#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 12 กรกฎาคม 2566
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น สำหรับบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 12 - 13 ก.ค. 66 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทสเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ สำหรับบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1 - 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 15 ก.ค. 66 ร่องมรสุมจะพาดผ่านประเทศเมียนมา ตอนบนของภาคเหนือ และประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน และอ่าวตังเกี๋ย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย จะเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทย จะมีกำลังแรงขึ้น โดยบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 16 - 17 ก.ค. 66 ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทย เข้าสู่หย่อมความกดกาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และ อ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ฝั่งตะวันออก โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยบริเวณห่างฝั่งจะมีกำลังค่อนข้างแรง โดยบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนบน ทะเลมีคลื่นสูง 2 ? 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 14 - 17 ก.ค. 66 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 16 ? 17 ก.ค. นี้ไว้ด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ความต่าง "ลานีญา" กับ "เอลนีโญ" เตือนไทยวางแผนบริหารจัดการน้ำ สรุปความต่างปรากฏการณ์ "เอลนีโญ" กับ "ลานีญา" หลังจากนี้ประเทศไทยเตรียมรับมือ "เอลนีโญ" แนะบริหารจัดการน้ำ "ลานีญา" ถือเป็นปรากฏการณ์สภาพอากาศแปรปรวน ซึ่งเป็นสภาวะตรงข้าม "เอลนีโญ" (El Ni?o) สามารถเกิดขึ้นได้ทุก 2-3 ปี โดยปกติจะเกิดขึ้นนานประมาณ 9-12 เดือน แต่บางครั้งอาจปรากฏอยู่ได้นานถึง 2 ปี การเกิด "ลานีญา" โดยปกติลมค้าตะวันออกเฉียงใต้ในมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อน หรือแปซิฟิกเขตศูนย์สูตรจะพัดพาน้ำอุ่นจากทางตะวันออกของมหาสมุทรไปสะสมอยู่ทางตะวันตก ซึ่งทำให้มีการก่อตัวของเมฆและฝนบริเวณด้านตะวันตกของแปซิฟิกเขตร้อน ส่วนแปซิฟิกตะวันออกหรือบริเวณชายฝั่งประเทศเอกวาดอร์ และเปรู มีการไหลขึ้นของน้ำเย็นระดับล่างขึ้นไปยังผิวน้ำซึ่งทำให้บริเวณดังกล่าวแห้งแล้ง สถานการณ์เช่นนี้เป็นลักษณะปกติจึงเรียกว่า "สภาวะปกติ" หรือ "สภาวะที่ไม่ใช่เอลนีโญ" แต่มีบ่อยครั้งที่สถานการณ์ดังกล่าวถูกมองว่าเป็นได้ทั้ง "สภาวะปกติ" และ "ลานีญา" จะมีความแตกต่างตรงที่ "ลานีญา" ลมค้าตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนมีกำลังแรงมากกว่าปกติ และพัดพาผิวน้ำทะเลที่อุ่นจากตะวันออกไปสะสมอยู่ทางตะวันตกมากยิ่งขึ้น ทำให้บริเวณแปซิฟิกตะวันตก รวมทั้งบริเวณตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชีย ซึ่งเดิมมีอุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงกว่าทางตะวันออกอยู่แล้วยิ่งมีอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นไปอีก อุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่งผลให้อากาศเหนือบริเวณดังกล่าวมีการลอยตัวขึ้นและกลั่นตัวเป็นเมฆและฝน ส่วนแปซิฟิกตะวันออกนอกฝั่งประเทศเปรูและเอกวาดอร์นั้นขบวนการไหลขึ้นของน้ำเย็นระดับล่างไปสู่ผิวน้ำ (upwelling) จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องและรุนแรง อุณหภูมิที่ผิวน้ำทะเลจึงลดลงต่ำกว่าปกติ โดยผลจากการที่อากาศลอยขึ้นและกลั่นตัวเป็นเมฆและฝนบริเวณแปซิฟิกตะวันตกเขตร้อนในช่วงปรากฏการณ์ลานีญา ทำให้ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีแนวโน้มที่จะมีฝนมากและมีน้ำท่วม ขณะที่บริเวณแปซิฟิกเขตร้อนตะวันออกมีฝนน้อยและแห้งแล้ง ความต่าง "เอลนีโญ" กับ "ลานีญา" และผลกระทบต่อไทย หรือกล่าวได้ว่า "เอลนีโญ" จะส่งผลให้เกิดฝนตกหนัก ในตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ และเกิดความแห้งแล้ง อากาศร้อน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทย ส่วน "ลานีญา" จะเป็นปรากฏการณ์ขั้วตรงข้าม คือส่งผลให้เกิดความแห้งแล้ง ในตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ และเกิดฝนตกหนักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทย เตรียมพร้อมรับมือเอลนีโญ เป็นที่รู้กันว่า ขณะนี้ประเทศไทยบอกลาสภาวะ "ลานีญา" และได้เข้าสู่ "เอลนีโญ" แล้ว โดยคาดว่า เอลนีโญกำลังอ่อนในปัจจุบันจะมีกำลังแรงขึ้นเป็นขนาดปานกลางในช่วงเดือน ตุลาคม-ธันวาคม ปีนี้ จากการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา สภาวะเอลนีโญ จะอยู่ต่อเนื่องจนถึง ช่วงกลางปี 2567 และค่อนข้างมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องวางแผนบริหารจัดการน้ำในระยะยาวเพื่อสำรองน้ำล่วงหน้าไว้ใช้ในกิจกรรมต่างๆ ด้วย https://www.thairath.co.th/news/sustainable/2708436
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
จับตากองทัพทั่วโลก ตัวการ'ถ่วง'แผนการลดโลกร้อน จับตากองทัพทั่วโลก ตัวการ'ถ่วง'แผนการลดโลกร้อน โดยช่วง 12 เดือนแรกของสงครามยูเครน อาจเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจก 120 ล้านตัน เทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายปีของสิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ และซีเรียรวมกัน หากพูดถึงการปล่อยมลพิษทั่วโลก ยังมีต้นตอใหญ่ของปัญหาปล่อยมลพิษที่หลายคนมองข้ามนั่นก็คือ กองทัพทั่วโลก เมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้นแตะระดับสูงสุด นักวิทยาศาสตร์และกลุ่มรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมเร่งสร้างความกดดันต่อสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เพื่อบังคับให้กองทัพทั้งหลาย เปิดเผยปริมาณการปล่อยมลพิษ และยกเลิกข้อละเว้นเปิดเผยการปล่อยมลพิษของกองทัพ ที่ทำให้ปริมาณมลพิษทางอากาศจากกองทัพไม่ได้ถูกบันทึก จากคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญนานาชาติปี 2565 ระบุว่า เหล่ากองทัพ หนึ่งในผู้ใช้พลังงานมากที่สุดในโลก มีสัดส่วนปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็น 5.5% ของโลก นักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการหลายคนบอกว่า กองกำลังป้องกันหลายหน่วยงาน ไม่มีข้อผูกมัดในการทำข้อตกลงสภาพอากาศนานาชาติ ที่กำหนดให้รายงานหรือลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และข้อมูลที่เผยแพร่โดยกองทัพบางแห่งไม่มีความน่าเชื่อถือ หรือข้อมูลไม่มีความสมบูรณ์ นั่นเป็นเพราะ การเปิดเผยการปล่อยมลพิษทางทหารนอกประเทศ ตั้งแต่การใช้เครื่องบินรบไปจนถึงการปล่อยเรือเพื่อฝึกซ้อมทางทหาร ได้รับการยกเว้นในพิธีสารเกียวโต ปี 1997 ที่กำหนดให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และได้รับการยกเว้นอีกครั้งในข้อตกลงปารีส 2015 โดยให้เหตุผลว่า การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานของกองทัพ อาจบั่นทอนความมั่นคงของประเทศ ขณะนี้กลุ่มสิ่งแวดล้อม Tipping Point North South และ The Conflict and Environment Observatory พร้อมด้วยนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยอังกฤษ ทั้งอ็อกฟอร์ดและควีนแมรี ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ผลักดันให้ปริมาณการปล่อยมลพิษทางทหาร เผยแพร่อย่างครอบคลุมและโปร่งใสมากขึ้น ออกมาเรียกร้องเรื่องนี้ ด้วยการเผยแพร่รายงานวิจัย การรณรงค์ และเข้าร่วมงานประชุมต่าง ๆ เพื่อล็อบบี้ให้หลายฝ่ายตระหนักถึงเรื่องนี้ นักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมคนหนึ่ง ที่คอยติดตามรายงานวิจัยการปล่อยมลพิษ เผยว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 เอกสารรณรงค์ที่ได้รับการตรวจสอบจากกลุ่มสิ่งแวดล้อมเผยแพร่ออกมาแล้ว 17 ฉบับ เพิ่มขึ้น 3 เท่า ของจำนวนเอกสารในปี 2565 และเมื่อกับเอกสารช่วง 9 ปีที่ผ่านมารวมกัน กลุ่มเรียกร้องหลายกลุ่ม ได้เขียนถึงอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ยูเอ็นเอฟซีซีซี) เมื่อเดือน ก.พ. ระบุว่า ให้หน่วยงานสภาพอากาศของยูเอ็น นำตัวเลขการปล่อยมลพิษทางทหารทั้งหมดรวมไว้ในอนุสัญญาดังกล่าวด้วย เพื่อให้ข้อมูลการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น "ภาวะฉุกเฉินทางสภาพอากาศของเรา ไม่สามารถอนุญาตให้ละเว้นการเผยข้อมูลมลพิษที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการทางทหารและความขัดแย้ง ภายในการดำเนินงานของยูเอ็นเอฟซีซีซี" กลุ่มดังกล่าวระบุ ยูเอ็นเอฟซีซีซี ตอบกลับกลุ่มสิ่งแวดล้อมผ่านอีเมลว่า หน่วยงานยังไม่มีแผนเกี่ยวกับการเปิดเผยมลพิษทางทหารที่เป็นรูปธรรม แต่ปัญหานี้อาจถูกหยิบยกขึ้นมาหารือผ่านการประชุมสุดยอดในอนาคต รวมทั้งการประชุม COP28 ในดูไบ ทั้งนี้ บัญชีรวมการปล่อยมลพิษ จะมีความสำคัญต่อการคำนวณปริมาณการปล่อยมลพิษทั่วโลกครั้งแรก ซึ่งสามารถช่วยประเมินได้ว่าแต่ละประเทศปรับปรุงการปล่อยมลพิษตามเป้าหมายข้อตกลงปารีสมากน้อยเพียงใด และจะมีการพูดถึงบัญชีการปล่อยมลพิษในประชุมสุดยอดสภาพอากาศ COP28 ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) วันที่ 30 พ.ย. นี้ ด้าน "แอ็กเซล มิคาเอลโลวา" ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม Perspectives Climate เตือนว่า การปล่อยคาร์บอนหลายร้อยล้านตัน อาจยังไม่ได้นับรวมไว้ในบัญชีปล่อยมลพิษ เมื่อถามว่าที่ประชุมยูเอ็นจะหารือเรื่องการปล่อยมลพิษทางทหารหรือไม่ ประธานาธิบดียูเออี บอกแต่เพียงว่า หนึ่งในวันสำคัญของการประชุมสุดยอดจะเป็นการบรรเทาทุกข์ ช่วยฟื้นฟูและสร้างสันติภาพ แต่ไม่บอกรายละเอียดใดๆเพิ่มเติม นอกจากนี้ กลุ่มสิ่งแวดล้อมล็อบบี้ยูเอ็น ให้ยกเลิกข้อละเว้นเผยปริมาณการปล่อยมลพิษทางทหาร ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในยูเครนด้วย รายงานจาก "เลนนาร์ด เดอ เคลิร์ก" ผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีคาร์บอนชาวดัตช์ คาดว่า 12 เดือนแรกของการทำสงครามยูเครน อาจเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกมากถึง 120 ล้านตัน เทียบเท่ากับรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายปีของสิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ และซีเรียรวมกัน ขณะที่สงครามในยูเครน กลายเป็นจุดสนใจของนักเคลื่อนไหวด้านสภาพอากาศเกี่ยวกับการปล่อยมลพิษทางทหาร แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า การเผยแพร่ปริมาณมลพิษทางทหารเป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลไขว้เขวไปจากความสำคัญในการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ และอาจชะลอการหารือเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวในระยะเวลาอันใกล้ได้ กองทัพบางแห่ง บอกว่า การเปิดเผยข้อมูลการใช้น้ำมัน อาจสะท้อนการปฏิบัติการทางทหารในต่างประเทศได้ "มาร์คัส รูลเก" จากหน่วยงานปกป้องสิ่งแวดล้อมของกระทรวงกลาโหมเยอรมัน บอกว่า "เราไม่อยากให้ทุกคนทราบว่าเราใช้เชื้อเพลิงปฏิบัติการทางทหารมากเพียงใด เราบินหรือใช้ยานยนต์ขับเคลื่อนไกลแค่ไหน รวมทั้งไม่อยากให้รับรู้รูปแบบการซ้อมทางทหารว่าเป็นอย่างไรด้วย" https://www.bangkokbiznews.com/world/1078066
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|