เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 22-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนน้อยลง โดยบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง จะมีอุณหภูมิลดลง 1-2 องศาเซลเซียสกับมีลมแรง สำหรับร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนกลาง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังในช่วงที่มีฝนฟ้าคะนอง

อนึ่ง พายุโซนร้อนกำลังแรง "โซเดล" (พายุระดับ 4) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีแนวโน้มเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนในช่วงวันที่ 25-26 ต.ค.63 และจะอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลทำให้ด้านตะวันออกและตอนล่างของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนบางแห่งกับมีลมแรง


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนเล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-31 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 22 - 25 ต.ค. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส กับมีอากาศเย็นและมีลมแรง ในขณะที่ร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนอง

ส่วนในช่วงวันที่ 26-27 ต.ค. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่จากประเทศจีนจะแผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีอากาศเย็น โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ส่วนร่องมรสุมยังคงพาดผ่านภาคใต้ ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยตอนล่าง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง

อนึ่ง พายุโซนร้อน "โซเดล" (พายุระดับ 3) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน คาดว่าจะเคลื่อนเข้าบริเวณอ่าวตังเกี๋ยในช่วงวันที่ 25-26 ต.ค. 63 และจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันและหย่อมความกดอากาศต่ำอย่างรวดเร็วตามลำดับ


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 22-26 ต.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย



*********************************************************************************************************************************************************



ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "พายุโซนร้อนกำลังแรง "โซเดล" (พายุระดับ 4)" ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2563

เมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้ (22 ตุลาคม 2563) พายุโซนร้อนกำลังแรง "โซเดล" (พายุระดับ 4) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 16.4 องศาเหนือ ลองจิจูด 116.2 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกอย่างช้าๆ คาดว่าจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนในช่วงวันที่ 25-26 ตุลาคม 2563 หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลทำให้ด้านตะวันออกและตอนล่างของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนบางแห่งกับมีลมแรง












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 22-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ชาวออสเตรเลีย เสี่ยงเผชิญหน้ากับฉลามถี่ขึ้น



- ออสเตรเลียมีรายงานคนถูกฉลามจู่โจมเพิ่มมากขึ้น โดยนับตั้งแต่ต้นปีมีเหตุฉลามกัดอย่างน้อย 21 เหตุการณ์ ในจำนวนนี้เสียชีวิตมากถึง 7 ศพ

- นักวิจัยคาดว่าเรื่องของสภาพอากาศเปลี่ยนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฉลามเข้ามาใกล้แหล่งชุมชนมากขึ้น จนนำไปสู่การทำร้ายมนุษย์

- การจู่โจมของฉลามเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญต้องเร่งระดมสมองหามาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดจำนวนเหยื่อที่ต้องสูญเสียจากฉลามในระยะยาว

นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ออสเตรเลีย ต้องเผชิญกับเหตุฉลามกัดนักท่องเที่ยวอยู่บ่อยครั้ง โดยเหตุการณ์ล่าสุดก็คือเมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่นายแอนดรูว์ ชาร์ป นักเล่นเซิร์ฟวัย 52 ปี ที่ถูกฉลามทำร้ายจนเสียชีวิตที่รัฐเวสเทิร์น ออสเตรเลีย จนเจ้าหน้าที่ได้พบกระดานโต้คลื่นของเขาถูกคลื่นซัดมาและมีรอยฉลามกัด แต่ไม่มีใครได้พบร่างของเขาอีกเลย

จุดที่เขาถูกฉลามจู่โจมคืออ่าวไวลีย์ เบย์ จุดเล่นวินเซิร์ฟยอดนิยม ทำให้เขากลายเป็นเหยื่อรายที่ 7 ที่เสียชีวิตจากคมเขี้ยวของฉลามในน่านน้ำออสเตรเลียในปีนี้ ซึ่งนับว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1929 เป็นต้นมา สร้างความแตกตื่นให้แก่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการเล่นวินเซิร์ฟ และเกิดคำถามตามมาว่า เกิดความผิดปกติอะไรขึ้นในท้องทะเลแห่งนี้


ป้ายเตือนจุดที่พบฉลาม ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย


ตัวเลขที่พบแสดงให้เห็นอะไร

จากตัวเลขสถิติที่รวบรวมโดยทางการออสเตรเลียเกี่ยวกับเหยื่อที่บาดเจ็บและเสียชีวิตในปี 2020 พบว่ามีนักท่องเที่ยวถูกฉลามทำร้ายรวมทั้งสิ้น 21 เหตุการณ์ ทั้งในรัฐนิวเซาท์เวลส์ และควีนส์แลนด์ ซึ่งมากกว่าจำนวนเฉลี่ยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 20 เหตุการณ์ต่อปี แต่มีผู้เสียชีวิตมากถึง 7 ศพ ขณะที่ปีที่ผ่านมาไม่มีผู้เสียชีวิตจากฉลามแม้แต่ศพเดียว ขณะที่เมื่อปี 2015 แม้จะมีรายงานคนถูกฉลามทำร้ายถึง 32 ราย แต่ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตเพียง 2 ศพ ปีนี้จึงนับว่ามีผู้เสียชีวิตโดยฉลามสูงที่สุด นับจากที่ทางการได้นำตาข่ายดักฉลาม รวมทั้งมาตรการอื่นๆ ในการป้องกันฉลามมาใช้ตั้งแต่ปี 1930 ขณะที่ในประวัติศาสตร์ 50 ปีที่ผ่านมา อัตราการเสียชีวิตจากการถูกฉลามโจมตีจะอยู่ที่ 0.9 หรือเฉลี่ยไม่ถึง 1 คนต่อปีเท่านั้น


อะไรเป็นปัจจัยให้ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น

หนึ่งใน 7 รายของผู้เสียชีวิตในปีนี้ เป็นนักดำน้ำหาปลา ใกล้กับเกาะเฟรเซอร์ ในรัฐควีนส์แลนด์ ซึ่งจากกรณีนี้นับเป็นการสุ่มเสี่ยง เพราะมีความเป็นไปได้ที่การจับปลาของเขาดึงดูดฉลามให้เข้ามาหา อย่างไรก็ตาม เหยื่ออีก 6 รายที่เหลือไม่ได้มีพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงเหมือนรายแรก ทำให้นักวิจัยยังคงไม่สามารถหาคำตอบที่แน่ชัดได้ว่าทำไมฉลามจึงเข้ามาทำร้ายมนุษย์

นาธาน ฮาร์ท ศาสตราจารย์ด้านชีววิทยา แห่งมหาวิทยาลัยแม็คไควรี่ ชี้ว่า เหยื่อที่ถูกฉลามทำร้ายส่วนใหญ่จะเป็นนักเล่นเซิร์ฟมากกว่านักว่ายน้ำทั่วไป ซึ่งอาจจะบ่งชี้ได้ว่า การจู่โจมเกิดขึ้นในทะเลลึกที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยว่ายไปถึง โดยการเสียชีวิตจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งบาดแผลฉกรรจ์ การได้รับความช่วยเหลือส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงทีหรือไม่


เหตุการณ์ขณะที่มิกค์ แฟนนิ่ง นักเล่นกระดานโต้คลื่นชาวออสเตรเลียกำลังถูกฉลามจู่โจมระหว่างแข่งขันเมื่อปี 2015 เคราะห์ดีที่เขารอดมาได้อย่างปลอดภัย


สภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญ?

เมื่อปีที่แล้ว ศาสตราจารย์ฮาร์ท และเพื่อนร่วมทีม ได้ศึกษาข้อมูลของฉลามควบคู่ไปกับอุณหภูมิของน้ำ และสถิติปริมาณฝน ทำให้พอจะคาดการณ์ได้ว่า การจู่โจมของฉลามจะเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งทีมวิจัยพบว่า สภาพอากาศส่งผลสำคัญต่อความเสี่ยงที่ฉลามจะเข้าใกล้ชายฝั่งมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาฝนตกซึ่งจะชะล้างเอาสารอาหารลงทะเล และกวนน้ำให้ปากแม่น้ำและชายฝั่งขุ่น ทำให้เกิดแอ่งความเย็น ซึ่งพื้นที่แบบนี้จะดึงดูดฝูงปลา หรือเหยื่อฉลามชนิดอื่นๆ เช่นแมวน้ำเข้ามา ทำให้เกิดความเสี่ยงที่ฉลามจะตามมาด้วย ประกอบกับกระแสน้ำออสเตรเลียตะวันออกที่รุนแรง โดยเฉพาะพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลียนับเป็นจุดวิกฤติหนักสุดของโลก ส่งผลให้อุณหภูมิของน้ำในทะเลมีความแตกต่างกัน โดยผิวน้ำจะมีอุณหภูมิสูงถึง 4 เท่าของอุณหภูมิเฉลี่ยของผิวน้ำทั่วโลก ซึ่งศาสตราจารย์ฮาร์ทยังแสดงความเป็นห่วงด้วยว่า หากกระแสน้ำมีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปมากเช่นนี้ ฉลามจำนวนมากที่ชื่นชอบความเย็นอย่างฉลามขาว และฉลามเสือนักล่าตัวฉกาจที่มักทำร้ายมนุษย์ จะยิ่งว่ายเข้าใกล้ชายฝั่งซึ่งเป็นที่พักผ่อนของมนุษย์ และย่อมจะเกิดปัญหาหนักตามมาแน่นอน


พฤติกรรมของฉลามเป็นอย่างไร

ฉลามถือเป็นนักล่าที่มีความลึกลับ ทำให้ยากที่จะบ่งชี้พฤติกรรมในการล่าของมันได้อย่างชัดเจน โดยการกัดของฉลาม อาจจะเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น ตอบโต้เพราะรู้สึกว่าถูกคุกคาม ปกป้องอาณาเขตของตัวเอง หรืออาจจะสับสนระหว่างมนุษย์กับอาหารของมัน โดยแผ่นกระดานโต้คลื่นที่อยู่บนผิวน้ำอาจจะมองดูเหมือนแมวน้ำขนาดใหญ่ซึ่งเป็นเหยื่ออันโอชะของมันก็ได้ แต่มนุษย์อาจจะไม่ใช่เหยื่อที่มันชื่นชอบมากนัก มิเช่นนั้นคงเกิดเหตุฉลามจู่โจมมนุษย์บ่อยครั้งกว่านี้

โดยปัจจุบันมีฉลามอาศัยอยู่ในทะเลออสเตรเลียนับพันๆ ตัว และทุกครั้งที่เกิดการจู่โจมหรือทำร้ายมนุษย์จนมีการเสียชีวิต ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ก็ต้องมาระดมสมองกันเพื่อหาแนวทางป้องกันและการยับยั้งที่มีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่เดือนหลังจากนี้ ที่จะเป็นช่วงหน้าร้อนของออสเตรเลีย และจะมีนักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวชายหาดกันมากขึ้น.


https://www.thairath.co.th/news/foreign/1957134

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 22-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ข่าวดี! แม่เต่ามะเฟืองขึ้นวางไข่รังแรกของปีงบประมาณ 64

พังงา - ข่าวดี! แม่เต่ามะเฟืองขึ้นวางไข่รังแรกในปีงบประมาณ 64 โดยเลือกขึ้นวางไข่ที่ จ.พังงา หลังปีที่ผ่านมา ขึ้นวางไข่มากถึง 16 รัง



เวลาประมาณ 06.30 น.วันนี้ (21 ต.ค.) ศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัดภูเก็ต ได้รับแจ้งจากนายองอาจ สายราย้า ชาวบ้านหมู่ที่ 8 บ้านต้นแซะ ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ว่า ขณะกำลังออกตกปลาพบร่องรอยการขึ้นวางไข่ของแม่เต่าทะเลบริเวณชายหาดบางขวัญ หัวหน้าศูนย์ฯ จึงประสานหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง นำเจ้าหน้าที่เข้าร่วมตรวจสอบ

จากการตรวจสอบ พบเป็นร่องรอยของแม่เต่ามะเฟืองขึ้นวางไข่ ที่พิกัด 47P 420962 X 907482 Y มีความกว้างของอก 94 ซม. ความกว้างพาย 182 ซม. ระยะทางจากรอยขึ้นถึงชายน้ำ 30 เมตร จากการตรวจสอบกว่า 2 ชั่วโมง จึงพบไข่เต่า วัดความลึกหลุม 76 ซม. ความกว้างของหลุม 34 ซม. ความยาวหลุมไข่ 46 ซม. เนื่องจากตำแหน่งขึ้นวางไข่ไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำทะเลท่วมถึง จึงไม่ทำการย้ายรัง โดยจะทำคอกกั้น และจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง จนกว่าลูกเต่าจะเพาะฟัก ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 55-60 วัน

สำหรับการขึ้นวางไข่ของเต่ามะเฟืองในปีงบประมาณ 64 ซึ่งพบว่าตัวนี้เป็นตัวแรกของฤดูกาลวางไข่ของเต่ามะเฟือง จะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม-มีนาคม และเป็นตัวแรกของปีงบประมาณ มีแนวโน้มว่าแม่เต่าตัวนี้จะขึ้นวางไข่อีกครั้ง จึงต้องมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นในพื้นที่ต่อไป

อย่างไรก็ตาม สำหรับการขึ้นมาวางไข่ของเต่ามะเฟืองในปีงบประมาณ 63 ที่ผ่านมา ถือว่าในพื้นที่พังงา และจังหวัดภูเก็ตมีเต่ามะเฟืองขึ้นวางไข่เป็นจำนวนมาก และถ้าเทียบในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีจำนวนมากที่สุด โดยมีแม่เต่ามะเฟืองขึ้นวางไข่มากกว่า 16 รัง มีลูกเต่าฟักออกเป็นตัวประมาณ 350 กว่าตัว


https://mgronline.com/south/detail/9630000107198


*********************************************************************************************************************************************************


มาแล้ว! เต่ามะเฟืองวางไข่แรกแห่งฤดู ที่หาดบางขวัญ จ.พังงา

กรมอุทยานฯ เผย ข่าวดี เต่ามะเฟืองวางไข่รังแรกแห่งฤดู 63-64 หาดบางขวัญ จ.พังงา จนท. ทำคอกป้องกันพร้อมเฝ้าระวัง 24 ชม.



กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) เปิดเผยผ่าน เฟซบุ๊กแฟนเพจ ?ประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช? ว่า

ชาวบ้านตะกั่วทุ่ง จ.พังงา แจ้งเจ้าหน้าที่หลังพบเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่บริเวณหาดบางขวัญ ด้านเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ทำคอกกั้นพร้อมเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง จนกว่าไข่เต่าจะฟัก วันที่ 21 ตุลาคม 2563 เวลาประมาณ 06.30 น.ศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัดภูเก็ต ได้รับแจ้งจากนายองอาจ สายราย้า ชาวบ้านหมู่ที่ 8 บ้านต้นแซะ ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ว่าพบร่องรอยการขึ้นวางไข่ของเต่าทะเลบริเวณชายหาดบางขวัญ ขณะกำลังออกตกปลา

หัวหน้าศูนย์ฯ จึงประสานหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง นำเจ้าหน้าที่เข้าร่วมตรวจสอบ พบเป็นร่องรอยของเต่ามะเฟืองขึ้นวางไข่ รอยที่พบมีความกว้างของอก 94 ซม. ความกว้างพาย 182 ซม. ระยะทางจากรอยขึ้นถึงชายน้ำ 30 เมตร

จากการตรวจสอบกว่า 2 ชั่วโมง จึงพบไข่เต่า วัดความลึกหลุม 76 ซม. ความกว้างของหลุม 34 ซม. ความยาวหลุมไข่ 46 ซม. เนื่องจากตำแหน่งขึ้นวางไข่ไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำทะเลท่วมถึง จึงไม่ทำการย้ายรัง โดยจะทำคอกกั้น และจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง จนกว่าลูกเต่าจะเพาะฟัก ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 55-60 วัน

ทั้งนี้ฤดูกาลวางไข่ของเต่ามะเฟืองจะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม-มีนาคม ของทุกปี และมีแนวโน้มว่าแม่เต่าตัวนี้จะขึ้นวางไข่อีกครั้ง จึงต้องมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นในพื้นที่ต่อไป



ด้าน ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล และรองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความดีใจต่อกรณีเต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่รังแรกของฤดูว่า

มาแล้วจ้า แม่เต่ามะเฟืองวางไข่รังแรกของฤดู 63-64 ที่หาดบางขวัญ โคกกลอย พังงา ไชโย้ !!!
???? ????
เต่ามะเฟืองเป็นเต่าใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นสัตว์สงวนของไทย
ลองดูไข่ในมือเจ้าหน้าที่ จะเห็นว่าใหญ่ขนาดไหน (ฟองเล็กคือไข่ลมครับ)
เต่ามะเฟืองยุคปัจจุบัน วางไข่เฉพาะในทะเลอันดามัน
พื้นที่วางไข่ตั้งแต่ตอนเหนือจังหวัดภูเก็ต จังหวัดพังงา ขึ้นไปจนถึงรอยต่อกับจังหวัดระนอง
เต่ามะเฟืองไม่วางไข่มาติดต่อกัน 6 ปี จนได้เป็นสัตว์สงวน
มีการดูแลทะเล สร้างเครือข่ายแจ้งเหตุ ลดขยะทะเล รักษาชายหาด ฯลฯ
ทุกคนช่วยกันเต็มที่ จนแม่เต่ากลับมาวางไข่ในปี 61-62 เป็นครั้งแรก
มาถึงฤดู 62-63 แม่เต่าวางไข่เพิ่มขึ้น
ตั้งแต่เป็นสัตว์สงวนถึงปัจจุบัน แม่เต่าวางไข่ไปแล้วมากกว่า 20 รัง ลูกเต่าลงทะเลไปกว่า 600 ตัว
ปรกติฤดูวางไข่ของเต่ามะเฟืองจะเริ่มจากเดือนพฤศจิกายน-เดือนมีนาคม
ปีที่แล้วแม่เต่าเริ่มวางกลางเดือนพย.
แต่ปีนี้ ทะเลเงียบ แม่เต่าบอกลุยโลด วางตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม
ทีมจากอุทยาน/กรมทะเล/อาสาสมัคร ฯลฯ ได้รับแจ้งว่าเจอรอยแม่เต่า จึงรีบเข้าพื้นที่
หลังจากสำรวจรอบๆ ท้ายสุด เจอรังเต่า ไข่ฟองใหญ่มาก มะเฟืองแน่นอน
ไม่ทราบจำนวน เพราะยังไม่ขุด กำลังตัดสินใจว่าจะย้ายหรือจะเก็บไว้ที่เดิม
ปีที่แล้ว แม่เต่ามะเฟืองวางไข่ 11 รัง บวกกับ 3 รังนอกฤดู
ปีนี้ มาดูสิว่า จะมีเท่าไหร่ ?
แต่แค่เริ่มต้นฤดูก็ออกตัวแรงแล้ว เชื่อว่าไม่ผิดหวังแน่นอน
เช้านี้ส่งใจเต็มที่ เชียร์คุณแม่เต่าให้กลับมาวางไข่อีกครั้ง
ปรกติจะวางทุก 9-10 วัน ติดต่อกัน 3-5 รอบ

แม่เต่าสู้ๆ วางไข่เยอะๆ
อยากเห็นลูกเต่ามะเฟืองคลานลงทะเลเยอะๆ
ขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันเต็มที่
พังงา-ภูเก็ต-ระนอง ชายฝั่งแห่งเต่ามะเฟือง
เคยเป็นแค่ความฝัน วันนี้เป็นจริงแล้วครับ


https://mgronline.com/travel/detail/9630000107206


*********************************************************************************************************************************************************


ภาพประทับใจ! เต่ากระวางไข่ทะเลประจวบฯ 177 ฟอง


แม่เต่ากำลังวางไข่บนหาดทราย (ภาพจากคลิปวิดิโอเพจสำนักอุทยานแห่งชาติ - National Parks of Thailand)

กรมอุทยานเผยคลิปช่วงเวลาน่าประทับใจ ที่เต่ากระวางไข่ 177 ฟอง บนชายหาดบริเวณปลายหางของเกาะทะลุ อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม (เตรียมการ) โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 63 เวลาประมาณ 17.30 น.

สำหรับอาณาเขตของอุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม (เตรียมการ) นั้น กินบริเวณพื้นที่วนอุทยานป่ากลางอ่าว 1,200 ไร่ วนอุทยานเขาแม่รำพึง 1,450 ไร่ เกาะทะลุ เกาะสิงห์และพื้นที่โดยรอบรัศมี 1 กิโลเมตร เกาะสังข์และพื้นที่โดยรอบ 500 เมตร พื้นที่ทะเลริมชายฝั่ง รวมๆ แล้วประมาณ 20,047 ไร่ โดยเกาะทะลุนั้นเป็นพื้นที่ที่มีเอกชนถือครองที่ดินอยู่ด้วย ทางอุทยานฯ ดูแลเฉพาะพื้นที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ และเกาะทะลุนี้ยังเป็นแหล่งที่เต่ากระขึ้นมาวางไข่ทุกปี โดย ?เต่ากระ? ถือเป็นสัตว์ทะเลหายากที่ได้รับการคุ้มครองให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภท 1 และจัดอยู่ใน Appendix 1 ของอนุสัญญาไซเตส


https://mgronline.com/travel/detail/9630000107953
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 22-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


พบโพรงขนาดใหญ่ใต้เขาทะลุ เสี่ยงถล่มซ้ำกันเป็นพื้นที่อันตราย ห้ามนักท่องเที่ยว เรือประมงเข้าใกล้

กระบี่ - เจ้าหน้าที่ลงสำรวจใต้น้ำเขาทะลุพังถล่ม พบก้อนหินตก และโพรงอากาศขนาดใหญ่ใต้เขาทะลุ มีความเสี่ยงที่ภูเขาจะพังลงมาเพิ่มอีกได้ตลอดเวลา ด้านหัวหน้าอุทยานฯ สั่งเจ้าหน้าที่ติดตั้งป้ายเขตอันตราย ห้ามนักท่องเที่ยวและชาวประมงนำเรือเข้าไปใกล้ เพื่อความปลอดภัย



จากกรณีที่เกิดเหตุก้อนหินขนาดใหญ่จากเขาทะลุ เขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ พังถล่มลงมา เมื่อช่วงที่เกิดฝนตกหนักและลมพายุพัดแรง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เบื้องต้น เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ได้เข้าสำรวจ เมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา พบว่า หินที่พังถล่มลงมามีน้ำหนักกว่า 30,000-40,000 ตัน และแตกเป็น 2 ก้อน ลงมากองอยู่ด้านล่าง มองเห็นได้อย่างชัดเจน และพบว่าบริเวณรอบๆ เกาะทะลุยังมีรอยร้าวอีกหลายจุดมีความเสี่ยงที่จะถล่มลงมาได้ จึงได้ประกาศเตือนนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวังห้ามเข้าใกล้จุดเกิดเหตุ

ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ (21 ต.ค.) เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ยังคงสำรวจต่อเนื่อง โดยได้ดำน้ำสำรวจบริเวณเขาทะลุ ที่ระดับความลึกประมาณ 20 เมตร พบก้อนหินขนาดใหญ่จำนวนมาก บางส่วนมีรอยแตก ชิ้นส่วนกระจัดกระจายทั่วบริเวณ นอกจากนั้น ยังมีต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่บนภูเขา โค่นลงมาทั้งต้นจมอยู่ใต้น้ำด้วย และพบว่ายังมีโพรงอากาศด้านล่างของเกาะทะลุ มีความเสี่ยงที่จะพังถล่มลงมาได้ตลอดเวลา นักดำน้ำจึงต้องรีบขึ้นมาเพื่อความปลอดภัย



นายประยูร พงศ์พันธ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี กล่าวว่า หลังจากที่เจ้าหน้าที่ดำน้ำลงสำรวจบริเวณด้านล่างใต้เขาทะลุ พบว่า มีก้อนหินขนาดใหญ่ตกลงไป และมีปะการังได้รับความเสียหายบางส่วน นอกจากนี้ ยังพบว่าบริเวณด้านล่างมีโพรงอากาศอยู่ ซึ่งอาจจะมีการทรุดพังลงมาได้ตลอดเวลา จึงได้ให้เจ้าหน้าที่เตรียมติดตั้งป้ายข้อความ เขตอันตราย ห้ามเข้า อยู่ระหว่างการสำรวจ เพื่อห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยว หรือเรือประมงเข้ามาใกล้บริเวณดังกล่าวเพื่อความปลอดภัย


https://mgronline.com/south/detail/9630000107455

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 22-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์


ผลกระทบสิ่งแวดล้อมแนวโน้มใหญ่ที่ธุรกิจต้องปรับตัว
......... คอลัมน์ ตลาดนัดการเงิน โดย...สุรัสวดี ไพเราะ ที่ปรึกษาบริหารทรัพย์ลูกค้าบุคคลพิเศษ AFPTTM ธนาคารกสิกรไทย



ในรอบหลายปีที่ผ่านมาเรื่องที่ทุกคนยังคงต้องให้ความสำคัญคงหนีไม่พ้นเรื่องของสภาวะโลกร้อน หรือ global warming โดยนิยามของภาวะโลกร้อนคือ การที่อุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศเพิ่มสูงขึ้น ทั้งอุณหภูมิบริเวณผิวโลกและอุณหภูมิจากน้ำทะเลในมหาสมุทร โดยสาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในอากาศมาจากการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจก (greenhouse gas) ที่เกิดจากการทำกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ ในเกือบทุกกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นการผลิตสินค้าหรือการบริการ การขนส่งหรือการส่งมอบสินค้า การตัดไม้ทำลายป่า เกษตรกรรม การปศุสัตว์นำมาซึ่งขยะมูลฝอย การกระทำดังกล่าวมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ ทำให้รังสีของดวงอาทิตย์ที่ควรสะท้อนกลับออกไปในปริมาณที่เหมาะสม กลับถูกก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้กักเก็บไว้ทำให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในปัจจุบัน ทำให้เกิดเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (climate change)


สภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบกับเรามากกว่าที่คิด

สภาวะโลกร้อนที่รุนแรงต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เป็นสาเหตุของการเกิดภัยพิบัติ สร้างความเสียหายต่อภาคเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตมนุษย์ เช่น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ภัยแล้ง ความรุนแรงของพายุ รวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพที่ลดลง โดยในประเทศไทยเองซึ่งเป็นประเทศเมืองร้อนก็รู้สึกได้ถึงอากาศบ้านเราที่ร้อนขึ้นทุกปี และจากหน้าหนาวที่เคยมีกลายเป็นมีเพียงแค่อากาศร้อนกับร้อนมากเท่านั้น จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางสหประชาชาติได้ให้ความสำคัญและช่วยกันกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหา โดยมีผู้แทนจากทั่วโลกมากกว่า 195 ประเทศ ให้ความเห็นชอบและร่วมลงนามความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งเป็นความร่วมมือที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว


ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเพื่อป้องกันภัยพิบัติ

จากเวทีโลกที่มีการกระตุ้นให้เกิดการแก้ไขปัญหาระดับประเทศ และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาระดับองค์กร หลายบริษัทจากหลายภาคส่วนได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ ภาคการผลิตหันไปใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น ลดการพึ่งพาการใช้ก๊าซธรรมชาติ เช่น การใช้พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานทางเลือกที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะที่หน่วยงานอื่นๆ เช่น การคมนาคม ก็มีการส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ไม่ปล่อยควันเสียมาทำร้ายสภาพแวดล้อม โดยระยะยาวค่าใช้จ่ายเพื่อการซ่อมบำรุงรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ายังมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่า ไม่เพียงเท่านี้ผู้ประกอบการค้าปลีกก็หันมาส่งเสริมในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการใช้ถุงพลาสติกและส่งเสริมให้ลูกค้านำถุงผ้ามาใช้ ขณะที่ระดับบุคคลทั่วไปก็สามารถช่วยเป็นส่วนหนึ่งเพื่อหยุดภาวะโลกร้อนได้ ผ่านการประหยัดไฟ และการปลูกต้นไม้


ภาวะโรคระบาดเป็นตัวเร่งให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

การปรับตัวในช่วงที่มีโรคระบาดเป็นการบังคับทางอ้อมให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยบริษัทห้างร้านต่างๆ มีการปรับตัวในแนวทางที่ภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ขอความร่วมมือเพื่อหลีกเลี่ยงการกระจุกตัวในที่ชุมชน ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดการแพร่กระจายของโรคระบาด การทำงานที่บ้านหรือการเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ จึงเข้ามาแก้ไขปัญหาให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ ยิ่งกิจกรรมในการออกไปที่ชุมชนน้อยลงโอกาสในการสร้างขยะหรือใช้พลาสติกที่เป็นปัจจัยสำคัญให้เกิดภาวะเรือนกระจกก็จะน้อยลง การทำงานหรือการสร้างเอกสารผ่านระบบออนไลน์ที่มากขึ้นก็ทำให้การตัดต้นไม้เพื่อนำมาผลิตเป็นกระดาษก็น้อยลงเช่นเดียวกัน


ธรรมชาติได้ฟื้นฟูในขณะที่บริษัทก็เติบโตอย่างยั่งยืน

ผลพลอยได้จากการที่บริษัทต่างๆ ดำเนินการหรือกำหนดกลยุทธ์ในการทำธุรกิจเพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ระยะสั้นจะเห็นได้จากความสามารถในการลดค่าใช้จ่ายของบริษัทที่สิ้นเปลือง เช่น ค่าน้ำค่าไฟในสำนักงาน ค่าเดินทางของพนักงาน ค่าใช้จ่ายทางเอกสารและการจัดเก็บ ขณะที่ระยะยาวแรกจะส่งผลให้บริษัทต่างๆ มีการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะในประเทศที่มีนโยบายให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่บริษัทที่สามารถลดก๊าซ Co2 ได้จะส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีขึ้นจากการประหยัดค่าใช้จ่ายทางภาษี และในอีกด้านหนึ่ง บริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมจะสามารถลดความเสี่ยงจากการมีปัญหากับคนในพื้นที่ ซึ่งจะนำมาซึ่งการฟ้องร้องในอนาคต ส่งผลให้บริษัทสามารถที่จะดำเนินธุรกิจได้อย่างราบเรียบมากขึ้น เช่น NIKE ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายรองเท้าและอุปกรณ์กีฬาชั้นนำของโลก ได้หันมาใช้พลังงานทางเลือกในการผลิต 100% และสามารถรีไซเคิลของเสีย การผลิตเส้นใยจากขวดพลาสติก


ลงทุนอย่างไรในภาวะที่โลกกำลังตื่นตัวในการดูแลสิ่งแวดล้อม

กระแสของการหันมาดูแลสิ่งแวดล้อมนำมาซึ่งโอกาสของนักลงทุนในการเข้าลงทุนในบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบรับไปกับทิศทางการเติบโตของโลก โดยเม็ดเงินจากการลงทุนจะเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่มีส่วนร่วมในการช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามการลงทุนไปกับบริษัทที่ให้ความสนใจกับสิ่งแวดล้อมถือว่าเป็นเรื่องที่ใหม่ กองทุนประเภทนี้จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่นักลงทุนสามารถทยอยลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงของผู้ลงทุนจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในระยะยาว และเชื่อได้ว่าในอนาคตอันใกล้การลงทุนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมจะกลายเป็นกระแสหลักในธีมการลงทุนที่ผู้ลงทุนจะเลือกไว้เป็นอันดับต้นๆ โดยเราสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสิ่งแวดล้อมได้ง่ายๆผ่านการลงทุน


https://www.posttoday.com/finance-st...lumnist/636061

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 22-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


รู้หรือไม่! วาฬ1ตัวในทะเลดูดซับคาร์บอนได้25เท่าของต้นไม้หนึ่งต้น



ปัจจุบันโลกของเรานั้นพบเจอปัญญามลภาวะทางอากาศมลภาวะทางน้ำและปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหา ?โลกร้อน? เป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ และเราทุกคนจะทำอย่างไรให้โลกกลับมามีสภาพอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ฉะนั้น การปลูกต้นไม้ เป็นวิธีการต่อสู้กับปัญหามลภาวะทางอากาศ และแก้ปัญหาโลกร้อนได้ดีที่สุด แต่ต้นไม้ 1 ต้น ดูดซับคาร์บอน ได้ไม่เกิน 22 กิโลกรัม แต่ต้องปลูกต้นไม้กี่ต้นจึงจะพอต่อโลกใบนี้ มีงานวิจัยล่าสุด พบว่า ?วาฬเพียงหนึ่งตัว อาจสามารถช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้เท่ากับต้นไม้ 1,000 ต้น? หรือวาฬนั้นจะเป็นตัวหลักในการช่วยให้โลกเรากลับมาอุดมสมบูรณ์ได้อีกครั้ง

เมื่อมีการนำข้อมูลการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ของวาฬและต้นไม้มาเปรียบเทียบกัน ซึ่งทำให้เราทราบว่า ?ต้นไม้ 1 ต้น? สามารถดูดซับคาร์บอน ?ไม่เกิน 22 กิโลกรัม? ต่อปี ในขณะที่ ?วาฬ 1 ตัว? สามารถดูดซับคาร์บอน ?ได้ถึง 550 กิโลกรัม? หรือ 25 เท่าของต้นไม้ 1 ต้น เมื่อวาฬตายลง ร่างของวาฬก็จะจมลงสู่ก้นทะเลพร้อมคาร์บอนไดออกไซด์ที่เก็บไว้ในตัวประมาณ 33 ตันทีเดียวแทนที่จะหลุดลอยไปในบรรยากาศ



ความสำคัญของวาฬกับคาร์บอนยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เนื่องจากมูลของวาฬ สามารถช่วยลดโลกร้อนได้อีกหนึ่งส่วน ซึ่งมูลของวาฬนั้นประกอบไปด้วย ธาตุเหล็ก จึงเป็นปุ๋ยชั้นดีให้เหล่าสาหร่ายทะเล และพืชทะเล อันเป็นอาหารของไฟโทแพลงก์ตอน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่ช่วยดักจับคาร์บอนได้อย่างน้อย 37,000 ล้านตันต่อปี หรือมากกว่าป่าแอมะซอนถึง 4 เท่า



ปัจจุบันทั่วโลกมีวาฬราว 1.3 ล้านตัว หากมีปริมาณเพิ่มเป็น 4-5 ล้านตัวได้ จะสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 2.2-2.7 ล้านตันต่อปีทีเดียว อย่างไรก็ตาม หลายคนคงสงสัยและอาจจะยังไม่ทราบว่า วาฬ นั้น ไม่ใช่ปลา วาฬ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หายใจทางปอด อาศัยอยู่ในมหาสมุทรเป็นสัตว์เลือดอุ่น วาฬ นับว่าเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก วาฬจะรักษาความอบอุ่นในร่างกายด้วยไขมันในชั้นใต้ผิวหนัง ปลาวาฬใช้เวลาตั้งท้องทีละ 1 ตัว และใช้เวลาในตั้งครรภ์ประมาณ 1 ปี และทันทีที่คลอดลูกออกมา แม่ปลาวาฬจะใช้ลำตัวดันลูกขึ้นสู่ผิวน้ำ เพื่อสูดอากาศเข้าปอดเป็นครั้งแรกของชีวิต



แต่ในยุคปัจจุบันนี้มักจะมีข่าวออกมาให้เราเห็นเป็นที่น่าสลดใจอยู่ไม่น้อย จำนวนวาฬทั่วโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง วาฬ และสัตว์ทะเลจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของมลพิษพลาสติก แต่ด้วยเหตุนี้ยิ่งชี้ให้เห็นว่า เราทุกคนนั้นควรจะช่วยกันอนุรักษ์ วาฬ แลสัตว์ทะเลชนิดอื่นให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งควรจะเป็นหนึ่งในวาระสำคัญของการแก้ไข นอกจากการปลูกต้นไม้แล้ว ซึ่งวาฬเพียงตัวเดียวไม่สามารถที่จะช่วยโลกของเราได้ทั้งใบ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องช่วยกันดูแลรักษาระบบนิเวศ ลดพลาสติกกันให้ได้มากที่สุดไเพื่อให้ทุกชีวิตสามารถเกื้อกูลกันได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต

ภาพและข้อมูลจาก : www.time.com / www.bluecarbonsociety.org


https://www.naewna.com/likesara/526600

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 22-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย


เผยญี่ปุ่นจะลดก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายใน 2050



โตเกียว 21 ต.ค. ? หนังสือพิมพ์นิกเคอิ ของญี่ปุ่น รายงานวันนี้ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะประกาศในเร็ว ๆ นี้ที่จะให้คำมั่นในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงท่าทีในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นิกเคอิ รายงานโดยไม่ระบุแหล่งข่าวที่มาว่า นายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซูงะ จะเป็นผู้ประกาศเป้ามหมายใหม่ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของญี่ปุ่น ในระหว่างที่เขากล่าวคำปราศรัยครั้วแรกต่อรัฐสภาในสัปดาห์หน้า หลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่งผู้นำญี่ปุ่นเมื่อเดือนที่แล้ว ก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นเคยกล่าวว่า จะเดินหน้าบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือศูนย์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในช่วงครี่งหลังของคริสศตวรรษนี้ แต่ไม่ได้ระบุปีที่เป็นเป้าหมาย ซึ่งการระบุปี 2050 ถือเป็นความพยายาที่ท้าทายของรัฐบาลญี่ปุ่น นิกเคอิ รายงานว่า การเปลี่ยนแปลงท่าทีเรื่องนี้ของญี่ปุ่นหมายความว่า ญี่ปุ่นกำลังดำเนินตามแนวทางของสหภาพยุโรปที่กำหนดเป้าหมายไว้เมื่อปีที่แล้วว่า จะลดก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050.


https://tna.mcot.net/world-567381

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #8  
เก่า 22-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


นักธรณีวิทยา เตือน "เขาตะปู" เสี่ยงถล่ม

นักธรณีวิทยา ชี้ "เกาะทะลุ" เป็นเขาหินปูน มีลักษณะเปราะ บวกกับมีรอยแตก ฐานของหินเล็ก ทำให้พังถล่ม เตือน "เขาตะปู" แหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง อีกจุดที่ต้องเฝ้าระวัง



วันนี้ (21 ต.ค.2563) นายอานนท์ อินทะโส ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรณี เขต 4 สุราษฎร์ธานี กล่าวถึงกรณีหินเกาะทะลุพังถล่ม ว่า ก่อนหน้านี้กรมทรัพยากรณีได้ทำการสำรวจ "เกาะทะลุ" มีอายุประมาณ 260 ล้านปี เป็นหินปูนมีลักษณะเปราะ มีรอยแตก ฐานของหินเกาะทะลุเล็กประกอบกับสัปดาห์ที่ผ่านมาภาคใต้มีฝนตกและคลื่นลมทะเลมีกำลังแรง จึงทำให้หินเกาะทะลุแตกและพังถล่มลงมา เป็นปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ

"เขาหินปูนจะมีคุณสมบัติในการละลายน้ำได้หากฝนตกลงมามาก น้ำฝนจะทำปฏิกิริยากับหินปูนทำให้เกิดการละลายประกอบกับมีรอยแยก รอยแตก มีฝนตกและมีลมแรง มีน้ำแทรกเข้ามาก จนสูญเสียเสถียรภาพทำให้เกิดการถล่ม ซึ่งสามารถเกิดในบนบกและในทะเล"

นักธรณีวิทยา กล่าวว่า การถล่มเป็นเหตุการณ์ทางธรรมชาติที่ผ่านมาขนาดเล็กร่องรอย 1 เมตร และบางทีก็จมในทะเล ซึ่งในพื้นที่ จ.กระบี่ บนบกก็เคยมีเขาหินปูนถล่ม ปัจจัยจากการเปิดหน้าดินบนภูเขาเพื่อสร้างรีสอร์ตพื้นที่ลาดชันเชิงเขาเป็นสิ่งที่อันตราย

"หลายจุดท่องเที่ยวทางทะเลที่มีลักษณะคล้ายกันเช่น เขาตะปู จ.พังงา ก็ถือเป็นจุดที่มีความเสี่ยง เพราะมีน้ำเข้าไปแทรก มีรอยแยก มีปัจจัยเรืองคลื่นลม และอาจต้องเฝ้าระวังและแจ้งเตือนนักท่องเที่ยว"



ขณะที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี และสำนักงานทรัพยากรธรณี เตรียมลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย และเร่งตรวจสอบเขาหินปูนลูกอื่น ๆ ในพื้นที่ เพราะยังมีอีกหลายลูกที่มีความเสี่ยงแตกหัก พัง ถล่มลงมาได้อีก

"ขอประชาชนในพื้นที่ระวังอันตราย ทั้งภูเขาหินปูนและดินโคลนถล่ม โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน"

ก่อนหน้านี้เคยเกิดเหตุเกาะหินแตกถล่ม ที่หมู่เกาะสุรินทร์ จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อ ก.ย.2563 ซึ่งมีการถล่มลงในทะเลเป็นบริเวณกว้าง ร้อยละ 15-20 ของพื้นที่เกาะ

โดยจากการตรวจสอบสันนิษฐานว่าเกิดจากการเคลื่อนตัวของชั้นหินและชั้นดินที่ถูกกัดเซาะจากฝนตกหนักและคลื่นลมแรง


"เขาหินปูน" หมู่เกาะอ่างทอง (ภาพ : กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช)


สำรวจใต้น้ำพบโพรงอากาศ เสี่ยงถล่มซ้ำ

ขณะที่วันนี้ เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ดำน้ำสำรวจพบว่าบริเวณรอบเกาะทะลุยังมีรอยร้าวอีกหลายจุด มีความเสี่ยงที่จะถล่มลงมาได้ จึงได้ประกาศเตือนนักท่องเที่ยว ให้ระมัดระวัง ห้ามเข้าใกล้จุดเกิดเหตุ

เจ้าหน้าที่ดำน้ำสำรวจที่ระดับความลึกประมาณ 20 เมตร พบก้อนหินขนาดใหญ่จำนวนมาก บางส่วนมีรอยแตกชิ้นส่วนกระจัดกระจายทั่วบริเวณ

นอกจากนั้นยังมีต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่อยู่บนเขาทะลุ หักโค่นลงมาทั้งต้น และพบว่ายังมีโพรงอากาศด้านล่างของเกาะทะลุ มีความเสี่ยงที่จะพังถล่มลงมาได้ตลอดเวลา นักดำน้ำจึงต้องรีบขึ้นมาเพื่อความปลอดภัย

ขณะที่ นายประยูร พงศ์พันธ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจ เพื่อห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวหรือเรือประมงเข้ามาใกล้บริเวณดังกล่าว




https://news.thaipbs.or.th/content/297622

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:12


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger