#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงอีกระลอกจากประเทศจีนได้แผ่ลงมา ปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส กับมีอากาศเย็นและมีลมแรง ส่วนบริเวณยอดดอยและยอดภู มีอากาศหนาว ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือดูแลสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวัง อนึ่ง พายุดีเปรสชัน (พายุระดับ 2) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน "เอตาว" (พายุระดับ 3) แล้ว คาดว่า จะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนใต้ ในช่วงวันที่ 10-11 พฤศจิกายน 2563 หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน และหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศกัมพูชา ส่งผลให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างและภาคตะวันออก มีฝนเล็กน้อยถึงปานกลางกับมีลมแรง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศเย็นกับมีลมแรง อุณหภูมิต่ำสุด 22-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-31 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 9 ? 14 พ.ย. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงอีกระลอกจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบน มีอุณหภูมิลดลง 2-4 องศาเซลเซียส กับมีอากาศเย็นและมีลมแรง ในขณะที่มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยตอนบนและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อนึ่ง ในช่วงวันที่ 10-13 พ.ย. 63 หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางมีแนวโน้มที่จะทวีกำลังแรงขึ้น และเคลื่อนตัวเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลางในระยะต่อไป ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนไว้ด้วย และประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย ********************************************************************************************************************************************************* ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "พายุโซนร้อน "เอตาว" (พายุระดับ 3) (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 10 ? 11 พ.ย. 2563)" ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 09 พฤศจิกายน 2563 เมื่อเวลา 04.00 น. ของวันนี้ (9 พฤศจิกายน 2563) พายุดีเปรสชัน (พายุระดับ2) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน "เอตาว" (พายุระดับ 3) แล้ว มีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 13.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 114.7 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้เคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วประมาณ 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าพายุจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนใต้ในช่วงวันที่ 10-11 พฤศจิกายน 2563 หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน และหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณประเทศกัมพูชา ส่งผลให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างและภาคตะวันออก มีฝนเล็กน้อยถึงปานกลางกับมีลมแรง ขอให้เกษตรกรบริเวณดังกล่าวเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ยกย่องหนุ่มนักท่องเที่ยวช่วยโลมาเกยตื้นที่เกาะสุกร จนว่ายน้ำกลับสู่ท้องทะเลได้สำเร็จ ตรัง - ชื่นชม! หนุ่มนักท่องเที่ยวชาว อ.สะเดา จ.สงขลา ตัดสินใจวิ่งลงไปช่วยชีวิต "โลมาสีชมพู" ขณะกำลังเกยตื้นอยู่ที่บริเวณชายหาดบนเกาะสุกร จนสามารถกลับคืนสู่ท้องทะเลอันดามันได้สำเร็จ นายเสริมวิทย์ มุเส็มสะเดา หรือ "บังหนึ่ง" อายุ 36 ปี ชาว ต.สะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา ได้โพสต์คลิปลงในเฟซบุ๊กส่วนตัววินาทีที่ตนเองกำลังวิ่งลงไปบริเวณชายหาด หน้าญาตา สปา แอนด์ รีสอร์ต ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ 1 บ้านเสียมไหม บนเกาะสุกร หรือเกาะหมู อ.ปะเหลียน อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของ จ.ตรัง ขณะที่ได้เร่งทำการช่วยชีวิตของโลมาสีชมพู หรือโลมาปากขวดตัวหนึ่ง ขนาดยาวประมาณ 3 เมตร และหนักประมาณ 100 กิโลกรัม ซึ่งกำลังเกยตื้นอยู่บริเวณหาดทราย และพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต เพื่อพาร่างกลับคืนสู่ท้องทะเลอันดามัน จนทำให้เนื้อตัวมีบาดแผลถลอกไปทั่ว เนื่องจากโดนเปลือกหอยบาดเข้า จากนั้น บังหนึ่ง ได้พยายามใช้มือผลักดันร่างของโลมาตัวนี้ให้กลับคืนลงสู่ท้องทะเลอย่างทุลักทุเล เพราะมีขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ และลงมือช่วยชีวิตเพียงคนเดียว จึงต้องใช้เวลาอยู่ประมาณ 5 นาที กว่าที่จะสามารถผลักร่างของโลมาตัวนี้ให้กลับลงสู่ท้องทะเลได้สำเร็จ โดยมีชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์มาตะโกนบอกให้กำลังใจ และถ่ายคลิปวินาทีดังกล่าวเอาไว้ ซึ่งหลังจากโลมาตัวดังกล่าวว่ายน้ำกลับรวมฝูง และปลอดภัยดีแล้ว มันก็ได้ตีหาง 2 ครั้ง เสมือนเป็นการขอบคุณผู้ที่ได้ทำการช่วยชีวิตให้รอดจากการเกยตื้นในครั้งนี้ และหลังจากมีการนำคลิปไปโพสต์ลงบนโซเชียล ปรากฏว่ามีผู้เข้ามาชื่นชมหนุ่มชาวสะเดารายนี้กันเป็นจำนวนมาก นายเสริมวิทย์ มุเส็มสะเดา หรือ "บังหนึ่ง" กล่าวว่า ตนเองเดินทางมาเที่ยวเกาะสุกรกับกลุ่มเพื่อนๆ และก่อนหน้านั้นได้ถ่ายคลิปโลมาตัวนี้ขณะกำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนานอยู่กับฝูงรวม 3 ตัว โดยไม่นึกว่าพอถัดมาอีกวัน กลับต้องมาเจอโลมาตัวดังกล่าวเกยตื้นอยู่ ซึ่งจังหวะนั้นมีแค่ชาวประมงพื้นบ้านที่เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว และกำลังอยู่ในอาการตกใจ ทำอะไรไม่ถูก ตนเองจึงตัดสินใจรีบลงไปช่วยโลมาตัวนี้ในทันที เพราะมันเกยตื้นมาพักหนึ่งแล้ว และท้ายสุดก็ช่วยชีวิตได้สำเร็จ จึงรู้สึกดีใจมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่มาเที่ยวทะเลตรัง และได้พบเห็นโลมาแบบตัวเป็นๆ ซึ่งที่บ้านเกิดของตัวเองที่ อ.สะเดา จ.สงขลา จะเคยพบเห็นสัตว์ที่อยู่ริมทะเล ก็แค่เพียงนกเงือกเท่านั้น https://mgronline.com/south/detail/9630000115515 ********************************************************************************************************************************************************* เกยตื้นครั้งล่าสุด!! ชมคลิปการข่วยชีวิตวาฬกว่า 100 ตัว ครั้งใหญ่สุดในศรีลังกา กองทัพเรือและอาสาสมัครของศรีลังกาช่วยเหลือวาฬนำร่อง 120 ตัวที่เกยตื้นครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ แต่พบว่าวาฬบาดเจ็บอย่างน้อย 2 ตัวเสียชีวิต ลูกเรือจากกองทัพเรือและหน่วยยามฝั่งพร้อมกับอาสาสมัครในพื้นที่ได้ผลักดันวาฬอย่างน้อย 120 ตัวในเช้าวันอังคารหลังจากการช่วยเหลือข้ามคืนอันแสนทรหด Indika de Silva โฆษกกองทัพเรือกล่าว ช่วงบ่ายวันจันทร์ (2พฤศจิกายน2563) ฝูงวาฬเกยตื้นที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนเกาะ ฝูงวาฬนำร่องถูกคลื่นซัดขึ้นฝั่งที่ Panadura ซึ่งอยู่ห่างจากโคลัมโบไปทางใต้ 15 ไมล์ หรือประมาณ 25 กิโลเมตร กองทัพเรือและอาสาสมัครของศรีลังการ่วมมือกัน เพื่อช่วยเหลือวาฬนำร่องกว่า 100 ตัวที่เกยตื้นครั้งใหญ่ที่สุดของศรีลังกา เมื่อวันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน2563 "เราใช้ยานลาดตระเวนบนบกขนาดเล็กเพื่อดึงวาฬทีละตัวกลับสู่น่านน้ำที่ลึกกว่า น่าเศร้าที่วาฬสองตัวต้องเสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บที่ยังคงมีอยู่ เมื่อพวกมันเกยตื้น" เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้รับคำสั่งว่า อย่าให้เกิดการเสียชีวิตจำนวนมากอย่างที่เกิดขึ้นในแทสเมเนียเมื่อเดือนกันยายน เมื่อวาฬนำร่องประมาณ 470 ตัวเกยตื้น และมีเพียง 110 ตัวเท่านั้นที่รอดจากการช่วยชีวิต หลังจากพยายามช่วยเหลือหลายวัน "เราคิดว่าครั้งนี้คล้ายกับการเกยตื้นในแทสเมเนียเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เป็นเรื่องผิดปกติมากที่วาฬจำนวนมากจะมาถึงชายฝั่งของเรา และยังไม่ทราบสาเหตุของการติด" Dharshani Lahandapura หัวหน้าหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล (MEPA) ของศรีลังกา กล่าว เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า วาฬนำร่องเกือบ 400 ตัวตายในรัฐแทสเมเนีย นับเป็นการเกยตื้นที่เลวร้ายที่สุดของออสเตรเลีย วาฬเหล่านี้ถูกพัดมาติดอยู่ที่หลุมทรายในน่านน้ำบริเวณที่เรียกว่า แม็กควารี เฮดส์ (Macquarie Heads)ตอนแรกเจ้าหน้าที่กู้ภัยนับจำนวนวาฬได้ 270 ตัว แต่เจ้าหน้าที่บนเฮลิคอปเตอร์พบวาฬตายอีก 200 ตัวในพื้นที่ใกล้เคียง การเกยตื้นครั้งนี้ เป็นหนึ่งในการเกยตื้นครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้ทั่วโลก และทำลายสถิติการเกยตื้น 320 ตัวในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียในปี 1996 มีการใช้สลิงและอุปกรณ์อื่นช่วยดึงวาฬออกจากหาดทราย เพื่อที่จะให้มันจมลงในน้ำทั้งตัว เมื่อวาฬกลับไปลอยอยู่ในน้ำได้ พวกมันก็จะสามารถว่ายน้ำออกไปในเขตน้ำลึก แต่กระแสน้ำที่รุนแรงเป็นอุปสรรค ทำให้วาฬที่ได้รับการช่วยเหลือแล้ว ลอยกลับเข้ามายังชายฝั่งอีกครั้ง ศ.ปีเตอร์ แฮร์ริซัน กลุ่มวิจัยวาฬ มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นครอสส์ (Southern Cross University) กล่าวว่า การที่ไม่มีน้ำช่วยพยุงตัวไว้ วาฬจะค่อยๆ ถูกน้ำหนักตัวของมันเองกดทับ ผู้เชี่ยวชาญด้านวาฬ ระบุว่า วาฬที่รอดตายจะอ่อนแรงและอ่อนแอ วาฬนำร่องมีความยาวได้ถึง 7 เมตร และหนักถึง 3 ตันเป็นสัตว์ที่ชอบเข้าสังคม แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะศึกษาปรากฏการณ์นี้มาหลายทศวรรษ แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดถึงสาเหตุของการเกยตื้นของวาฬ https://mgronline.com/greeninnovatio.../9630000115406
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
ยักษ์ทะเลบนดิน! พบโครงกระดูกวาฬ ใต้พื้นดินห่างไกลทะเล ชี้เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ ยักษ์ทะเลบนแผ่นดิน! พบโครงกระดูกวาฬ ใต้ผิวดินกว่า 6 เมตร ห่างไกลทะเล ชี้เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ ในเบื้องต้นพบว่าบริเวณดังกล่าวไกลจากทะเล และไม่พบว่ามีการนำซากวาฬเกยตื้นมาฝังบริเวณนี้แต่อย่างใด ThaiWhales องค์กรด้านอนุรักษ์วาฬ และทะเลเผยว่า เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ได้รับแจ้งว่ามีการพบ โครงกระดูกวาฬ ที่ ต.อำแพง อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ก่อนแจ้งศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันตก (ศวบต.) คาดเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์วาฬ และ เรื่องโบราณคดี และธรณีวิทยา โครงกระดูกวาฬที่พบอยู่ลึกจากผิวดินกว่า 6 เมตร เป็นวาฬขนาดใหญ่ยังไม่ทราบสายพันธุ์ พบส่วนกระดูกสันหลัง (Vertebrate) 5 ชิ้น ที่มีขนาดใหญ่ และดูจะใหญ่กว่าซากวาฬบรูด้าที่เคยพบมา จากการสังเกต พื้นที่ใกล้กับแม่น้ำท่าจีน ที่พบมีลักษณะเป็นกระซ้า มีซากเปลือกหอยเล็กๆ ทับถม ทำให้อาจสันนิษฐานได้ว่าพื้นที่นี้เคยเป็นทะเลมาก่อน ซึ่งนักวิจัยทช. กำลังหาวิธีในการเก็บกู้โครงกระดูกที่เหมาะสมที่สุด รวมทั้งหาอายุของพื้นที่ และตรวจหาค่าอายุกระดูกด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ต่อไป ที่ผ่านมานั้นมีการโครงกระดูกวาฬบนแผ่นดิน ลึกลงไปใต้ดินอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น โครงกระดูกวาฬฟิน ณ หมู่บ้านวิจิตราธานี ถนนบางนา-ตราด ซึ่งอยู่ห่างจากปากแม่น้ำไม่ต่ำกว่า 3 กิโลเมตร และบางชิ้นกลายเป็นฟอสซิลแล้ว หากประมาณจากช่วงอายุที่สามารถเกิดเป็นฟอสซิลได้จึงเชื่อว่าบริเวณนี้เคยเป็นแนวฝั่งทะเลมาก่อนทั้งยังเคยพบ โครงกระดูกวาฬบรูด้า บริเวณหมู่ 8 ตำบลโคกขาม จ.สมุทรสาคร ห่างจากชายฝั่งทะเลประมาณ 2 กิโลเมตร อันเป็นหลักฐานทางธรณีวิทยาว่าพื้นที่แถบนี้เคยเป็นท้องทะเลลึกมาก่อน จากการศึกษาพบว่าในอดีตกรุงเทพฯ อยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เคยจมอยู่ใต้ทะเลมาก่อน เพราะในอดีตนั้นโลกอยู่ในช่วงอบอุ่นมากช่วงหนึ่ง ทำให้น้ำแข็งจำนวนมาก ละลายออกจากขั้วโลกทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มขึ้นสูง และนั่นคือเหตุผลของการที่หลายจังหวัดในภาคกลางตอนล่างของไทย (ขณะนั้นยังไม่มีเมืองไทยปรากฏขึ้นบนโลก) จมอยู่ใต้ระดับน้ำทะเล ช่วงเวลาที่โลกร้อนในช่วงนี้ ว่าช่วง Medieval Warm Period ตรงกับสมัยทวารวดี หรือก่อนจะมีการก่อตั้งกรุงสุโขทัยนั่นเอง ทำให้ทะเลอ่าวไทยในยุคนั้น มีขอบเขตกว้างขวางกว่าปัจจุบันมาก ต่อมาโลกเริ่มเย็นลงจนเข้าสู่ช่วง ยุคน้ำแข็งย่อย น้ำทะเลเริ่มจับตัวเป็นน้ำแข็งตามขั้วโลก ระดับน้ำทะเลทั่งโลกเริ่มลดลง ประกอบกับการทับถมของตะกอนแม่น้ำหลายร้อยปี ทำให้จังหวัดต่างๆ ในภาคกลางตอนล่างปัจจุบัน เริ่มโผล่ขึ้นเหนือระดับน้ำทะเล ตรงกับยุคกรุงสุโขทัย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอาณาจักรไทย แต่ในปัจจุบันโลกกลับเข้าสู่ช่วงอบอุ่นอีกครั้ง และความร้อนพุ่งทะยานเร็วขึ้น จากสภาพเรือนกระจกที่เกิดจากแก๊สต่างๆ ทำให้เกิดการละลายของน้ำแข็งจากขั้วโลก และธารน้ำแข็ง หรือหิ้งน้ำแข็ง รวมทั้งยอดเขาน้ำแข็งต่างๆ อย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมีความเป็นไปได้ที่วัฏจักรเดิมจะกลับมาอีกครั้ง กับการกลับลงสู่ใต้ทะเลของหลายเมืองริมชายฝั่งทั่วโลก รวมทั้งภาคกลางตอนล่างของไทย https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_5277665
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|