#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2566
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนแผ่ปกคลุมภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว คาดว่าจะแผ่ปกคลุมภาคกลาง และภาคตะวันออกในระยะถัดไป ส่งผลทำให้ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคเหนือ ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อน ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตก รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้ ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตก รวมถึงอันตรายจากฟ้าผ่าที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งเกิดขึ้นได้ ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคเหนือมีแนวโน้มการสะสมฝุ่นละออง/หมอกควันปานกลางถึงมาก เนื่องจากการระบายอากาศไม่ดี กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีพายุฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรง อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 13 ? 14 มี.ค. 66 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ส่งผลทำให้มีลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ประกอบกับคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากประเทศเมียนมาจะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมภาคเหนือ ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตก รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้ ส่วนในช่วงวันที่ 15 - 18 มี.ค. 66 บริเวณกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อนลง ส่งผลทำให้ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง โดยมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 13 ? 14 มี.ค. 66 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตก รวมถึงอันตรายจากฟ้าผ่าที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย ****************************************************************************************************** ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน ฉบับที่ 8 (78/2566) (มีผลกระทบในช่วงวันที่ 13 - 14 มีนาคม 2566) ในช่วงวันที่ 13 - 14 มีนาคม 2566 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจะเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคเหนือ ในขณะที่ประเทศไทยมีอากาศร้อน ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออกมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้ จึงขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมีดังนี้ วันที่ 13 มีนาคม 2566 ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย และหนองคาย ภาคกลาง: จังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ราชบุรี นครปฐม สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก: จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด วันที่ 14 มีนาคม 2566 ภาคตะวันออก: จังหวัดจันทบุรี และตราด
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
จากปากชาวประมง ต้นเหตุปลาตายเกลื่อนหาดบางแสน สะเทือนรายได้ขายอาหารทะเล ปรากฏการณ์ปลาตายเกลื่อนหาดบางแสน จ.ชลบุรี ทำให้นักท่องเที่ยวมาพักผ่อน เมื่อวันที่ 11 มี.ค. ที่ผ่านมาตื่นตระหนก กลิ่นปลาตายส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วหาด ทำให้นักท่องเที่ยวไม่กล้าลงเล่นน้ำทะเล โดยพบว่าคุณภาพน้ำทะเลเป็นปกติ ส่วนชาวประมงพื้นที่ สันนิษฐานว่า ต้นเหตุมาจากเรืออวนลากใหญ่ในพื้นที่ จากเหตุการณ์ดังกล่าว ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันออก (ศวบอ.) รายงานว่า ได้รับแจ้งจากเทศบาลเมืองแสนสุข เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2566 เวลาประมาณ 17.20 น. พบปลาทะเลเกยตื้นตายจำนวนมาก บริเวณชายหาดบางแสน จ.ชลบุรี ซึ่งชนิดปลาที่ขึ้นเกยหาดเป็นปลาชนิดเดียวกันเกือบทั้งหมด มีขนาดตัวใกล้เคียงกัน คาดว่ามาจากเรือประมงขนาดใหญ่ ปลาเหล่านี้อาจหลุดมาจากเครื่องมือทำการประมง โดยชนิดปลาที่พบ คือ ปลาตะเพียนน้ำเค็ม หรือปลาโคก หรือปลามักคา เป็นปลาน้ำเค็ม และน้ำกร่อย พบได้ตามธรรมชาติ และทางเทศบาลเมืองแสนสุข ได้ดำเนินการทำความสะอาดบริเวณชายหาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนข้อมูลคุณภาพน้ำเบื้องต้นจากสถานีตรวจวัดน้ำอัตโนมัติที่ศรีราชา สถานีที่อยู่ใกล้เคียงมากที่สุด ข้อมูลวันที่ 11 มี.ค. 2566 เวลา 17.00 น. อุณหภูมิ 29.32 องศา ความเค็ม ความอิ่มตัวออกซิเจนละลายในน้ำ มีผลคุณภาพน้ำโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ปกติ ชาวประมงพื้นบ้านชี้ต้นเหตุเรือประมงขนาดใหญ่ กลุ่มประมงพื้นบ้านหมู่ 14 หาดวอนนภา จ.ชลบุรี ให้ข้อมูลกับทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ ว่า เหตุการณ์ปลาตายเกลื่อนบนหาดบางแสน ส่งผลถึงภาพลักษณ์การท่องเที่ยว และยอดขายอาหารทะเลในพื้นที่ เบื้องต้นถ้าวิเคราะห์จากประสบการณ์ทำประมงพื้นบ้าน ไม่น่าจะเป็นเหตุมาจากน้ำเน่าเสีย เพราะถ้าน้ำเสีย จะมีปลาตายในพื้นที่เป็นวงกว้างมากกว่านี้ สำหรับปลาที่ตายเกลื่อนบนหาดบางแสน เป็นปลากลุ่มที่หากินอยู่ตามโขดหิน คาดว่ามาจากเรือประมงขนาดใหญ่ ที่เดินทางออกไปหาปลาในระยะทางที่ไกลจากฝั่ง แล้วมีเหตุทำให้ต้องทิ้งปลาพวกนี้ลงทะเล แต่โดยปกติปลากลุ่มนี้จะขายไม่ได้ราคา ส่วนใหญ่ชาวประมงเมื่อได้มา จะนำไปขายให้กับผู้ที่รับซื้อนำไปทำเป็นอาหารสัตว์ "ปลาที่เจอเกยตื้น ชาวประมงจะเรียกว่า ปลาโกยทิ้ง ขายไม่ได้ราคา ส่วนใหญ่นำไปขายเป็นหัวอาหารสัตว์ ราคากิโลกรัมละไม่ถึง 10 บาท ชาวประมงในพื้นที่ส่วนใหญ่พอได้มาจะไม่ค่อยปล่อยทิ้งลงทะเล แต่นำไปขายต่อ ซึ่งกรณีนี้มีปลาที่ตายเกยตื้นบนหาดเป็นตัน น่าสงสัยว่าเรือประมงอาจมีอุบัติเหตุหรือไม่ เบื้องต้นในพื้นที่ไม่มีรายงานอุบัติเหตุเรือประมงล่ม" ปลาที่ชาวประมงได้แล้วขายไม่ได้ราคา เช่น ปลาหางโกย ส่วนใหญ่เมื่อเรือเทียบท่าแล้ว จะนำปลาไปขายให้กับผู้ที่รับซื้อ นำเข้าสู่กระบวนการบดไปทำเป็นอาหารเป็ดและไก่ ซึ่งมีฟาร์มหลายแห่งรับซื้อ เพราะถือเป็นอาหารสัตว์ที่มีราคาถูก "ปลาที่ตายมาเกยตื้นที่หาดไม่น่าจะมาจากภัยธรรมชาติ เพราะถ้าปลาน็อกน้ำ เพราะอุณหภูมิน้ำเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว จะมีปลาตายเกยตื้นหลากหลายชนิด ขณะเดียวกันปลาก็มีสภาพที่เน่าส่งกลิ่นเหม็นอย่างรวดเร็ว น่าจะเป็นปลาที่เรือประมงเก็บไว้ จนเริ่มเน่า เลยนำปลาทิ้งลงทะเล" เบื้องต้นชาวประมงพื้นบ้านในพื้นที่อยากให้หน่วยงานภาครัฐเข้ามาดูแลเรือประมงขนาดใหญ่ ที่สร้างผลกระทบดังกล่าว เพราะส่งผลต่อนักท่องเที่ยว และทำให้อาหารทะเลในพื้นที่ขายได้จำนวนลดลง ส่งผลถึงชาวประมงพื้นบ้าน และร้านอาหารทะเลในพื้นที่ชลบุรี. https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2651796 ****************************************************************************************************** น้ำทะเลหาดบางแสนกลับมาใสสะอาด หลัง จนท.เทศบาลเก็บกวาดปลาที่ลอยตายเกลื่อน ความคืบหน้าเหตุปลาลอยตายเกลื่อนหาดบางแสน ชาวประมงบอกปลาหลุดจากอวน ล่าสุด วันนี้เทศบาลเมืองแสนสุขให้ จนท.มาเก็บปลาทำความสะอาดทั้งหาดบางแสน ไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว น้ำทะเลกลับมาใสสะอาดแล้ว จากเหตุการณ์เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 11 มี.ค. 2566 ที่ผ่านมา ที่ชายหาดบางแสน ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี นักท่องเที่ยวตะลึงต่างเดินดูริมหาดที่มีปลาตายเกลื่อน เริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่า ซึ่งมีความยาวหลายกิโลเมตร ซึ่งทุกครั้งถ้ามีน้ำเปลี่ยนฤดู ก็จะเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติปลาตายแบบนี้ โดยครั้งนี้มีมากกว่าทุกครั้ง เพราะปลาที่ตายมีปลาชนิดเดียวกันจำนวนมาก โดยมีปลาชนิดอื่นน้อยกว่า ความคืบหน้าเช้าวันนี้ 12 มี.ค. 2566 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่หาดบางแสนที่พบปลาตายจำนวนมากนั้น ปรากฏว่าเช้านี้ไม่มีปลาหลงเหลืออยู่แม้แต่ตัวเดียว หาดบางแสนสะอาด มีประชาชนเดินทางมาเล่นน้ำตั้งแต่เช้ากันจำนวนมาก โดยมีทั้งเด็กเล็กและชาวบ้านที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด สอบถามนักท่องเที่ยว เผยว่า อยากให้ช่วยกันรักษาความสะอาด แม้กระทั่งนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวแล้ว ก็ควรเก็บเศษขยะลงไปใส่ในถังขยะที่มีอยู่มากในพื้นที่ที่เขาจัดไว้ให้ ไม่ควรทิ้งไว้ให้มันสกปรก หากลงทะเลไปก็ทำให้น้ำไม่ใสสะอาด ไม่สวยงาม และที่ว่าชาวประมงทิ้งปลานั้น ก็อยากให้ทางด้านเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้น ตรวจสอบทำการจับกุมให้เป็นตัวอย่างด้วย ด้าน นายชนะธร พูนขุนทด อายุ 44 ปี ชาว จ.สมุทรปราการ เปิดเผยว่า ตนก็เคยเห็นแต่ในข่าว แต่มาแล้ววันนี้ไม่พบ แต่ยังมีเศษขยะทิ้งอยู่ ก็อยากฝากบอกให้ประชาชนที่มาเที่ยวช่วยกันเก็บขยะให้เรียบร้อย อย่าทิ้งขยะให้เป็นที่รกหูลูกตาคนอื่นสถานที่ท่องเที่ยวบางแสนนั้น เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศไทย ฉะนั้นแล้วไม่ควรทำให้สกปรก จากการตรวจสอบพบว่า นายณรงค์ชัย คุณปลื้ม นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองแสนสุขนั้น ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและเจ้าหน้าที่สิ่งแวดล้อม มากำจัดเก็บไปทิ้ง ทำให้ชายหาดบางแสนกลับมาสวยงามดังเดิม. https://www.thairath.co.th/news/local/east/2651580
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย
จับแพร้านอาหารอ่าวสะปำ ขายเมนูเปิบพิสดาร ปลาไหลมอเรย์ ภูเก็ต 12 มี.ค.- เจ้าหน้าที่บุกจับแพร้านอาหาร 2 แห่ง ที่อ่าวสะปำ จ.ภูเก็ต ขายเมนูเปิบพิสดาร ปลาไหลมอเรย์ เจอของกลางปลาสวยงามห้ามครอบครองเพียบ หลังจากมีผู้ใช้ TikTok รายหนึ่งโพสต์คลิปเมนู "เปิบพิสดาร ปลาไหลมอเรย์" แพร้านอาหารทะเลภายในอ่าวสะปำ ต.เกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ต เป็นลักษณะแพกลางทะเล โดยจะรับซื้ออาหารทะเลสด ๆ จากชาวประมงมาประกอบอาหาร และพบว่ามีปลาไหลมอเรย์ รวมอยู่ด้วย โดยในคลิปทางร้านระบุว่า ปลาไหลมอเรย์ สามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลายเมนู โดยเฉพาะนึ่งซีอิ๊วกับทอดกระเทียม จากนั้นนักรีวิวอาหารได้ตกลงซื้อปลาดังกล่าวในราคา 700 บาท เพื่อนำไปทอดกระเทียมและนึ่งซีอิ๊ว โดยในช่วงท้ายคลิป ได้ลองชิมปลาไหลมอเรย์นึ่งซีอิ๊วให้ดู และบอกว่าเนื้อปลาไหลชนิดนี้มีรสชาตินุ่มอร่อยเหมือนปลาเก๋า และปลาหิมะ หลังจากภาพรีวิวเผยแพร่ออกไป ก็เกิดการวิจารณ์เป็นวงกว้าง สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 10 (สทช.10) โดยศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลจังหวัดภูเก็ต ร่วมกับศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ลงพื้นที่ตรวจกรณีมีการฝ่าฝืนประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พบว่าแพร้านอาหารทะเลบริเวณอ่าวสะปำ มีการจำหน่ายปลาไหลมอเรย์ ซึ่งเป็นปลาสวยงามตามบัญชี 3 ท้ายประกาศกระทรวงฯ พร้อมจับกุมผู้กระทำความผิดจำนวน 2 ราย ร้านแรก พบของกลาง ปลาผีเสื้อนกกระจิบ 2 ตัว ปลาโนรี 2 ตัว ปลาสิงโต 2 ตัว ปลาวัวส้ม 1 ตัว ปลาไหลมอเรย์ 5 ตัว ส่วนร้านที่ 2 พบของกลางเป็น ปลาสิงโต 1 ตัว ปลาโนรี 2 ตัว ปลาปักเป้าหน้าหมา 1 ตัว โดยแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดฐานฝ่าฝืน ข้อ 11 (8) ห้ามจับหรือครอบครองปลาสวยงามในบัญชี ก่อนที่จะนำผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองภูเก็ต ดำเนินคดีต่อไป ปลาไหลมอเรย์ ส่วนใหญ่มีสีสันลวดลายสวยงาม บางชนิดที่มีขนาดเล็ก ยาวไม่เกิน 2 ฟุต อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำกร่อยหรือน้ำจืดได้ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามาม ไม่ใช่เพื่อการบริโภค นายสุชาติ รัตนเรืองสี ผู้อำนวยการศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลจังหวัดภูเก็ต สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 10 (สทช.10) กล่าวว่า นอกจากพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ขณะนี้ได้รับการร้องเรียนว่ายังมีร้านจำหน่ายอาหารทะเลหรือซีฟู้ดอีกหลายแห่งที่มีกระชังเลี้ยงปลาเป็นของตัวเอง แอบลักลอบนำปลาสวยงามมาทำเมนูจำหน่ายให้กับลูกค้า แต่จะไม่มีการระบุชื่อเมนูของปลาสวยงามไว้ในเมนูหลัก เพราะรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถนำมาทำเมนูอาหารได้ จึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบต่อไป. https://tna.mcot.net/region-1132230 ****************************************************************************************************** กรม ทช. เผยปลาตายเกยหาดบางแสนหลุดจากเครื่องมือประมง ชลบุรี 12 มี.ค. ? กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตรวจสอบการตายของปลาที่ถูกน้ำทะเลซัดขึ้นเกยหาดบางแสน จังหวัดชลบุรี พบเกิดจากอวนแตก โดยปลาที่ตายเป็นเป็นปลาตะเพียนน้ำเค็มซึ่งขณะนี้เป็นฤดูชุกชุม นอกจากนี้ยังตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเล ไม่พบความผิดปกติใดๆ โดยอยู่ในเกณฑ์คุณภาพน้ำทะเลเพื่อการนันทนาการ ขณะนี้เทศบาลเมืองแสนสุขเก็บซากปลาและทำความสะอาดหาดเรียบร้อยแล้ว นายอภิชัย เอกวนากุล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกล่าวว่า ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันออก (ศวบอ.) สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 2 รายงานผลการตรวจสอบสาเหตุการตายของปลาที่ถูกน้ำทะเลซัดขึ้นมาเกยหาดบางแสน จังหวัดชลบุรีตามที่ได้รับแจ้งจากเทศบาลเมืองแสนสุขเมื่อเวลาประมาณ 17:20 น. พบการขึ้นเกยหาดของปลาทะเลจำนวนมากบริเวณชายหาดบางแสน ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี โดยพบว่า ปลาที่ตายเป็นปลาชนิดเดียวกันคือ ?ปลาตะเพียนน้ำเค็ม? ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Anodontostoma chacunda มีชื่อเรียกอีกว่า ปลาโคกหรือปลามักคา เป็นปลาน้ำเค็มและน้ำกร่อยชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาหลังเขียว ทั้งนี้ซากปลาที่เกยหาดมีขนาดใกล้เคียงกันทั้งหมด ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร จึงตรวจสอบข้อมูลจากเครือข่ายอนุรักษ์ ผู้ประกอบการแพปลา และเรือประมงในพื้นที่พบว่า เรือประมงอวนล้อมได้ออกจับปลาปลาตะเพียนน้ำเค็มที่ชุกชุมมากในระยะนี้ ปริมาณที่จับได้มากถึงวันละหลายหมื่นกิโลกรัม โดยขณะทำการประมง อวนที่จับปลาเกิดขาด ทำให้ปลาที่จับได้หลุดลอยและถูกคลื่นลมซัดไปเกยบริเวณชายหาดบางแสน ต่อมาเทศบาลเมืองแสนสุขได้จัดเก็บซากปลาทั้งหมดออกจากชายหาดบางแสน มีน้ำหนักรวมโดยประมาณ 8,000 กิโลกรัม และทำความสะอาดชายหาดเรียบร้อยแล้ว พร้อมกันนี้ได้ตรวจสอบคุณภาพน้ำเพื่อหาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยข้อมูลคุณภาพน้ำเบื้องต้นจากสถานีตรวจวัดน้ำอัตโนมัติที่ศรีราชาซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ใกล้เคียงมากที่สุด (วันที่ 11 มีนาคม 2566 เวลา 17:00 น.) อุณหภูมิ 29.32 องศาเซลเซียส ความเค็ม 31.70 PSU ความอิ่มตัวออกซิเจนละลายในน้ำ 270.30% ความเป็นกรด-ด่าง 8.33 อยู่ในเกณฑ์คุณภาพน้ำทะเลเพื่อการนันทนาการ สำหรับ "ปลาตะเพียนน้ำเค็ม" เป็นปลาที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ สามารถจำหน่ายได้ในราคา 30-40 บาท/กิโลกรัม ในช่วงนี้มีความชุกชุมมากในพื้นที่ตำบลแสนสุขและใกล้เคียง สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนชายฝั่งจำนวนมาก แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของจังหวัดชลบุรี ทางศวบอ. ได้กำชับเรือประมงให้ทำการประมงด้วยความระมัดระวังเพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง. https://tna.mcot.net/environment-1131990
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
ฝุ่น PM 2.5 : ผลวิจัยชี้โลกแทบไม่มีสถานที่ปลอดมลพิษทางอากาศอีกแล้ว หมอกควันและฝุ่นพิษปกคลุมเหนือนครลอสแอนเจลิสของสหรัฐฯ 11 มีนาคม 2023 ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาตินำโดยมหาวิทยาลัยโมนาชของออสเตรเลีย เผยผลการศึกษาด้านมลพิษทางอากาศที่จัดทำขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก โดยพบว่าตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา มีประชากรโลกเพียง 0.001% ได้รับอากาศบริสุทธิ์ที่มีมลพิษในระดับต่ำ ทำให้ปัจจุบันแทบจะไม่มีสถานที่แห่งใดในโลกปลอดจากหมอกควันและฝุ่นพิษอีกแล้ว ผลวิจัยดังกล่าวซึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ The Lancet Planetary Health ระบุว่าข้อมูลระหว่างปี 2000 - 2019 ชี้ว่าคุณภาพอากาศทั่วโลกมีแนวโน้มย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งปี 2019 เมืองต่าง ๆ ทั่วโลกมีจำนวนวันที่ค่ามลพิษรวมทั้งฝุ่นละเอียด PM 2.5 สูงเกินมาตรฐานบ่อยถึง 70% หรือเกือบตลอดทั้งปี ทั่วทุกภูมิภาคของโลกยังมีค่าเฉลี่ยความหนาแน่นของฝุ่นพิษดังกล่าวถึง 32.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกินกว่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ถึงสองเท่า มีการติดตามเก็บข้อมูลจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ 5,446 แห่ง ใน 65 ประเทศ ตลอดระยะเวลาร่วม 20 ปี ทำให้พบว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกมีสภาพการณ์ด้านมลพิษทางอากาศเลวร้ายที่สุดในโลก โดยมีค่าเฉลี่ยความหนาแน่นของฝุ่นพิษ PM 2.5 สูงถึง 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรในแต่ละปี รองลงมาคือภูมิภาคเอเชียใต้ซึ่งมีค่าเฉลี่ยของ PM 2.5 อยู่ที่ 37.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนอันดับสามคือภูมิภาคแอฟริกาเหนือที่ 30 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร อย่างไรก็ตาม มีบางส่วนของโลกที่ปริมาณของฝุ่นพิษยังคงไม่สูงมากนัก โดยออสเตรเลียและนิวซีแลนด์มีค่าเฉลี่ยของ PM 2.5 ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเพียง 8.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตามมาด้วยภูมิภาคโอเชียเนียและอเมริกาใต้ที่ 12.6 และ 15.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรตามลำดับ ส่วนแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงด้านมลพิษทางอากาศของทั่วโลก ตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่าฝุ่น PM 2.5 ในภูมิภาคยุโรปและอเมริกาเหนือมีแนวโน้มลดต่ำลง ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียใต้, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, อเมริกาใต้, และหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียนกลับมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น มลพิษจากฝุ่น PM 2.5 มักมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามฤดูกาล โดยในทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนและภาคเหนือของอินเดีย การเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อให้ความอบอุ่นในครัวเรือน ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศในปริมาณสูงสุดในช่วงฤดูหนาว แต่แถบชายฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือและทางตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย ไฟป่าคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศในช่วงฤดูร้อน ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศถึง 8 ล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝุ่นละเอียด PM 2.5 นั้น สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจส่วนลึกและเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดโรคร้ายแรงอย่างเช่นมะเร็งปอด, โรคหัวใจ, และโรคหลอดเลือดสมองได้ https://www.bbc.com/thai/articles/cy9d4ql1xjpo
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|