และ 120 เปโซ สำหรับผู้หญิง" เฮเลนา บาร์บา ไมน์เนกเคอ ผู้ร่วมวิจัยหญิงกล่าว จากการศึกษาประวัติศาสตร์ เรืออัปปางวันที่ 19 กันยายน 1861 ระหว่างเดินทางไปคิวบา เป็นตัวพิสูจน์ว่า ยังมีการค้าทาสกันอยู่ แม้จะยกเลิกในเม็กซิโกไปแล้ว เมื่อปี 1829 และมีข้อบังคับห้ามบังคับชาวมายาเป็นทาสในปีเดียวกัน คณะนักโบราณคดียืนยันตัวเรือดังกล่าวได้จาก หม้อไอน้ำของเครื่องยนต์ที่ระเบิดและก่อให้เกิดไฟไหม้ รวมถึงผลการตรวจสอบล้อทำจากไม้ทั้งสองด้าน อีกทั้งยังพบสิ่งประดิษฐ์ที่รวมถึงเศษแก้วจากขวด เซรามิก และเครื่องมือที่มีใบมีดเป็นทองเหลือง 8 อัน ที่ผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาสใช้บนเรือ ระหว่างเกิดอุบัติเหตุ มีลูกเรือ 80 คน และผู้โดยสาร 60 คน ในจำนวนนี้เสียชีวิตไปครึ่งหนึ่ง แต่ไม่ชัดเจนว่า ทาสเสียชีวิตกี่คน เนื่องจากถูกลงทะเบียนเป็นสินค้า ไม่ใช่ผู้โดยสาร สำหรับอารยธรรมมายาและเมโซอเมริกัน เฟื่องฟูทั่วเม็กซิโกและอเมริกากลาง ตั้งแต่ช่วง 2,000 ปีก่อนคริสตกาลจนถึงช่วงเวลาที่สเปนล่าอาณานิคม https://www.khaosod.co.th/update-news/news_4950223
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์
พบเรือดำน้ำที่สาบสูญช่วงสงครามใกล้กับภูเก็ต เรือดำน้ำสูญหายสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกพบในน่านน้ำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในน่านน้ำที่ขุ่นมัวบริเวณช่องแคบมะละกาห่างจากภูเก็ตไปทางใต้ประมาณ 90 ไมล์ นักดำน้ำ 4 คนได้ค้นพบเรือดำน้ำสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งถูกจมลงเมื่อ 77 ปีก่อน ซากปรักหักพังใต้น้ำซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเรือดำน้ำ USS Grenadier ของกองทัพสหรัฐถูกพบเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วโดยทีมนักดำน้ำคือ Jean Luc Rivoire, Lance Horowitz, Benoit Laborie และ Ben Reymenants โดยทีมประกาศเพิ่งจะประกาศข่าวการค้นพบในเดือนนี้ หนึ่งในทีมคือ Horowitz วัย 36 ปีกล่าวกับผู้สื่อข่าวของ NYT จากภูเก็ตเมื่อวันศุกร์ว่าในช่วงหกเดือนต่อมาหลังการค้นพบได้มีการวางแผนการดำน้ำอย่างรอบคอบ 6 ครั้งเพื่อศึกษาและระบุเรือดำน้ำ โดยหนึ่งในทีมงานนั้นคือ Reymenants ซึ่งเคยช่วยในการช่วยเหลือทีมหมูป่าที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนเมื่อ 2 ปีก่อน หลังจากทำการวัดส่วนต่างๆของเรือดำน้ำและเปรียบเทียบกับภาพวาดทางเทคนิคจากหอจดหมายเหตุและบันทึกข้อมูลแห่งชาติ ทีมงานรู้สึกมั่นใจว่าพวกเขาได้ค้นพบเรือดำน้ำที่หายสาบสูญแล้ว "มันดีอย่างที่เราหวังไว้จริงๆ" Horowitz กล่าวถึงการสำรวจของทีมงานที่ใช้งบประมาณถึง 110,000 เหรียญสหรัฐ "ผมคิดว่าคนจำนวนมากใฝ่ฝันที่จะค้นหาหรือค้นพบหรือสะดุดกับบางสิ่งที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ มันเป็นความรู้สึกที่ทรงพลังมาก มันวิเศษมาก" Grenadier ได้รับการตั้งชื่อตามปลาทะเลน้ำลึกที่มีลำตัวยาวและหางสั้นแหลม ตัวเรือมีความยาวมากกว่า 300 ฟุตและหนัก 1,475 ตันตามข้อมูลของกองบัญชาการประวัติศาสตร์และมรดกกองทัพเรือซึ่งมีหน้าที่ในการอนุรักษ์วิเคราะห์และการเผยแพร่ประวัติศาสตร์การเดินเรือของสหรัฐ ทีมงานพบเรือลำนี้จมในลักษณะตั้งลำอยู่ใต้น้ำลึกกว่า 260 ฟุต นักดำน้ำกล่าวในแถลงการณ์เพิ่มเติมว่าบางส่วนถูกคลุมด้วยอวนจับปลา Robert Neyland หัวหน้าสาขาโบราณคดีใต้น้ำของกองบัญชาการประวัติศาสตร์กองทัพเรือเผยว่า ขั้นตอนต่อไปสำหรับนักดำน้ำคือการตรวจสอบการค้นพบโดยกองบัญชาการประวัติศาสตร์กองทัพเรือ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการค้นพบแต่ละรายการไม่ว่าจะเป็นวิดีโอรูปถ่ายและการวัดผลได้รับการประเมินจากเอกสารที่เก็บถาวรและบันทึกทางประวัติศาสตร์ กระบวนการตรวจสอบเรือดำน้ำลำนี้น่าจะใช้เวลาสองสามเดือน Horowitz กล่าวว่าหลังจากนี้ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าจะทำอย่างไรกับ Grenadier นั้น เพราะเรือดำน้ำยังคงเป็นทรัพย์สินของรัฐบาลสหรัฐ ตามที่กองทัพเรือระบุก่อนที่ Grenadier จะพบกับจุดจบมันสามารถจมเรือของข้าศึกได้ภึงหกลำ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 1943 เรือดำน้ำได้พบเห็นเรือสินค้าสองลำและเคลื่อนตัวเข้าใกล้เพื่อทำการโจมตี วันรุ่งขึ้นขณะที่อยู่บนผิวน้ำ Grenadier ได้ถูกข้าศึกพบเห็นและถูกเครื่องบินของญี่ปุ่นพบเห็น ในขณะที่เรือพยายามดำลงเพื่อความปลอดภัยมันถูกระเบิดโจมตีจนได้รับความเสียหายแต่ก็ยังไม่จมลง ในเช้ามืดของวันที่ 22 เมษายนมีเรือญี่ปุ่นสองลำถูกพบเห็นในระยะไกล Robert W. Palmer ลูกเรือคนหนึ่งบนเรือเ Grenadier เขียนไว้ในหนังสือ "The Silent Service in World War II" ว่าลูกเรือใช้อาวุธปืนหลายประเภทรวมทั้งปืน 20 มม. ปืนยาวปืนพกและปืนทอมมี่ เพื่อยิงไปที่เครื่องบินอีกลำ แต่ในที่สุดเครื่องบินข้าศึกก็ทิ้งระเบิดลงมาใกล้ๆ เรือ ก่อนที่เรือดำน้ำจะจมลงลูกเรือได้ทำลายเครื่องเข้ารหัสด้วยค้อน และทำลายคอมพิวเตอร์ข้อมูลตอร์ปิโดและอุปกรณ์วิทยุทั้งหมด เอกสารถูกโยนลงน้ำพร้อมกระเป๋าถ่วงน้ำหนัก ลูกเรือทั้ง 76 คนรอดชีวิตจากการโจมตี แต่พวกเขาต้องเผชิญกับอนาคตที่ไม่แน่นอนกลางท้องทะเลอยู่ช่วงหนึ่งหลังจากกัปตันสั่งให้ทุกคนออกจากเรือแล้วลอยทะเลพวกเขาก็ถูกจับโดยเรือบรรทุกสินค้าของญี่ปุ่น หลังจากนั้นพวกเขาถูกนำตัวไปที่โรงเรียนคาทอลิกที่พวกญี่ปุ่นใช้เป็นฐานบัญชาการในปีนัง ประเทศมาเลเซียในปัจจุบันแล้วถูกทรมานนานถึง 28 เดือนครึ่ง มีลูกเรือ 4 คน ตายระหว่างนั้น https://www.posttoday.com/world/633443 ********************************************************************************************************************************************************* เมื่อวาฬเพชฌฆาตกับฉลามขาวมาเจอกันใครจะเป็นผู้ชนะ? หลักฐานชัดยืนยันว่าใครคือเจ้าแห่งท้องทะเลระหว่างนักล่าสองชนิดที่มนุษย์ยังต้องยำเกรง Photo by Robert Pittman - NOAA วาฬเพชฌฆาตกับฉลามขาวเป็นสัตว์นักล่าแห่งท้องทะเล แต่ดูเหมือนว่าปลาฉลามขาวจะมีภาพลักษณ์ที่น่ากลัวกว่าวาฬเพชฌฆาต อาจเป็นเพราะปลาฉลามขาวถุกทำให้ดูน่ากลัวจากภาพยนต์อมตะเรื่อง Jaws ส่วนวาฬเพชฌฆาตถูกทำให้มีภาพที่น่ารักจากภาพยนต์เรื่อง Free Willy ทั้งๆ ที่มันเป็นสัตว์ที่อันตรายมาก หลายคนอาจจะสงสัยว่าหากวาฬเพชฌฆาตกับฉลามขาวมาเจอกันใครจะเป็นผู้ชนะ? ตอนนี้มีคำตอบแล้วจากการรายงานของ Newsweek พบวาฬเพชฌฆาตกลุ่มหนึ่งโจมตีกลุ่มปลาฉลามขาวนอกชายฝั่งแอฟริกาใต้จากนั้นกินตับของพวกมัน แล้วยังกินหัวใจของฉลามสองตัวและอัณฑะของตัวผู้ 1 ตัว นักวิทยาศาสตร์ที่ช่วยชันสูตรพลิกศพฉลาม 6 ตัวที่ซัดขึ้นมาบนชายฝั่งของเมืองกานส์เบย์ (Gansbaai) ห่างจากเคปทาวน์ประมาณ 2 ชั่วโมงได้เล่าว่าวาฬเหล่านี้ใช้คมเขี้ยวฉีกร่างของปลาฉลามด้วยวิธีที่แม่นยำและละเอียดละออมาก Alison Towner นักชีววิทยาทางทะเล กล่าวกับช่อง YouTube Shark Talk ซึ่งจัดทำโดย Gemma Care ว่าวาฬเพชฌฆาต หรือออร์กา ทำการฉีกหนังฉลามที่หนามากโดยกัดเข้าไปที่ใต้คอทำให้โพรงจนตับของฉลามซึ่งมีน้ำหนักมากถึง 81 กิโลกรัมจะไหลออกมา "เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าพวกมันจะอยู่ที่ใดในโลก พวกมันได้เรียนรู้กลยุทธ์การล่าที่แม่นยำและละเอียดละออกมาก ... และสอนให้กับลูกๆ ของพวกมัน" Alison Towner กล่าว https://www.posttoday.com/world/633458
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|