เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 01-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนในหลายพื้นที่ ในขณะที่บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้แล้ว ประกอบกับลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทยและประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย

ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามัน มีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงสูงเนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อน และมีการระบายอากาศที่ไม่ดี


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 34-37 องศาเซลเซียส
ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 1 - 6 มี.ค. 67 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 1 - 3 มี.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ประกอบกับลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ในขณะที่ประเทศไทยมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง กับลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่

ในช่วงวันที่ 1 ? 3 มี.ค. 67 ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันมีทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 4 - 6 มี.ค. 67 ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองที่อาจจะเกิดขึ้น ตลอดช่วง

โดยในช่วงวันที่ 1 - 3 มี.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 01-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ติดตามแมงดาทะเลเพื่อหาวิธีป้องภัย



สัตว์ทะเลที่มีหางเป็นสันอย่างแมงดาทะเล ต้องเผชิญกับภัยคุกคามมากมาย ไม่ว่าการสูญเสียชายหาดที่เป็นสถานที่ช่วยระวังรักษาลูกแมงดาทะเล การติดแหจับปลา การถูกมนุษย์นำไปเป็นอาหาร แมงดาทะเลถูกขนานนามว่า "ฟอสซิลที่มีชีวิต" พวกมันมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศชายฝั่ง เป็นแหล่งอาหารหลักสำหรับ "นกลุยน้ำ" และช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจถึงวิวัฒนา การของแมงดาทะเล

เมื่อเร็วๆนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมูลนิธิอนุรักษ์โอเชียน ปาร์ค ฮ่องกง (OPCFHK) ได้ปล่อยแมงดาทะเลโตเต็มวัยชุดแรกลงในอ่าวตุงชุง ใกล้สนามบิน เพื่อติดตามและตรวจสอบรูปแบบการเคลื่อนไหวและการผสมพันธุ์ของแมงดาทะเลเหล่านี้ ทีมเผยว่าได้ใช้เทคโนโลยีการตรวจวัดระยะไกลอัตโนมัติ ด้วยเสียงใต้น้ำระบบแรก ซึ่งการวัดอุณหภูมิของน้ำในการวิจัยนี้ยังสามารถตรวจสอบสถานการณ์ภาวะโลกร้อนทางอ้อมได้อีกด้วย

ทั้งนี้ แมงดาทะเลจีน (tachypleus tridentatus) และแมงดาทะเลหางกลม (carcinoscorpis rotundicauda) เป็น 2 สายพันธุ์ในจำนวน 4 สายพันธุ์แมงดาทะเลทั่วโลก โดยพบได้ในน่านน้ำชายฝั่งฮ่องกง นักวิจัยประเมินว่าประชากรแมงดาทะเลในท้องถิ่น คาดว่าจะน้อยกว่า 10,000 ตัว ในขณะที่ ข้อมูลเกี่ยวกับประชากรแมงดาทะเลโตเต็มวัยก็ยังไม่เพียงพอ ทำให้ยากต่อการประมาณ การจำนวนสัตว์ชนิดนี้อย่างแม่นยำ.


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2766376

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 01-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์


ภาวะโลกเดือดเปลี่ยนแปลงชีวิตเราอย่างไร?

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อน ๆ หลายคนถามผมว่า "อากาศร้อนมากผิดปกติผมรู้สึกหรือไม่?" ผมตอบไปว่าแน่นอนเพราะกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศว่าเราเข้าหน้าร้อนอย่างเป็นทางการแล้ว



เมื่อวันที่ 21 ก.พ. ซึ่งเร็วกว่าในปีที่ผ่านมา และปกติใน กทม. เดือน ก.พ. จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ราว 34 องศาเซลเซียส พอเดือน มี.ค. ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 35 องศาเซลเซียส และพอถึงเดือน เม.ย. ช่วงสงกรานต์ อุณหภูมิก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 36 องศาเซลเซียส แต่ปีนี้แค่เดือน ก.พ. ก็รู้สึกเหมือนจะ 40 องศาเซลเซียสแล้ว

สำหรับคนที่อยู่ในห้องแอร์ทั้งวัน ในเวลากลางวันคงจะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ แต่ผมได้พูดคุยกับคนที่ทำงานกลางแจ้ง เช่น คนงานก่อสร้าง โดยเฉพาะช่างมุงหลังคา เขาบอกว่าร้อนเหมือนอยู่กลางกองไฟเลย ส่วนเกษตรกรก็บอกว่าร้อนมาก แถมแล้งด้วย ต้นไม้พืชพรรณแห้งตายไปจำนวนมาก ขณะที่ชาวประมงบอกว่านํ้าทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้นมาก น่าจะมาจากผลกระทบของ El Nino และนอกจากนํ้าทะเลในเขตศูนย์สูตรจะร้อนขึ้นแล้ว ช่วงนี้ยังจับปลาได้ยากขึ้น จนต้องออกทะเลไปในที่ลึกมาก ๆ

ส่วนนักกีฬากลางแจ้ง เรารู้สึกได้ถึงความร้อนที่ระอุขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้เหงื่อออกมาก และหมดแรงเร็วกว่าปกติ และสิ่งที่ต้องระมัดระวังที่สุดคือ Heat Stroke ที่อาจทำให้เสียชีวิตได้อย่างฉับพลัน ดังนั้น การดื่มนํ้าบ่อย ๆ และใช้ผ้าเย็นลดอุณหภูมิ จะช่วยทุเลาและลดความเสี่ยงได้ ซึ่งถ้าเรายังปล่อยคาร์บอนกันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ อีกไม่นานกลางวันเราก็คงใช้ชีวิตกลางแจ้งไม่ได้เลย แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง เราสามารถทำได้ ดังนี้?

1. เพิ่มพื้นที่สีเขียวในบ้าน สำหรับบ้านพักอาศัย การปลูกต้นไม้ใหญ่ทางทิศตะวันตกและทิศใต้ จะช่วยบังแดดบ่าย และลดความร้อนของบ้านลงได้ แค่เลือกตำแหน่งและทรงพุ่มให้เหมาะสม เพื่อให้ได้ร่มเงาและโปร่งพอที่จะมีช่องให้ลมพัดผ่านได้

2. การปรับปรุงบ้านเพื่อลดความร้อน ลองหาทางเพิ่มความยาวของชายคา เพื่อเพิ่มร่มเงา ใส่ฉนวนกันความร้อนใต้หลังคา และฝ้าเพดาน รวมทั้งเพิ่มฉนวนกันความร้อน หรือทำผนังสองชั้นตรงผนังด้านทิศใต้ และทิศตะวันตก พร้อมทั้งติดฟิล์มกรองแสง กันความร้อนและ UV ที่กระจกในบริเวณนั้นด้วย นอกจากนี้อาจจะเพิ่มระแนงไม้เลื้อย หรือสวนแนวตั้งในบริเวณที่รับแดดบ่ายด้วยก็ได้

3. ช่วยกันเพิ่มพื้นที่สีเขียวในชุมชน ช่วยกันปลูกต้นไม้ใหญ่ เพิ่มพื้นที่สวน เพิ่มพื้นที่เก็บนํ้า เช่น ขุดบ่อ ขุดสระ นํ้าจะช่วยลดอุณหภูมิ และยังเป็นพื้นที่เก็บนํ้าไว้ใช้รดนํ้าต้นไม้ได้ด้วย

4. ต้องไม่ปลดปล่อยคาร์บอนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศโดยไม่จำเป็น โดยนอกจากการปรับตัวให้สู้กับความร้อนแล้ว เรามีหน้าที่นี้ที่ต้องช่วยกัน โดยนักวิทยาศาสตร์บอกว่าแต่ละคนต้องไม่ปล่อยคาร์บอนเกินคนละ 2 ตันต่อปี ซึ่งคนเมืองแบบเรามีค่าเฉลี่ยการปล่อยคาร์บอนราว 10 ตันต่อคนต่อปี ซึ่งเราต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตโดยด่วน เช่น ลดการใช้พลังงาน ลดการเดินทางที่ปลดปล่อยคาร์บอนสูง เดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ จักรยาน หรือเดิน ลดการซื้อของใหม่ไม่จำเป็น และใช้ชีวิตแบบ Minimal รวมทั้งเลือกกินอาหารที่มาจากพืชมากกว่าเนื้อสัตว์ เป็นต้น

5. ช่วยกันรณรงค์ให้เพื่อนตระหนักถึงอนาคตที่วิกฤติจากภาวะโลกเดือด และช่วยกันเรียกร้องผลักดันให้เกิดนโยบายใหม่ ๆ ที่เร่ง Net Zero เพื่อลดภาวะโลกเดือด และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ

ทั้งนี้ ในระหว่างที่โลกของเราร้อนขึ้นเรื่อย ๆ อุณหภูมิที่แตกต่างกันอย่างมากระหว่างกลางแจ้งและในร่มเงา บนท้องถนน เราจะเห็นมอเตอร์ไซค์จอดรอไฟแดงใต้เงาสะพานลอยมากกว่าในเส้นจราจรที่เตรียมไว้ให้ เราจะเห็นผู้คนแย่งชิงที่จอดรถใต้ร่มเงาของต้นไม้หรือใต้เงาตึก เมื่อร่มเงามีคุณประโยชน์ และมีความหมายกับผู้คนอย่างมาก ถึงเวลาหรือยังที่เราจะเพิ่มพื้นที่สีเขียว ทั้งแนวราบและแนวตั้ง เพื่อเพิ่มร่มเงารอบ ๆ ตัวเรา และที่สำคัญเราอยากได้ "พื้นที่สีเขียว" ให้เป็นวาระแห่งชาติ และแห่งโลกใบนี้


https://www.dailynews.co.th/news/3217244/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 01-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์


สารคดีเจาะลึกโศกนาฏกรรมเรือดำน้ำ "ไททัน" เผยคลิปเสียงเคาะลึกลับ ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน

ทีมงานสารคดีเจาะลึกเหตุการณ์สะเทือนขวัญใต้ทะเลที่โด่งดังที่สุดเมื่อปีที่แล้ว เปิดเผยคลิปเสียงที่ไม่เคยมีการเผยแพร่มาก่อนโดยคาดว่าเป็นเสียงที่ดังมาจากเรือดำน้ำ "ไททัน" ก่อนที่จะระเบิดและทำให้ผู้โดยสารในเรือเสียชีวิตทั้งหมด


เครดิตภาพ : AFP.

ช่วงเดือนมิ.ย. 2566 ชาวโลกตื่นตระหนกกับข่าวใหญ่เมื่อเกิดเหตุโศกนาฏกรรมระหว่างการนำชมซากเรือ "ไททานิก" ที่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติกด้วยเรือดำน้ำ "ไททัน" ของบริษัทโอเชียนเกต ทำให้ผู้โดยสารของเรือพร้อมด้วยเจ้าของบริษัท รวม 5 ชีวิตที่อยู่ในเรือเสียชีวิตทั้งหมด

วานนี้ (28 ก.พ. 2567) ได้มีการเผยแพร่คลิปเสียงซึ่งระบุว่าเป็นเสียงจากเรือดำน้ำ ไททัน โดยเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์สารคดีเรื่อง "The Titan Sub Disaster: Minute by Minute" ซึ่งมีกำหนดการออกอากาศในวันที่ 6-7 มี.ค. ที่จะถึงนี้ ทางช่อง 5 ของประเทศอังกฤษ

ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้มีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอรายละเอียดการเดินทางสู่ใต้ทะเลลึกของยานดำน้ำหรือเรือดำน้ำไททัน เพื่อชมซากเรือไททานิก รวมถึงบทวิเคราะห์และการถอดบทเรียนจากโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจนกระทั่งชีวิตผู้โดยสารและเจ้าของเรือทั้ง 5 คนต้องสิ้นสุดลง

ช่วงหนึ่งของสารคดีซึ่งเกี่ยวกับการระบุตำแหน่งของเรือดำน้ำไททันและพยายามติดต่อไปยังคนในเรือก่อนที่จะรู้ว่าเรือระเบิด ทีมงานจับสัญญาณเสียงซึ่งมีลักษณะเหมือนเสียงทุบหรือเคาะผนังหรือของแข็งบางอย่างที่ดังมากและเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ซึ่งทำให้ทีมค้นหามีความหวังว่าผู้โดยสารในเรืออาจจะยังมีชีวิตอยู่

ทีมงานของกองทัพอากาศแคนาดาก็ได้ยินเสียงทุบหรือเคาะดังกล่าวเช่นกัน นอกจากจะดังเป็นจังหวะแล้ว เสียงเคาะนี้ยังปรากฏขึ้นทุก ๆ 30 นาที ทำให้ทีมช่วยเหลือคาดว่าอาจจะเป็นเสียงเคาะจากคนในเรือไททันที่พยายามขอความช่วยเหลือ

อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นทีมผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถสรุปได้ว่า เสียงเคาะที่ดังเป็นจังหวะนั้นคืออะไรกันแน่ หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็สรุปได้ว่าเรือดำน้ำไททันเกิดระเบิดในลักษณะยุบตัวเข้าสู่ภายใน หลังจากดำลงใต้ผิวน้ำไปเพียง 1 ชม. 45 นาทีและทำให้คนในเรือเสียชีวิตทั้งหมดภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที

กระนั้น คลิปเสียงเคาะปริศนานี้ก็ได้สร้างกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ผู้ที่ได้รับชม?

ในตอนหนึ่งของสารคดี กัปตันไรอัน แรมซีย์ อดีตนายทหารประจำเรือดำน้ำของกองทัพเรือ แสดงความเห็นว่า เสียงในคลิปอาจจะเป็นเสียงคนเคาะอะไรบางอย่างจริง ๆ ก็ได้ เพราะมีการทิ้งช่วงจังหวะการเคาะที่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติ มันมีจังหวะจะโคน เหมือนใครบางคนกำลังส่งสัญญาณเสียง อีกทั้งเสียงเคาะดังกล่าวยังดังซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งที่ทำให้ดูไม่ใช่เรื่องปกติ

สำหรับการเก็บกู้ร่างของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เรือดำน้ำไททันระเบิดนั้น ทีมผู้เชี่ยวชาญได้แจ้งเตือนไว้ว่า อาจจะต้องทำใจว่าร่างของผู้เสียชีวิตจะไม่ครบสมบูรณ์หรือหาเจอทุกคน เนื่องจากสภาพแวดล้อมใต้ทะเลที่เป็นอุปสรรค

ขณะนี้ได้มีการเก็บกู้เศษซากของเรือไททันที่กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณเกิดเหตุได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งทุกชิ้นจะถูกส่งไปยังทีมตรวจสอบและสืบสวนเหตุการณ์ในครั้งนี้

ที่มา : ladbible.com


https://www.dailynews.co.th/news/3219604/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 01-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


"แหลมหาด" มัลดีฟส์เมืองไทยที่เกาะยาวใหญ่ ชายหาดสวยติดอันดับโลก



"แหลมหาด" หนึ่งในจุดท่องเที่ยวสำคัญในพื้นที่เกาะยาวใหญ่ อ.เกาะยาว จ.พังงา อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวอันซีนของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และล่าสุดได้รับการจัดอันดับว่าเป็นชายหาดที่ดีที่สุดในโลกอันดับที่ 21 จากการจัดลำดับของ World Beach Guide ประเทศอังกฤษ

"แหลมหาด" เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอันดับต้นๆ ของเกาะยาวใหญ่ เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความสวยงาม เป็นปลายแหลมเล็กๆ อยู่ระหว่างเกาะยาวใหญ่และเกาะยาวน้อย ส่วนการเดินทางมาท่องเที่ยวที่ "แหลมหาด" จะต้องดูเวลาน้ำขึ้นน้ำลงด้วย เพราะเราจะมีโอกาสเห็น "แหลมหาด" ที่ทอดยาวลงไปในทะเลหลายร้อยเมตรในช่วงที่น้ำลงเท่านั้น เมื่อน้ำลงชายหาดที่มีทรายขาวสะอาดจะค่อยๆ โผล่ทอดตัวยาวท่ามกลางน้ำทะเลสีฟ้าสดใส และหาดทรายที่นี่จะมีสีขาวละเอียดไม่เหมือนที่ไหน หากไปช่วงเย็นผืนทรายจะเป็นสีทองสวยงามอีกแบบหนึ่ง

แหลมหาดได้รับการขนานนามว่าเป็น "มัลดีฟส์เมืองไทย" อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งชื่อนี้ได้มาไม่เกินจริง ใครที่ได้มาเที่ยวเป็นต้องประทับใจกับหาดทรายขาวเนียนละเอียดที่ยื่นเป็นปลายแหลมลงไปในท้องทะเลสวยใส กลายเป็นจุดถ่ายรูปที่สวยและแปลกตาโดยเฉพาะการถ่ายภาพมุมสูงจากโดรน และชายหาดแห่งนี้เคยเป็นสถานที่ในการถ่ายทำภาพยนตร์ฮอลลีวูดมาแล้ว ในเรื่อง The Mechanic Resurrection 2 (เดอะ แมคคานิค 2) ทำให้มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเที่ยวชมกันเป็นจำนวนมาก


https://mgronline.com/south/detail/9670000018243

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 01-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


รู้ไหม "ชายหาด" คือ สมบัติแผ่นดิน ครอบครองส่วนตัวไม่ได้-ใช้ประโยชน์ร่วมกัน



รู้ไหม "ชายหาด" คือ สมบัติแผ่นดิน เป็นพื้นที่สาธารณะประโยชน์ ครอบครองส่วนตัวไม่ได้-พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่สามารถซื้อ-ขาย และทำธุรกรรมการเงินได้

จากรณีเดือดในโลกโซเชียล นำไปสู่การถกสนั่น ถึงประเด็น 'พื้นที่ชายหาดติดทะเล' นั้น บุคคลหรือบริษัทสามารถครอบครองเป็นพื้นที่ส่วนตัวได้หรือไม่

สรุปข้อกฎหมาย ไขข้อข้องใจเกี่ยวกับการจับจองที่ดินชายหาด สามารถครอบครองชายหาดได้ไหม, ซิ้อ-ขาย ทำธุรกรรมการเงิน ชายหาดได้หรือไม่ วันนี้ ข่าวสดออนไลน์ รวบรวมมาให้แล้ว

ชายหาด หมายถึง ที่ดินที่น้ำทะเลขึ้นและลง ท่วมถึงจรดแค่แนวพันธุ์พืช และพันธุ์ไม้ของแผ่นดิน จากจุดนี้ลงไปสุดทะเล เป็นชายหาด


สามารถครอบครองชายหาดได้ไหม ?

ชายหาด เป็นพื้นที่สาธารณะห้ามครอบครอง นับเป็นสมบัติของแผ่นดินที่ให้ประชาชนใช้ร่วมกัน บุคคลใดจะยึดถือครอบครองหรือยกเอาอายุความขึ้นต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดไม่ได้ ดังนั้นจึง ไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของชายหาดได้

อ้างอิงจาก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 บัญญัติไว้ว่า สาธารณะสมบัติของแผ่นดินนั้น รวมทรัพย์สินทุก ชนิดของแผ่นดิน ซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อ ประโยชน์ร่วมกัน เช่น

1. ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้งหรือ กลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่น ตามกฎหมายที่ดิน

2. ทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เป็นต้นว่า ที่ชายตลิ่ง ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ

3. ทรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นต้นว่า ป้อมและโรงทหาร สำนักราชการบ้านเมือง เรือรบ อาวุธยุทธภัณฑ์


สามารถ ซิ้อ-ขาย ทำธุรกรรมการเงิน ชายหาดได้หรือไม่

จาก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305 ทรัพย์สินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นจะโอนแก่กันไม่ได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะ หรือพระราชกฤษฎีกา

อีกทั้ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1306 ท่านห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน

จึงทำให้ ไม่สามารถซื้อ-ขาย ทำธุรกรรมการเงิน ชายหาดได้ เพราะว่าพื้นที่เหล่านี้จัดเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ใช้ประโยชน์ร่วมกัน


https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_8117922

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 01-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


ตื่นตาครั้งแรกเปิดภาพ "วาฬหลังค่อม" 2 ตัวผสมพันธุ์-สุดทึ่งเป็น "เพศเดียวกัน"

ตื่นตาครั้งแรก นักวิทยาศาสตร์พบหลักฐานยืนยัน วาฬหลังค่อม 2 ตัวผสมพันธุ์ สุดทึ่งทั้งสองตัวเป็นเพศเดียวกัน



เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานว่า ทีมวิจัยจากมูลนิธิปลาวาฬแปซิฟิกในฮาวาย เผยแพร่งานวิจัย ที่สามารถสังเกตการณ์การผสมพันธุ์ระหว่างวาฬหลังค่อม 2 ตัวได้เป็นครั้งแรก และที่น่าตื่นเต้นไปกว่านั้นคือ วาฬทั้งสองตัวเป็นตัวผู้

ตามรายงานเผยว่า แม้การพบเห็นองคชาตของวาฬหลังค่อมตัวผู้นั้นเป็นเรื่องยากมาก และการผสมพันธุ์ของวาฬสายพันธุ์นี้ไม่เคยถูกบันทึกไว้มาก่อน จนกระทั่งช่างภาพ 2 คนของมูลนิธิมูลนิธิวาฬแปซิฟิกถ่ายภาพการปฏิสัมพันธ์ทางเพศระหว่างวาฬสองตัวนอกชายฝั่งฮาวายได้

ช่างภาพของทีมวิจัย 2 คน คือ ไลล์ ครานนิชเฟลด์ และแบรนดี โรมาโน ได้ไปถ่ายทำพฤติกรรมของวาฬทั้งสองตัวเพื่อศึกษา และพบว่า พวกมันทั้งคู่เป็นตัวผู้ ซึ่งถือเป็นหลักฐานแรกของวาฬหลังค่อมที่มีความรักแบบเพศเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของอาณาจักรสัตว์ อย่างโลมาและวาฬเพชฌฆาตก็มีการผสมพันธุ์เพศเดียวกันเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม การพบเห็นดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือน ม.ค. 2566 ในน่านน้ำทางตะวันตกของเกาะเมาวี โดยวาฬ 2 ตัวว่ายเข้ามาและวนเวียนอยู่ใกล้เรือของทีมวิจัย ก่อนจะผสมพันธุ์กันบริเวณข้างใต้เรือ ลึกลงไปประมาณ 3-5 เมตร

ขณะเดียวกัน นักวิจัยกล่าวว่า การค้นพบนี้ท้าทายความคิดของเราเกี่ยวกับพฤติกรรมของวาฬหลังค่อม แม้ว่าเราจะทราบถึงโครงสร้างทางสังคมที่ซับซ้อนของสิ่งมีชีวิตที่น่าทึ่งนี้มานานแล้ว แต่การได้เห็นวาฬตัวผู้ผสมพันธุ์กันเป็นครั้งแรกถือเป็นเหตุการณ์ที่พิเศษและน่าทึ่ง

ในระหว่างการผสมพันธุ์ ทีมวิจัยพบว่า มีวาฬตัวหนึ่งจับวาฬอีกตัวไว้ด้วยครีบอก ซึ่งไม่กี่ครั้งที่การพบเห็นองคชาติของวาฬตัวผู้ เนื่องจากปกติมักจะถูกซ่อนไว้ในสิ่งที่เรียกว่า "ร่องอวัยวะเพศ" เพื่อให้มันคล่องตัวยิ่งขึ้นขณะว่ายน้ำ

ทั้งนี้ วาฬหลังค่อมเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ โดยมีความยาวได้ถึง 16 เมตร และมีน้ำหนักมากถึง 36 ตันเทียบเท่ากับรถบัสหลายคัน ปกติพวกมันมักจะใช้เวลาช่วงฤดูร้อนหาอาหารในน่านน้ำขั้วโลก ก่อนจะอพยพไปยังเขตร้อนที่อบอุ่นกว่าในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว


https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_8117356

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #8  
เก่า 01-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


กู้ 'เรือหลวงสุโขทัย' วันที่ 8 ถอดแท่นยิงตอร์ปิโด-ระบบจำลองลูกอาวุธปล่อยนำวิถี



เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 เพจเฟซบุ๊ก "กองทัพเรือ Royal Thai Navy" ได้โพสต์คลิปวีดีโอการปฏิบัติการค้นหาและปลดวัตถุอันตรายเรือหลวงสุโขทัย วันที่ 8 พร้อมข้อความระบุว่า การปฏิบัติการค้นหาและปลดวัตถุอันตรายเรือหลวงสุโขทัย สามารถถอดถอนแท่นยิงตอร์ปิโดกราบขวา และระบบจำลองลูกอาวุธปล่อยนำวิถีได้สำเร็จ

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งเป็นการปฏิบัติการค้นหาและปลดวัตถุอันตรายเรือหลวงสุโขทัย เป็นวันที่ 8 โดยชุดปฏิบัติการร่วมของกองทัพเรือไทยและกองทัพเรือสหรัฐ ฯ บนเรือ Ocean Valor ที่จอดเรืออยู่บริเวณอ่าวไทยใกล้จุดที่เรือหลวงสุโขทัยอับปาง โดยมีการดำน้ำ จำนวน 5 เที่ยว มีภารกิจในการค้นหาผู้สูญหาย บริเวณตัวเรือและห้องเรดาร์ การสำรวจและถอดถอนท่อยิงตอร์ปิโด และถอดถอนระบบจำลองลูกอาวุธปล่อยนำวิถี เพื่อทำลายขีดความสามารถ

โดยผลการปฏิบัติ ยังไม่พบผู้สูญหายบริเวณพื้นที่ที่สำรวจ สามารถถอดถอนแท่นยิงตอร์ปิโดกราบขวา (3 ท่อยิง) ขึ้นบนเรือ Ocean Valor ได้สำเร็จ และถอดถอนระบบจำลองลูกอาวุธปล่อยนำวิถีได้สำเร็จ กำลังพลทุกนายปลอดภัย โดยพื้นที่ปฏิบัติงานมีภาวะคลื่นลมแรง ความสูงคลื่น 1 ? 1.5 เมตร ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงาน

ทั้งนี้ กองทัพเรือได้เปิดเผยภาพการปฏิบัติการใต้น้ำในการถอดถอนท่อยิงอาวุธปล่อยนำวิถีฮาร์พูน และแท่นยิงตอร์ปิโด ซึ่งชุดปฏิบัติการร่วม ได้ดำเนินการระหว่าง วันที่ 27-29 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

สำหรับการปฏิบัติการ ในวันพรุ่งนี้ จะยังคงมีการปฏิบัติการดำน้ำร่วมกัน จำนวน 4 เที่ยว ในการค้นหาผู้สูญหาย บริเวณห้องศูนย์ยุทธการภายในตัวเรือ รวมถึงทำการปลดขีดความสามารถของระบบจำลองของอาวุธปล่อยนำวิถีฮาร์พูน โดยผลการปฏิบัติจะแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป


https://www.naewna.com/local/790332

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #9  
เก่า 01-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


'จีน'เล็งขุดเจาะแอนตาร์กติกา สำรวจ'ทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็ง'ความลึกกว่า 3,600 เมตร

จีนเล็งขุดเจาะแอนตาร์กติกา สำรวจ 'ทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็ง' ความลึกมากกว่า 3,600 เมตร



29 ก.พ.67 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทีมสำรวจทางวิทยาศาสตร์ของจีนวางแผนขุดเจาะครอบน้ำแข็ง (ice cap) ในทวีปแอนตาร์กติกา เพื่อการสำรวจทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็งที่ฝังตัวอยู่ข้างใต้ครอบน้ำแข็ง ณ ความลึกมากกว่า 3,600 เมตร

เจียงซู นักวิจัยประจำสถาบันวิจัยขั้วโลกแห่งประเทศจีน เผยว่าทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็งฉีหลิน ซึ่งตั้งชื่อนี้โดยจีนเมื่อปี 2022 ตั้งอยู่ในดินแดนเจ้าหญิงเอลิซาเบธ (Princess Elizabeth Land) บริเวณแผ่นน้ำแข็งในแผ่นดินแอนตาร์ติกาตะวันออก ห่างจากสถานีไท่ซานของจีนราว 120 กิโลเมตร

จีนได้ตระเตรียมงานขั้นต้นบางส่วนสำหรับการขุดเจาะทางวิทยาศาสตร์นี้แล้ว ทว่ายังไม่มีการเปิดเผยกรอบเวลาการขุดเจาะที่แน่นอน โดยทีมสำรวจได้เข้าสู่พื้นที่ทะเลสาบเป็นครั้งแรกและดำเนินการตรวจสอบคัดเลือกจุดขุดเจาะ ขณะปฏิบัติการเดินทางสำรวจแอนตาร์กติก ครั้งที่ 40 ของประเทศ

เจียงกล่าวว่าทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็งฉีหลิน ซึ่งเป็นทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดอันดับสองเท่าที่เคยค้นพบในแอนตาร์กติกา มีประวัติศาสตร์การพัฒนาตัวที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างน้อย 3 ล้านปี ทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมจะสำรวจทะเลสาบและสิ่งมีชีวิตใต้ธารน้ำแข็ง

สถาบันวิจัยขั้วโลกแห่งประเทศจีนจะทำงานร่วมกับสถาบันวิจัยหลายแห่งในจีน เพื่อสร้างความคืบหน้าของเทคโนโลยีสำคัญ เช่น การขุดเจาะที่สะอาดและกู้คืนได้ การตรวจสอบในแหล่งกำเนิดและการเก็บตัวอย่างที่สะอาด การเก็บตัวอย่างทางจุลชีววิทยาในพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมเยือกแข็ง และการเฝ้าติดตามการปนเปื้อนทางจุลชีววิทยาในขั้นตอนขุดเจาะ
ด้านสโนว์ อีเกิล 601 (Snow Eagle 601) เครื่องบินปีกตรึงสำหรับการบินที่ขั้วโลกของจีน ได้ทำการบินสำรวจพื้นที่ดินแดนเจ้าหญิงเอลิซาเบธหลายรอบตั้งแต่ปี 2015 นำสู่การเก็บข้อมูลทางธรณีฟิสิกส์ที่ทำให้คาดว่าทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็งแห่งนี้มีพื้นที่พื้นผิว 370 ตารางกิโลเมตร และความลึกถึง 200 เมตร

ทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็งในแอนตาร์ติก ซึ่งถูกปกคลุมด้วยแผ่นน้ำแข็งยาว มีสภาพความดันสูง อุณหภูมิต่ำ สารอาหารต่ำ และมืดมิด ซึ่งถือเป็นข้อมูลจำเพาะเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางชีววิทยา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนวิวัฒนาการของแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติก

อนึ่ง การขุดเจาะทางวิทยาศาสตร์เป็นวิธีการเดียวในการเก็บตัวอย่างทางกายภาพจากทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็ง โดยตั้งแต่ปี 2012 สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และรัสเซีย ได้ดำเนินการขุดเจาะและเก็บตัวอย่างจากทะเลสาบใต้ธารน้ำแข็งในแอนตาร์กติกา จำนวน 3 แห่ง


https://www.naewna.com/inter/790319

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #10  
เก่า 01-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


'ปะการัง' ทั่วโลกรอวันตาย ไร้ทางรอด หากไม่ลดการปล่อย 'ก๊าซเรือนกระจก' ................ โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล


KEY POINTS

- "ปะการัง" ทั่วโลกกำลังอ่อนแอและฟอกขาวอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น ปะการังในอ่าวเม็กซิโกยังคงอ่อนแอแม้จะผ่านเหตุการณ์น้ำมันรั่วมา 13 ปี ขณะที่แนวปะการังในออสเตรเลียระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตรกำลัง "ฟอกขาว" เนื่องจากอุณหภูมิน้ำเพิ่มสูงขึ้น

- นักวิทยาศาสตร์กำลังหาทางช่วยเหลือสัตว์ที่บอบบางสายพันธุ์นี้อยากสุดกำลัง ด้วยการศึกษา "ปะการังโขด" ที่มีอายุหลายร้อยปี ว่าปัจจัยใดที่ทำให้มันผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน

- "ภาวะโลกร้อน" เป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของปะการัง หากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงรุนแรงมากยิ่งขึ้น จนค่าความเป็นกรดของมหาสมุทรเพิ่มสูงขึ้น หรืออุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปะการังอาจไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้




"ปะการัง" ทั่วโลกกำลังจะตาย โดยปะการังในอ่าวเม็กซิโกยังคงอ่อนแอแม้จะผ่านเหตุการณ์น้ำมันรั่วมา 13 ปีแล้วก็ตาม ขณะที่แนวปะการังในออสเตรเลียระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตรกำลัง "ฟอกขาว" เนื่องจากอุณหภูมิน้ำเพิ่มสูงขึ้น นักวิทยาศาสตร์เผย "ภาวะโลกร้อน" และ "ก๊าซเรือนกระจก" เป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของปะการัง

ปี 2024 ยังคงเป็นปีที่อันตรายสำหรับ "ปะการัง" สิ่งมีชีวิตที่สวยงาม และเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล เนื่องจากปะการังทั่วโลกกำลังอ่อนแอและฟอกขาวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กำลังหาทางช่วยเหลือสัตว์ที่บอบบางสายพันธุ์นี้อยากสุดกำลัง


"ปะการัง" ในอ่าวเม็กซิโกกำลังอ่อนแอ

การรั่วไหลของน้ำมันดิบจากแท่นขุดเจาะดีพวอเทอร์ฮอไรซัน (Deepwater Horizon) ในอ่าวเม็กซิโก เมื่อปี 2010 ยังคงสร้างบาดแผลให้แก่ "ปะการัง" ที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้น แม้ว่าเวลาจะผ่านมาถึง 13 ปีแล้วก็ตาม

นักวิทยาศาสตร์เปิดเผยในการประชุม Ocean Sciences ที่เมืองนิวออร์ลีนส์ ในสหรัฐ โดยจากการติดตามปะการังมากกว่า 300 ตัวตลอดช่วง 13 ปีหลังจากเกิดน้ำมันดิบรั่วไหลครั้งใหญ่ที่กินเวลานานถึง 87 วัน มีน้ำมันดิบ 134 ล้านแกลลอนรั่วไหลลงในมหาสมุทร

พบว่า ปะการังน้ำลึกยังคงได้รับความเสียหายตลอดมา ปะการังบางส่วนฟื้นตัวได้ไม่มาก แต่บางส่วนไม่สามารถฟื้นตัวได้เลย จนตายลงอย่างช้า ๆ

"เรารู้อยู่เสมอว่าสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลลึกใช้เวลานานในการฟื้นตัว แต่การศึกษานี้แสดงให้เห็นจริง ๆ ว่ามันต้องใช้เวลายาวนานเพียงใด แม้ว่าปะการังบางตัวจะแข็งแรงขึ้น แต่ก็น่าเศร้าปะการังที่ได้รับผลกระทบหนักยังคงพยายามเอาตัวรอด และบางตัวกลับทรุดโทรมลงแม้ผ่านมากว่า 10 ปีแล้วก็ตาม" แฟนนี จิราร์ด นักชีววิทยาทางทะเลและนักอนุรักษ์จากมหาวิทยาลัยฮาวาย ผู้นำการศึกษานี้กล่าว

หลังจากสถานการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลคลี่คลายไม่กี่เดือน นักวิจัยลงพื้นที่สำรวจพื้นที่โดยรอบ พวกเขาเจอกับปะการังพารามูริเซียที่มีลักษณะคล้ายต้นไม้ ถูกปกคลุมไปด้วยสารสีน้ำตาล และอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก

นักวิจัยกล่าวว่าปะการังใต้ทะเลลึกเป็นสัตว์กินอาหารที่แขวนลอยในน้ำ ทำให้อาจมีสารเคมีที่เป็นพิษและส่วนผสมของน้ำมันปนเปื้อนเข้าไปในร่างกาย ส่งผลให้เนื้อเยื่อปะการังเสียหาย และกระทบต่อสุขภาพจนสังเกตได้

ตั้งแต่ปี 2010-2023 นักวิทยาศาสตร์ได้ไปเยี่ยมชมสถานที่ทั้งสามแห่งนี้เพื่อติดตามความเสียหาย วัดอัตราการเติบโต และจดบันทึกการฟื้นตัวของปะการังมากกว่า 300 ตัว เพื่อทำความเข้าใจผลกระทบของน้ำมันที่มีต่อระบบนิเวศให้ดีขึ้น และหาทางแก้ไขที่ดียิ่งขึ้นเมื่อเกิดน้ำมันรั่วในอนาคต

ในปี 2022 ปะการังที่ได้รับความเสียหายจากน้ำมันดิบยังคงแสดงสัญญาณของความเครียด แม้ว่าสารสีน้ำตาลที่เคยเคลือบตัวพวกมันจะจางหายไปนานแล้ว แต่เมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ทำให้เห็นว่าปะการังอ่อนแอและมีแนวโน้มจะแตกหัก

อีกทั้งยังพบ "มูกทะเล" บริเวณกิ่งก้านของปะการังที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งมูกทะเลจะ??ดึงดูดแบคทีเรียและไวรัสเข้ามา รวมถึงอาจห่อหุ้มสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลทำให้หายใจไม่ออก นอกจากนี้ยังพบกลุ่มปะการังปรสิตอาศัยอยู่บนตัวของปะการังอีกด้วย

"ปะการังเหล่านี้อ่อนแอลงมาก บางส่วนไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้แล้ว บางตัวก็แย่ลงไปกว่าเดิม" จิราร์ดกล่าว


"ปะการัง" ความยาวเป็นพันกิโลเมตรกำลังฟอกขาว

ข้ามฟากมาอีกที่ซีกโลก ณ เกรตแบร์ริเออร์รีฟ ในออสเตรเลีย ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังเผชิญกับปัญหา "ปะการังฟอกขาว" และกำลังจะตายจากอุณหภูมิมหาสมุทรที่สูงขึ้นตลอดบริเวณดังกล่าว

สำนักข่าว The Guardian รายงานว่า ปะการังที่ทอดยาวมาจากบริเวณทางตอนเหนือของเกาะลิซาร์ด จนถึงทางตอนใต้ของเกาะเฮรอน ด้วยระยะทางมากกว่า 1,100 กม. กำลังเกิดการฟอกขาวครั้งใหญ่ โดยอุทยานทางทะเลเกรตแบร์ริเออร์รีฟและสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งออสเตรเลีย กำลังเตรียมการสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้น

ทางด้าน ดร.มายา ศรีนิวาสัน นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์วิจัยน้ำร้อนและระบบนิเวศทางน้ำ มหาวิทยาลัยเจมส์ คุก ได้ทำการสำรวจสถานที่ 27 แห่งบริเวณเกาะเคปเปล นอกเมืองร็อคแฮมป์ตันในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา พื้นที่ส่วนใหญ่มีปะการังฟอกขาว

"ฉันเห็นปะการังที่ตายแล้วและกำลังจะตายซึ่งเริ่มมีสาหร่ายปกคลุมมากเกินไป แต่ส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นจึงยังมีโอกาสที่ปะการังจะฟื้นตัวได้" เธอกล่าว

ก่อนหน้านี้ แนวปะการังที่ยาวที่สุดในโลกเคยผ่านเหตุการณ์การฟอกขาวครั้งใหญ่มาแล้ว 6 ครั้ง เป็นผลมาจาก "ภาวะโลกร้อน" ทำให้ความร้อนในมหาสมุทรเพิ่มขึ้น โดยครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้น คือในปี 2022 ทั้งที่เป็นช่วงปีลานีญา ที่มีอากาศเย็นกว่าปกติ

ดร.แอนน์ ฮอกเก็ตต์ ผู้อำนวยการสถานีวิจัยเกาะลิซาร์ดของพิพิธภัณฑ์ออสเตรเลียน กล่าวว่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ปะการังมีการฟอกขาวเป็นประจำ แต่โชคดีที่สภาพอากาศกลับมาเย็นได้ "ทันเวลา"

"มันเกิดขึ้นอีกแล้ว แต่ตอนนี้ยังแย่กว่าเดิม ปะการังจำนวนมากกำลังเครียด บางส่วนก็ฟอกขาวแล้ว วันนี้เราเห็นบางตัวตาย เราได้แต่หวังว่าสภาพอากาศจะกลับมาเย็นได้ทันเวลาอีกครั้ง" ฮอกเก็ตต์กล่าว

ตามข้อมูลจากองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ หรือ NOAA ระบุว่า ปะการังเป็นสัตว์ที่บอบบางมาก พวกมันไม่สามารถอาศัยในน้ำที่อุณหภูมิต่ำกว่า 18 องศาเซลเซียสได้ หลายชนิดเจริญเติบโตได้อย่างเหมาะสมในอุณหภูมิของน้ำระหว่าง 23?29องศาเซลเซียส แต่บางชนิดสามารถทนต่ออุณหภูมิที่สูงถึง 40 องศาเซลเซียสในช่วงเวลาสั้น ๆ

อีกทั้งแนวปะการังส่วนใหญ่ยังต้องการน้ำเค็ม โดยมีปริมาณความเค็มตั้งแต่ 32-42 ส่วนในพันส่วน แถมต้องการน้ำใสเพื่อให้แสงส่องผ่านได้ในปริมาณมากที่สุด เพราะปะการังต้องอาศัยสาหร่ายสังเคราะห์แสงที่เรียกว่า "ซูแซนเทลลี" ซึ่งอาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของพวกมัน ในการจัดหาอาหารให้แก่ปะการัง

ดังนั้น ภาวะโลกร้อนจึงเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของปะการัง เพราะปะการังจะสูญเสียสาหร่ายที่ให้สีและสารอาหารจำนวนมากหากอุณหภูมิของน้ำสูงเกินไป และหากเกิดการฟอกขาวรุนแรงอาจทำให้ปะการังตายได้ ถึงแม้ว่าปะการังจะรอดจากการฟอกขาวและได้สีกลับคืนมา ก็มีเสี่ยงเป็นโรคต่าง ๆ มากขึ้น และไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้อีก


"ปะการัง" พยายามปรับตัวอยู่รอดในโลกที่ร้อนขึ้น

แน่นอนว่าแนวทางการแก้ไขระยะยาวที่ดีที่สุดในการปกป้องแนวปะการัง คือ "การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก" ให้ได้มากที่สุด แต่ในระหว่างนี้เหล่านักอนุรักษ์และนักวิทยาศาสตร์ต่างกำลังเร่งรักษาชีวิตของปะการังที่บอบบางเหล่านี้อยู่ ด้วยการศึกษาวิธีการเอาตัวรอดจาก "ปะการังโขด"

ปะการังบางส่วนกำลังปรับตัวเพื่ออยู่รอดในโลกที่ร้อนขึ้นโดยเฉพาะปะการังโขด ปะการังที่สามารถเติบโตได้สูงกว่า 10 เมตร และมีอายุยืนยาวกว่า 600 ปี อีกทั้งยังเป็นอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลหลากหลายสายพันธุ์

จากบทความในปี 2021 พบว่ามีปะการังโขดขนาดยักษ์ที่ในแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ ที่มีอายุมากกว่า 400 ปี เอาชีวิตรอดจากพายุไซโคลนใหญ่มาแล้ว 80 ครั้ง ผ่านเหตุการณ์ปะการังฟอกขาวหลายครั้ง และเผชิญกับภัยคุกคามอื่น ๆ มานานหลายศตวรรษ

คณะนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเจมส์คุก ในออสเตรเลีย กำลังศึกษาปะการังโขดนอกชายฝั่งออสเตรเลียตะวันตก ด้วยการใช้เทคโนโลยีจีโนมิกส์เข้ามาช่วยหาข้อมูลการวิวัฒนาการ การจัดลำดับดีเอ็นเอ หาค่าความทนทานต่อความร้อน และพยายามคาดการณ์ช่วงระยะเวลาการสืบพันธุ์

รวมถีงตรวจหาความสัมพันธ์ระหว่างปะการังและสาหร่ายซูแซนเทลลี เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสาหร่ายอาจจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ปะการังโขดสามารถทนทานต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้นได้ ทั้งคู่ยังมีรูปแบบความสัมพันธ์แบบภาวะพึ่งพาอาศัย โดยปะการังให้ที่อยู่อาศัยแก่สาหร่าย ขณะเดียวกันสาหร่ายก็ช่วยให้ปะการังมีสี และทั้งสองยังได้รับสารอาหารร่วมกันอีกด้วย

"จนถึงตอนนี้ เราพบความหลากหลายมากกว่าที่คาดไว้ในตอนแรก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณการรู้ถึงประสิทธิภพาความทนทานในปะการังที่ต่อความเครียดและภัยธรรมชาติต่าง ๆ แต่งานวิจัยนี้ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น" เคท มารี ควิกลีย์ หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว

อย่างไรก็ตาม จิราร์ดกล่าวว่า หากเกิดผลกระทบที่รุนแรงกับปะการัง เฉกเช่นเหตุการณ์น้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโก และหากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงรุนแรงมากยิ่งขึ้น จนค่าความเป็นกรดของมหาสมุทรเพิ่มสูงขึ้น หรืออุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระบบนิเวศอาศไม่สามารถฟื้นตัวให้กลับมาเหมือนเดิมได้อีก


ที่มา: NASA, NOAA, Phys, The Conversation, The Guardian


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1115523

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:06


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger