#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนปกคลุมภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นและอุณหภูมิลดลง โดยมีฝนบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย สำหรับร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านภาคใต้ตอนล่าง ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนตกหนักในระยะนี้ อนึ่ง พายุโซนร้อน "โคนี" (พายุระดับ 3) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีแนวโน้มเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลาง ในวันที่ 5 พ.ย. 2563 แล้วจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆบางส่วน อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 4 ? 6 พ.ย. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือประกอบกับมีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ส่งผลทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเกิดขึ้น และมีอากาศเย็น สำหรับร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยตอนบนและภาคใต้มีกำลังปานกลาง ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 7 ? 9 พ.ย. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงอีกระลอกจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนในระยะแรกหลังจากนั้นจะมีอุณภูมิลดลง 2-4 องศาเซลเซียส กับมีอากาศเย็นและมีลมแรง สำหรับร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยตอนบนและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้น กับมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อนึ่ง พายุโซนร้อน "โคนี" (พายุระดับ 3) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางมีแนวโน้มจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลาง และจะอ่อนกำลังลงในวันที่ 6 พ.ย. 63 ทำให้มีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ส่งผลทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเกิดขึ้น สำหรับพายุโซนร้อน "อัสนี" (พายุระดับ 3) บริเวณตอนบนของประเทศฟิลิปปินส์ มีแนวโน้มจะอ่อนกำลังลงในช่วงวันที่ 5-6 พ.ย. 63 ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนไว้ด้วย และประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย ********************************************************************************************************************************************************* ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "พายุโซนร้อน "โคนี" (พายุระดับ 3) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 5 ? 7 พ.ย. 2563)" ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 04 พฤศจิกายน 2563 เมื่อเวลา 04.00 น. ของวันนี้ (4 พฤศจิกายน 2563) พายุโซนร้อน "โคนี" บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีศูนย์กลางที่ละติจูด 14.7 องศาเหนือ ลองจิจูด 113.7 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วประมาณ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลางในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2563 และจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ ส่งผลให้ด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนเล็กน้อยถึงปานกลางกับมีลมแรง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ดู "เต่าทะเล" น่ารัก ที่ "เกาะมันใน" เกาะอนุรักษ์เต่าแห่งเดียวในไทย "ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก" บนเกาะมันใน จ.ระยอง เป็นสถานที่อนุบาลลูกเต่าทะเลก่อนจะปล่อยลงสู่ทะเล ซึ่งมีทั้งส่วนของอาคารพิพิธภัณฑ์เต่าทะเลไว้ให้ความรู้เรื่องเต่า และมีบ่อเลี้ยงเต่าช่วงวัยต่างๆ ให้ได้ชม https://mgronline.com/news-clips/3dJUEhYN2ag ********************************************************************************************************************************************************* ตะลึง! ความมหัศจรรย์แหล่ง "กัลปังหา" ที่หัวเกาะกระดาน ความสวยงามแห่งท้องทะเลตรัง ตรัง ? นักดำน้ำตะลึงในความมหัศจรรย์ของแหล่ง "กัลปังหา" ที่บริเวณ "หัวเกาะกระดาน" หนึ่งในสถานที่จัดงานวิวาห์ใต้สมุทรอันโด่งดัง เนื่องจากมีปริมาณหนาแน่น และสวยงามแห่งหนึ่งของท้องทะเลตรัง หลังจากสถานการณ์ฟ้าฝนใน จ.ตรัง เริ่มลดลง และเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวทางทะเลตรัง โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนท้ายสุดของปี 2563 ทำให้นักท่องเที่ยวทยอยกันเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังท้องทะเลตรังในยุค New Normal ซึ่งช่วงนี้ค่อนข้างจะมีสภาพธรรมชาติที่สวยสดงดงาม และเหมาะสำหรับการดำน้ำลงไปชมความมหัศจรรย์ใต้ท้องทะเล โดยเฉพาะหนึ่งในแหล่ง "กัลปังหา" ที่นักท่องเที่ยวนิยมดำน้ำลงไปสัมผัส อย่างที่บริเวณ "หัวเกาะกระดาน" หรือ "เกาะแห่งความรัก" เนื่องจากเป็นหนึ่งในสถานที่จัดงานวิวาห์ใต้สมุทรอันโด่งดัง "จารโบ" แห่ง Ezy Free Dive Thailand ครูสอนดำน้ำชื่อดังระบุว่า "กัลปังหา" ที่บริเวณหัวเกาะกระดาน อาทิ กัลปังหาพุ่มไม้ กัลปังหาพิณ กัลปังหาพัด ถือเป็นจุดที่มีปริมาณหนาแน่นมากแห่งหนึ่งของทะเลตรัง จนบรรดานักดำน้ำต้องตะลึงในความมหัศจรรย์ ถึงแม้ในเดือนหนึ่งๆ จะสามารถดำน้ำลงไปชมได้แค่ 6-8 วัน และในแต่ละวันจะดำน้ำลงไปชมได้แค่ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะเป็นจุดที่มีกระแสน้ำแรง จึงต้องคำนึงเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม ก็เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากนิยมดำน้ำลงไปชมความสวยงามของธรรมชาติกัน https://mgronline.com/south/detail/9630000113923 ********************************************************************************************************************************************************* ทช.เดินหน้าผุดถนนเลียบทะเลกว่า 1,500 กม. วางแนวผ่านจุดไฮไลต์ หนุนท่องเที่ยวไทย ทช.เร่งพัฒนาถนนเลียบชายฝั่งทะเลภาคใต้ (ไทยแลนด์ริเวียร่า) 1,500 กม. ถนนเลียบแม่น้ำโขง 750 กม. และถนนเลียบชายเขาด้านทิศใต้ของเขาใหญ่ "บูรพาคีรี" 175 กม. ขึงแนวผ่านแหล่งท่องเที่ยว จุดชมวิวไฮไลต์ ช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชน ส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศ นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปิดเผยถึงการพัฒนาให้เป็นถนนเพื่อการท่องเที่ยวและเส้นทางชมทิวทัศน์ (Scenic Route) ว่า ทช.มีนโยบายที่จะเพิ่มศักยภาพของโครงข่ายสายทาง ถนนเพื่อการท่องเที่ยวและเส้นทางชมทิวทัศน์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของไทยตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (2561-2580) โดยมีการปรับปรุงถนนทางหลวงชนบทให้มีความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการเดินทางเข้าถึงและเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ รวมถึงการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้เป็นจุดชมทิวทัศน์หรือแหล่งเรียนรู้ในชุมชน ซึ่งในปัจจุบัน ทช.อยู่ระหว่างดำเนินการ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้ 1. ถนนเลียบชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Thailand Riviera) เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวตามแนวชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทย จากจังหวัดสมุทรปราการถึงจังหวัดนราธิวาส แบ่งการดำเนินการเป็น 4 ระยะคือ ระยะที่ 1 จากจังหวัดสมุทรสงครามถึงจังหวัดชุมพร ระยะทางประมาณ 659 กม. ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างไปแล้วมากกว่า 80% จำนวน 35 โครงการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จำนวน 5 โครงการ และในปี 2565 ได้เสนอของบประมาณดำเนินการอีกจำนวน 2 โครงการ คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จทั้งหมดในปี 2566 ระยะที่ 2 จากจังหวัดชุมพรถึงจังหวัดสงขลา ระยะทางประมาณ 555 กม. เริ่มต้นก่อสร้างบางช่วงแล้วตั้งแต่ปี 2563 โดยมีแผนก่อสร้างขยายไหล่ทาง 25 โครงการ ปรับปรุงผิวจราจร 41 โครงการ คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จทั้งหมดในปี 2569 ระยะที่ 3 จากจังหวัดสมุทรปราการถึงจังหวัดสมุทรสงคราม ระยะทางประมาณ 144.59 กม. ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการสำรวจออกแบบและศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม คาดว่าจะเริ่มต้นก่อสร้างได้ในปี 2566 แนวเส้นทางประกอบด้วย แนวเส้นทางสายหลัก ความยาวรวม 88.64 กม., แนวเส้นทางที่แยกออกไปยังแหล่งท่องเที่ยว ความยาวรวม 48.75 กม. และแนวเชื่อมต่อกับถนนเลียบชายฝั่งทะเลอ่าวไทยช่วงจังหวัดสมุทรสาครถึงจังหวัดชุมพร ความยาวรวม 7.20 กม. ระยะที่ 4 จากจังหวัดสงขลาถึงจังหวัดนราธิวาส ระยะทางประมาณ 190 กม. คาดว่าจะสำรวจออกแบบในปี 2566 นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจออกแบบถนนเพิ่มเติมแนวเลียบเทือกเขาตะนาวศรีในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระยะทางประมาณ 250 กม. แนวเส้นทางประกอบด้วย แนวเส้นทางสายหลัก ความยาวรวม 186 กม. ครอบคลุมพื้นที่ 6 อำเภอของจังหวัดเพชรบุรี และ 2 อำเภอของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์, แนวเส้นทางที่แยกออกไปยังแหล่งท่องเที่ยว ความยาวรวม 71.30 กม. และแนวเส้นทางที่เชื่อมกับโครงข่ายทางหลวงสายหลัก ความยาวรวม 87.70 กม. 2. ถนนเลียบแม่น้ำโขง "นาคาวิถี" สนับสนุนเขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตลุ่มแม่น้ำโขง จากจังหวัดเลยถึงจังหวัดอุบลราชธานี ระยะทางรวมประมาณ 750 กม. โดยปัจจุบันได้ดำเนินการสำรวจออกแบบระยะที่ 1 แล้ว จากจังหวัดมุกดาหารถึงจังหวัดนครพนม ระยะทางประมาณ 42 กม. และจะดำเนินการสำรวจออกแบบส่วนที่เหลือในระยะถัดไป ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2565 3. ถนนเลียบชายเขาด้านทิศใต้ของเขาใหญ่ "บูรพาคีรี" มีระยะทางประมาณ 175 กม. ผ่านแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญหลายแห่งในจังหวัดนครนายก นครราชสีมา ปราจีนบุรี และสระแก้ว เช่น อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และอุทยานแห่งชาติปางสีดา ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างสำรวจออกแบบ https://mgronline.com/business/detail/9630000113883
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
มิติใหม่ ?หาดจอมเทียน? เดินหน้าเสริมชายหาด แก้ปัญหากัดเซาะ-ส่งเสริมการท่องเที่ยว กรมเจ้าท่าเปิดตัวโครงการเสริมทรายชายหาดจอมเทียน แก้ปัญหาการกัดเซาะชายหาด พร้อมส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยโครงการจะเริ่มงานในระยะที่ 1 ก่อน เป็นระยะทางรวมทั้งสิ้นกว่า 3.5 กิโลเมตร จากความสำเร็จของโครงการเสริมทรายชายหาดพัทยา ที่ได้ปรับโฉมชายหาดพัทยา ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ซึ่งถือเป็นโครงการนำร่องที่ช่วยฟื้นฟู และกระตุ้นการท่องเที่ยวชายหาดพัทยา ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม จึงได้เดินหน้า โครงการเสริมทรายชายหาดจอมเทียน เป็นแห่งที่ 2 เพื่อรองรับธุรกิจการท่องเที่ยวของจังหวัดชลบุรี นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยว่า จากรายงานการศึกษาและจัดทำแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งพื้นที่อ่าวไทยฝั่งตะวันออก โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ปี พ.ศ. 2552 พบว่าปัจจุบันชายหาดจอมเทียน (จ.ชลบุรี) ประสบปัญหาการกัดเซาะอย่างรุนแรงและต่อเนื่องเช่นเดียวกับชายหาดพัทยา ส่งผลให้ชายหาดถดถอยและลดขนาดลงไปทุกปี จนเหลือพื้นที่ทรายชายหาดจอมเทียนไม่เพียงพอ ที่จะรองรับกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนบนชายหาดได้ ในบางช่วงของชายหาดเมื่อน้ำขึ้น ชายหาดจะจมอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลทั้งหมดไม่หลงเหลือชายหาดเลย ซึ่งอาจส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวให้มีแนวโน้มลดลงไปในอนาคต หากปล่อยทิ้งไว้ ภายในไม่ถึง 10 ปี ชายหาดจอมเทียนจะไม่มีทรายเหลืออยู่เลย ดังนั้นจึงได้มีนโยบายเร่งด่วน เพื่อทำการเสริมทรายเพื่อป้องกันปัญหาการกัดเซาะชายหาดเช่นเดียวกับที่ชายหาดพัทยา โดยจะเริ่มงานในระยะที่ 1 ก่อน เป็นระยะทางรวมทั้งสิ้นกว่า 3.5 กิโลเมตร "จากความสำเร็จของโครงการเสริมทรายชายหาดพัทยา ระยะทาง 2.8 กิโลเมตร ทำให้ กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ได้จัดหางบประมาณเพื่อทำการเสริมทรายในพื้นที่ ชายหาดจอมเทียน เป็นโครงการที่ 2 เพื่อเป็นการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการท่องเที่ยวและการสร้างการเติบโตบนคุณภาพ ให้มีการเจริญเติบโตของคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสามารถสร้างมาตรการควบคุมผลกระทบที่จะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด เป็นไปตามมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับของสังคมโดยทั่วไป" นายวิทยา กล่าว โครงการนี้ได้รับการจัดสรรงบประมาณจำนวน 586,047,000 บาท กรมเจ้าท่า ได้ว่าจ้างให้ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบทำการเสริมทรายชายหาดจอมเทียน จังหวัดชลบุรี ระยะที่ 1 ในครั้งนี้ โดยเริ่มการทำงานตั้งแต่ 29 พฤษภาคม 2563 จนถึง 15 พฤศจิกายน 2565 เป็นระยะเวลา 900 วัน โดยแหล่งทรายที่จะใช้เสริมชายหาดจอมเทียน นำมาจากบริเวณทิศตะวันตกของเกาะรางเกวียน ซึ่งอยู่ห่างจากชายหาดจอมเทียนออกไปประมาณ 15 กิโลเมตร และเป็นแหล่งเดียวกับที่ใช้เสริมทรายชายหาดพัทยามาแล้ว โดยคาดว่าในครั้งนี้จะใช้ทรายรวมทั้งสิ้นราว 6.4 แสนลบ.ม. สำหรับขอบเขตของงานแบ่งเป็น 8 ประเภทด้วยกัน คือ 1. งานเสริมทรายชายหาด ความยาว 3,575 เมตร 2. งานก่อสร้างแหล่งสำรองทรายชายหาด ความยาว 225 เมตร 3. งานติดตั้งระบบป้องกันชายหาดแห้งด้วยวิธีระบายน้ำลงสู่ชั้นนำใต้ดิน 2,105 เมตร 4. งานติดตั้งท่อระบายน้ำเชื่อมต่อท่อระบายน้ำเดิม ความยาว 51 เมตร 5. งานก่อสร้างบันไดคอนกรีต ขึ้น-ลง ชายหาด 67 จุด 6. งานติดตั้งป้ายประติมากรรมและป้ายมาตรฐานรวม 2 จุด 7. งานมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม 8. งานประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจกับประชาชน หลังจากการฟื้นฟูบูรณะชายหาดจอมเทียนเสร็จสิ้นแล้ว ชายหาดจะมีขนาดความกว้างเฉลี่ยประมาณ 50 เมตร มีความสวยงาม และใช้เป็นพื้นที่สันทนาการได้มากกว่าเดิม ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่า การดำเนินโครงการดังกล่าวมีความคุ้มค่า เงิน 1 บาทที่ลงทุนไปในการเสริมชายหาดจอมเทียนในครั้งนี้ จะสร้างเม็ดเงินกลับคืนมาในระบบประมาณ 3.20 บาท ทั้งนี้หากผู้สนใจต้องการข่าวสารโครงการ มีข้อสงสัย ปัญหา หรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโครงการ สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์โครงการฯ บริเวณหน้าชายหาดจอมเทียน 14 โทรศัพท์ 062-490-9099 หรือติดต่อผ่านสายด่วนกรมเจ้าท่า 1199 https://mgronline.com/travel/detail/9630000113926 ********************************************************************************************************************************************************* ศรีลังกาช่วยชีวิต 'วาฬนำร่อง' เกยตื้นกว่า 100 ตัว มากสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ กองทัพเรือศรีลังกา และอาสาสมัครกู้ภัย เร่งช่วยเหลือฝูงวาฬนำร่องกว่า 120 ตัว ซึ่งว่ายมาเกยตื้นบริเวณชายหาดของเมืองปานาดูรา (Panadura) ตั้งแต่บ่ายวานนี้ (2 พ.ย.) นับเป็นเหตุวาฬเกยตื้นที่มีจำนวนวาฬฝูงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ อินดิกา เดอ ซิลวา โฆษกกองทัพเรือ ระบุว่า เจ้าหน้าที่กองทัพเรือ, ยามฝั่ง และอาสาสมัครในท้องถิ่นช่วยกันผลักดันวาฬกลับลงทะเลไปได้แล้วประมาณ 120 ตัว เมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา หลังจากพยายามช่วยชีวิตพวกมันตลอดทั้งคืน "เราใช้เรือตรวจการณ์ขนาดเล็กค่อยๆ ลากฝูงวาฬออกไปยังที่น้ำลึกทีละตัวๆ แต่น่าเสียดายที่วาฬ 2 ตัวตายลง เนื่องจากได้รับบาดเจ็บรุนแรงระหว่างเข้ามาเกยตื้น" เดอ ซิลวา ระบุ หน่วยงานท้องถิ่นเตรียมรับมือกับเหตุฝูงวาฬเกยตื้นคล้ายๆ กับที่เกิดขึ้นบนเกาะแทสเมเนียเมื่อเดือน ก.ย. ซึ่งตอนนั้นมีฝูงวาฬนำร่องว่ายหลงทางมาเข้าฝั่งมากถึง 470 ตัว และรอดชีวิตเพียง 110 ตัวเท่านั้น สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมทางทะเลของศรีลังกา (MEPA) ยืนยันว่า ฝูงวาฬที่เกยตื้นบนชายหาดปานาดูรานั้นมีจำนวนมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประเทศ "การที่วาฬฝูงใหญ่ขนาดนี้มาเกยตื้นบนชายหาดของเราเป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง" ธาร์ชานี ลาฮันดาปูรา ผู้อำนวยการ MEPA ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี พร้อมระบุว่ายังไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้ฝูงวาฬหลงทิศทาง "เราคิดว่ามันน่าจะคล้ายกับกรณีวาฬเกยตื้นที่แทสเมเนียเมื่อเดือน ก.ย." วาฬนำร่องเป็นสัตว์สังคมที่มีความสัมพันธ์เหนียวแน่นกับฝูงของมัน ตัวที่โตเต็มวัยอาจมีความยาวถึง 6 เมตร และหนักประมาณ 1 ตัน นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับปรากฏการณ์วาฬเกยตื้นมานานหลายสิบปี แต่ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบที่ชัดเจนได้ ที่มา: เอเอฟพี https://mgronline.com/around/detail/9630000113942
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยโพสต์
ศรีลังกาเร่งช่วยวาฬ120ตัวแห่เกยตื้น อาสาสมัครและทหารเรือศรีลังกาช่วยวาฬนำร่องประมาณ 120 ตัวที่เกยตื้นเมื่อวันอังคาร เป็นการเกยตื้นครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประเทศเอเชียใต้แห่งนี้ วาฬนำร่องโตซึ่งสามารถเต็มที่ได้ถึง 6 เมตร และหนักราว 1 ตัน พากันมาเกยตื้นที่ชายหาดในเมืองพนาดูราเมื่อวันจันทร์ ชายหาดแห่งนี้อยู่ทางฝั่งตะวันตกของศรีลังกา ห่างจากกรุงโคลัมโบทางใต้ราว 25 กิโลเมตร วาฬนำร่องตายไป 3 ตัว และโลมาตาย 1 ตัว ปทุม ฮิรุชัน ชาวบ้านบริเวณที่วาฬขึ้นมาเกยตื้น เผยว่า ช่วงบ่ายวันจันทร์มีวาฬมาเกยตื้นไม่กี่ตัว แต่หลังจากนั้นมีวาฬมาเกยตื้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงโพล้เพล้มีวาฬมากกว่า 100 ตัว ชาวประมงบริเวณนั้นช่วยกันดันตัววาฬให้กลับสู่ทะเล แต่คลื่นลมค่อนข้างแรง พัดวาฬกลับมาชายฝั่งอีก หลังจากนั้นทหารเรือนำเรือมาช่วยวาฬที่เกยตื้นโดยทำงานกันทั้งคืน อินดิกา เด ซิลวา โฆษกกองทัพเรือศรีลังกา เผยกับเอเอฟพีว่า ทหารเรือ, หน่วยยามชายฝั่งและอาสาสมัครหลายสิบคน ช่วยนำวาฬที่มาเกยตื้นกลับสู่น้ำลึก ด้วยความช่วยเหลือของเรือลาดตระเวนขนาดเล็กในช่วงรุ่งอรุณวันอังคาร สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมทางทะเลของศรีลังกากล่าวว่า เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์วาฬเกยตื้นครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศ. https://www.thaipost.net/main/detail/82725
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจ
ครม.สัญจรภูเก็ต ไฟเขียว อนุรักษ์-ฟื้นฟูชายฝั่งอันดามัน 12 โครงการ 2,298 ล้าน เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ครั้งที่ 3/2563 กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา ระนองและสตูล) ที่โรงแรมสแปลช บีช รีสอร์ท ไม้ขาว จังหวัดภูเก็ต นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตนรี แถลงว่า ที่ประชุมเห็นชอบโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามันเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน วงเงิน 2,298 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์สิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทยเฉลิมพระเกียรติ พื้นที่ดำเนินการจังหวัดภูเก็ต 786 ล้านบาท 2. โครงการพัฒนาศูนย์เรียนรู้ป่าชายเลนระนองสู่มรดกโลกเพื่อการท่องเที่ยว พื้นที่ดำเนินการจังหวัดระนอง 385 ล้านบาท 3. โครงการป้องกันและเฝ้าระวังภัยจากแมงกะพรุนพิษในพื้นที่ชายหาดท่องเที่ยว พื้นที่ดำเนินการจังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ ระนอง ตรัง และสตูล 54 ล้านบาท 4.โครงการจัดทำระบบเฝ้าระวังมลพิษและติดตามมลพิษทางทะเลเพื่อการท่องเที่ยวปลอดภัย พื้นที่ดำเนินการจังหวัดภูเก็ต พังงาและกระบี่ 106 ล้านบาท 5.โครงการติดตั้งทุ่นผูกเรื่อเพื่อการอนุรักษ์ปะการังในพื้นที่ท่องเที่ยวทางทะเล พื้นที่ดำเนินการจังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล 66 ล้านบาท 6. โครงการติดตั้งทุ่นแพลอยน้ำเพื่อเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศทางทะเลฝั่งอันดามัน พื้นที่ดำเนินการจังหวัดกระบี่ ภูเก็ต พังงา ตรัง สตูล และระนอง 54 ล้านบาท 7.โครงการจัดการขยะในแหล่งท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล พื้นที่ดำเนินการจังหวัดกระบี่ พังงา และระนอง 44 ล้านบาท 8. โครงการเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนเพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พื้นที่ดำเนินการจังหวัดภูเก็ต กระบี่ และระนอง 59.450 ล้านบาท 9. โครงการฟื้นฟูแนวปะการังด้วยการปลูกเสริมในพื้นที่ท่องเที่ยวทางทะเล พื้นที่ดำเนินการจังหวัดกระบี่ ภูเก็ต และพังงา230 ล้านบาท 10. โครงการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรในแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล พื้นที่ดำเนินการจังหวัดกระบี่ ภูเก็ต พังงา ตรัง สตูล และระนอง 200 ล้านบาท 11. โครงการฟื้นฟูชายหาดคึกคักแบบบูรณาการ พื้นที่ดำเนินการ จังหวัดพังงา งบประมาณ 199 ล้าบาท และ 12.โครงการศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการการศึกษาออกแบบแนวกันคลื่นปากร่องน้ำเค็มเกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า พื้นที่ดำเนินการจังหวัดพังงา 10 ล้านบาท https://www.prachachat.net/politics/news-549467
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก PPTV
อ่าวมาหยา เตรียมเปิดให้เที่ยวอีกครั้งต้นปี 2564 "อ่าวมาหยา" หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ เตรียมเปิดให้เที่ยวอีกครั้ง ต้นปี 2564 หลังการสร้างท่าเทียบเรือลอยน้ำใกล้แล้วเสร็จ แต่ต้องผ่านคณะกรรมการพิจารณาความเหมาะสม การควบคุม นักท่องเที่ยว กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช อ่าวมาหยา หมู่เกาะพีพี ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ เตรียมเปิดให้ท่องเที่ยวประมาณต้นปี 2564 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวหลังผ่านช่วงวิกฤตโควิด 19 โดยกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้ประกาศปิด ตั้งแต่กลางปี 2561 ที่ผ่านมา เนื่องจาก ธรรมชาติ ระบบนิเวศน์ ทั้ง บนบกและใต้ทะเล ปะการังมีสภาพเสื่อมโทรม ซึ่งเป็นผลมาจากการท่องเที่ยว ล่าสุดพบว่าขณะนี้ระบบนิเวศเริ่มมีการฟื้นตัวบ้างแล้ว ธรรมชาติบนบก บริเวณชายหาดมีการผักบุ้งทะเลงอกขึ้นบนชายหาด มีปูลม ปูไก่ กลับเข้ามาหากิน และพืชพันธุ์ไม้ประจำถิ่นบนฝั่ง เจริญเติบโตดี และการสร้างท่าเทียบเรือลอยน้ำ บริเวณอ่าวโล๊ะซามะ ด้านหลังอ่าวมาหยา ใกล้แล้วเสร็จ มีการย้ายปะการังบางส่วน ออกจากพื้นที่ แต่อย่างไรก็ตามต้องผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการทั้งนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ พิจารณาความเหมาะสม ว่า เปิดให้มีการท่องเที่ยวได้หรือไม่ จะมีการควบคุมนักท่องเที่ยว ไม่เกินวันละ 350 คน และห้ามเรือเข้าออกบริเวณหน้าอ่าวมาหยา https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8...0%B8%99/136028
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#7
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
ปริศนาหายนะระบบนิเวศทางทะเลของรัสเซียที่คาบสมุทรคัมชัตคา ชายหาดบริเวณคาบสมุทรคัมชัตคา ทางภาคตะวันออกไกลของรัสเซียถูกเปรียบให้เป็นดั่งแดนสวรรค์ของนักเล่นกระดานโต้คลื่น เพราะมีธรรมชาติที่บริสุทธิ์และงดงาม ทว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ คนในพื้นที่เริ่มสัมผัสถึงสิ่งผิดปกติในท้องทะเลแถบนี้ ช่วงปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา มีรายงานว่านักเล่นกระดานโต้คลื่นหลายคนเริ่มมีอาการป่วยประหลาดอย่างไม่ทราบสาเหตุ เช่น ตาพร่า อาเจียน หายใจลำบาก และมีอาการระคายเคืองที่ผิวหนัง นายอันตอน โมโรซอฟ นักเล่นกระดานโต้คลื่น เล่าให้บีบีซีฟังว่า "ผมประสบเหตุมากับตัวเอง ดวงตาผมแห้ง และรู้สึกว่ามีรสชาติสารเคมีแปลก ๆ อยู่ในลำคอตลอดเวลา" แต่สิ่งที่สร้างความตกตะลึงให้คนในพื้นที่คือการพบซากสัตว์ทะเลจำนวนมากตายเกลื่อนชายหาด ส่งผลให้หลายฝ่าย ซึ่งรวมถึงองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมพยายามค้นหาสาเหตุของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ในช่วงแรกมีการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับฐานทัพและหลุมฝังกลบขยะที่ถูกทิ้งร้างในพื้นที่ โดยนายวลาดิเมียร์ โซโลดอฟ ผู้ว่าการภูมิภาคคัมชัตคา ระบุว่า ในช่วงทศวรรษที่ 1970 มีการขุดหลุมฝังกลบย่าฆ่าแมลงและสารเคมีอื่น ๆ ไว้ที่นั่น อย่างไรก็ตาม ผลตรวจเบื้องต้นบ่งชี้ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีการตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจเกิดจาก "สาเหตุตามธรรมชาติ"เช่น สาหร่ายพิษอาจเป็นสาเหตุการเจ็บป่วยของบรรดานักโต้คลื่น ส่วนปรากฏการณ์ที่สัตว์ทะเลตายเป็นจำนวนมากนั้น คาดว่าน่าจะมีสาเหตุจาก "ปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ" (Red tide) ซึ่งเกิดจากการที่มีสาหร่ายปริมาณมหาศาลเติบโตในเขตน้ำตื้น แล้วดึงออกซิเจนส่วนใหญ่ไปใช้ ทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นในทะเลขาดอากาศหายใจ แต่ปัจจุบันยังไม่มีการพิสูจน์ทฤษฎีที่ว่านี้ว่าคือสาเหตุที่แท้จริงของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นหรือไม่ ดังนั้นจึงทำให้ต้องเร่งค้นหาสาเหตุของภัยพิบัติทางระบบนิเวศครั้งนี้ แต่กว่าจะพบคำตอบ น่านน้ำบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิกแห่งนี้จึงยังไม่ปลอดภัยสำหรับสัตว์หรือมนุษย์ที่อยู่อาศัยในแถบนี้ https://www.bbc.com/thai/features-54726843
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|