เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 13-06-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2566

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ในขณะที่ร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ และประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ ส่วนมากบริเวณด้านรับมรสุม โดยมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบน มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนบริเวณทะเลอันดามันตอนล่าง และอ่าวไทยตอนบน ทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้ไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย


ในช่วงวันที่ 12 ? 14 มิ.ย. 66 ร่องมรสุมที่พาดผ่านบริเวณประเทศเมียนมาและประเทศลาวตอนบนและเวียดนามตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยจะมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนบริเวณทะเลอันดามันตอนล่างและบริเวณอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 15 ? 18 มิ.ย. 66 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย จะมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนลดลง โดยมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคใต้ คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลง โดยมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 13 ? 14 มิ.ย. 66 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 13-06-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


ผงะ! ชายหาดบ้านอำเภอ เมืองสัตหีบ จ.ชลบุรี ทรุดโทรมหนักหลังขาดการดูแล

ศูนย์ข่าวศรีราชา -ผงะ! ชายหาดบ้านอำเภออีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล เมืองสัตหีบ จ.ชลบุรี ไร้การเหลียวแลจนเกิดการเสื่อมโทรมอย่างหนัก ทั้งขยะถูกคลื่นซัดลอยเกลื่อน ทุ่นลอย 37 ล้านบาทเสียหายหนัก ชาวบ้านจี้หน่วยงานรัฐดูแลด่วน



วันนี้ (12 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากประชาชนและนักท่องเที่ยวให้ลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณชายหาดบ้านอำเภอ ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี หลังพบว่าปัจจุบันมีสภาพเสื่อมโทรมอย่างหนัก จนอาจส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและภาพลักษณ์การท่องเที่ยว

จากการตรวจสอบพบว่า บริเวณชายหาดมีสภาพเสื่อมโทรมจริง น้ำทะเลเป็นสีดำสกปรก และยังมีขยะมูลฝอยลอยอยู่ในทะเล รวมถึงถูกคลื่นซัดเกยชายหาดกินพื้นที่เป็นวงกว้าง ไม่เพียงเท่านั้น ทุ่นลอยอเนกประสงค์ ที่จัดทำไว้เพื่อเป็นสะพานทอดยาวลงไปในทะเล ด้วยงบประมาณสูงถึง 37 ล้านบาท ก็เกิดการชำรุดเสียหาย ชิ้นส่วนกระจัดกระจาย ต้นไม้บางส่วนยืนต้นตาย

เบื้องต้นยังไม่มีหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้ามาดูแล ชาวบ้านในพื้นที่จึงฝากวอนให้เร่งเข้าดำเนินการซ่อมแซมทุ่นลอยที่มีสภาพชำรุดอย่างหนัก เพราะเกรงว่าหากปล่อยไว้อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่นักท่องเที่ยวและอาจหลุดลอยหายไปในทะเล จนเกิดความเสียหาย

ส่วนสภาพชายหาดที่เต็มไปด้วยขยะมูลฝอยก็ขอให้เร่งส่งเจ้าหน้าที่เข้าทำการฟื้นฟูให้กลับมาสวยงามดังเดิม


https://mgronline.com/local/detail/9660000053729


******************************************************************************************************


ชาวประมงพื้นบ้านอ่างศิลาพบ "อำพันทะเล" หนักเกือบ 2 กก.ชี้หากเป็นของจริงราคาถึงหลักล้าน

ศูนย์ข่าวศรีราชา - สุดโชคดีชาวประมงพื้นบ้านอ่างศิลา จ.ชลบุรี พบ "อำพันทะเล" หรืออ้วกวาฬ หนักเกือบ 2 กก.ขณะออกเก็บอวนปูม้ากลางทะเล แต่ยังข้องใจใช่ของจริงหรือไม่ วอนผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจสอบชี้หากเป็นของจริงราคาถึงหลักล้าน



วันนี้ (12 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ ม.5 ต.อ่างศิลา อ.เมืองชลบุรี ว่ามีชาวประมงพบอำพันทะเล หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "อ้วกวาฬ" ซึ่งถือเป็นวัตถุหายากและมีราคาแพง หลังรับแจ้งจึงเดินทางลงพื้นที่ตรวจสอบ กระทั่งพบกับ นายวิรัช บุญลาด อายุ 46 ปี และภรรยา ที่ได้นำวัตถุคล้ายก้อนหินที่มีลักษณะเหมือนกับอัมพันทะเล น้ำหนักประมาณ 1.8 กิโลกรัม ซึ่งเมื่อใช้นิ้วกดลงไปพบว่ามีความนิ่ม และมีกลิ่นคาว เมื่อนำไปลนไฟมีน้ำมันไหลออกมา

นายวิรัช บอกว่า หลังจากได้ออกไปเก็บอวนปูม้าในทะเลอ่างศิลา บริเวณปากคลองชมนาค ได้พบวัตถุคล้าย "อำพันทะเล" จึงรีบนำขึ้นจากทะเล และเมื่อตรวจสอบข้อมูลจากออนไลน์พบวัตถุดังกล่าวมีลักษณะตรงกับ "อำพันทะเล" ทุกประการจึงเชื่อว่าน่าจะเป็นของจริง

เนื่องจากที่ผ่านมา ตนเองเคยพบเห็นโลมา และปลาวาฬเข้ามาว่ายเล่นน้ำทะเลบริเวณดังกล่าว แต่เพื่อให้เกิดความมั่นใจ จึงอยากให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบว่าวัตถุที่พบเป็น "อำพันทะเล" หรือไม่

"หากเป็นของจริงพร้อมที่จะขายให้ผู้ที่สนใจเนื่องจากช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดีทางครอบครัวจึงอยากมีเงินไว้สำรองใช้ และเก็บเป็นทุนต่อยอดในการดำรงชีวิต ทั้งนี้หากใครสนใจสามารถโทรศัพท์สอบถามมาได้ที่เบอร์ 09-6326-1460" นายวิรัช กล่าว

ทั้งนี้ "อำพันทะเล" คือขี้ หรืออ้วกของวาฬหัวทุย ที่เกิดจากอาหารจำพวกหมึกที่วาฬกินเข้าไป แต่ร่างกายไม่สามารถขับไขมันจากหมึกได้จึงทำให้ไขมันของหมึกสะสมอยู่ในลำไส้ของวาฬ

และเมื่อร่างกายขับถ่ายไขมันส่วนนี้ออกมาพร้อมอุจจาระ หรือสำลอกไขมันออกมา ชาวประมงจะเรียกว่า "อ้วก" ซึ่งส่วนที่ละลายน้ำทะเลได้จะเหมาะกับการนำไปทำน้ำหอมเกรดเอ จึงทำให้มีราคาแพงถึงกิโลกรัมละ 1 ล้านบาท


https://mgronline.com/local/detail/9660000053669

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 13-06-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


ประมงประกาศ 'ปิดอ่าวไทยรูปตัว ก' 8 จังหวัด ฟื้นฟูสัตว์น้ำฤดูวางไข่

กรมประมง ประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรในช่วงสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ และเลี้ยงตัวอ่อน ในทะเลอ่าวไทยตอนใน (อ่าวไทยรูปตัว ก) ประจำปี 2566 ช่วงที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.- 15 ส.ค. และช่วงที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.-30 ก.ย. ครอบคลุมพื้นที่ 8 จังหวัด จึงขอความร่วมมือพี่น้องชาวประมงปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด



นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า กรมประมงประกาศใช้มาตรการปิดอ่าวไทยรูปตัว ก ประจำปี 2566 จำนวน 2 ช่วง ดังนี้ ช่วงที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.-15 ส.ค. 2566 ในพื้นที่จับสัตว์น้ำอ่าวไทยตอนใน ฝั่งตะวันตก บางส่วนของ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร โดยเริ่มจาก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และสิ้นสุดที่ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2,350 ตารางกิโลเมตร

ช่วงที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.- 30 ก.ย. 2566 ในพื้นที่จับสัตว์น้ำอ่าวไทยตอนใน ด้านเหนือบางส่วนของ จ.สมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา และชลบุรี โดยเริ่มจาก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร และสิ้นสุดที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,650 ตารางกิโลเมตร

สำหรับบทลงโทษผู้ฝ่าฝืน ต้องระวางโทษ ปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงสามสิบล้านบาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของเรือประมง หรือปรับจำนวนห้าเท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จากการทำการประมง แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า และต้องได้รับโทษทางปกครองอีกด้วย

ทั้งนี้ ในพื้นที่อ่าวไทยตอนใน หากพิจารณาจากผลจับสัตว์น้ำจากเครื่องมือประมงพาณิชย์ (เครื่องมืออวนล้อมจับ) เฉพาะในพื้นที่อ่าวไทยตอนในช่วงหลังมาตรการฯ พบว่าปี 2565 มีอัตราการจับเฉลี่ยเท่ากับ 11,716.75 กิโลกรัม/วัน เพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2564 ถึง 8,631.33 กิโลกรัม/วัน (ปี 2564 ที่มีอัตราการจับเฉลี่ยเท่ากับ 3,085.42 กิโลกรัม/วัน) โดยสัตว์น้ำหลักที่จับได้ อาทิ ปลามงโกรย ปลาหลังเขียว ปลาสะดือขอ

แต่โดยภาพรวม การปิดอ่าวฯ ส่งให้ผลการจับปลาเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวสูงขึ้นจากการเพิ่มของกลุ่มปลาผิวน้ำ เช่น ปลาสีกุนเขียว ปลาหลังเขียว และปลาตะเพียนน้ำเค็ม

สำหรับปลาทู ลูกปลาที่เกิดมาใหม่ในพื้นที่อ่าวไทยตอนกลาง (ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี) เริ่มเดินทางเข้าหาฝั่ง ซึ่งกรมประมงประกาศปิดต่อเนื่องบริเวณเขตชายฝั่งทะเลของจ.ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี ในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย. เพื่ออนุรักษ์ลูกปลาทูที่เกิดใหม่

รวมทั้งประกาศปิดเขตต่อเนื่องบริเวณปลายแหลมเขาม่องไล่ ถึง อ.หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อรักษาปลาทูสาวให้หากินและเลี้ยงตัว จนมีขนาดประมาณ 11-12 ซม. หลังจากนั้นจะเริ่มเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่อ่าวไทยตอนใน (อ่าวไทยรูปตัว ก) ฝั่งตะวันตก ในช่วงเดือนมิ.ย.-ก.ค. ในช่วงเวลาดังกล่าวจะพบปลาทูที่มีขนาด ประมาณ 14-15 ซม. ซึ่งเรียกว่า ปลาทูสาว และอยู่หากินในพื้นที่ โดยค่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นลำดับ และเริ่มเคลื่อนเข้าสู่ก้นอ่าว หรือพื้นที่ปิดฝั่งเหนือช่วงเดือนส.ค.-ก.ย. ในช่วงเวลาดังกล่าวพบปลาทูมีขนาด ประมาณ 16-17 ซม. ซึ่งเป็นขนาดพ่อแม่พันธุ์ เริ่มมีไข่ ปลาทูกลุ่มนี้จะเลี้ยงตัวอยู่ในบริเวณอ่าวไทยตอนในจนปลายปี เมื่อมีความพร้อมที่จะวางไข่ ปลาทูกลุ่มนี้จึงเริ่มอพยพเคลื่อนตัวลงสู่แหล่งวางไข่ในอ่าวไทยตอนกลางอีกครั้งเป็นไปตามวงจรชีวิตปลาทู ซึ่งเป็นผลจากการกำหนดมาตรการ

ดังนั้น การดำเนินตามมาตรการจึงต้องมีต่อไป เพื่อคุ้มครองสัตว์น้ำ มิให้ถูกจับก่อนที่จะมีโอกาสได้ผสมพันธุ์และวางไข่ หรือถูกจับก่อนวัยอันควร ซึ่งเป็นการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจบนฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สมดุลภายในขีดความสามารถของระบบนิเวศ และจะเป็นหนทางในการนำปลาทูกลับฟื้นคืนความสมบูรณ์


https://www.khaosod.co.th/economics/news_7710883

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 13-06-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยโพสต์


ปั้นบุคลากรรุ่นใหม่อนุรักษ์โบราณคดีใต้น้ำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้



ศูนย์ภูมิภาคว่าด้วยโบราณคดีและวิจิตรศิลป์ภายใต้องค์การรัฐมนตรี ศึกษาธิการแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีมีโอสปาฟา) กรมศิลปากร ยูเนสโก และศูนย์นานาชาติว่าด้วยโบราณคดี ใต้น้ำ ณ เมืองซาดาร์ (ICUA) ประกาศความร่วมมือจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรใหม่ เน้นสร้างความแข็งแกร่ง ด้านการอนุรักษ์และบูรณะโบราณวัตถุใต้น้ำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การฝึกอบรมครั้งนี้ มีกำหนดระยะเวลา 2 สัปดาห์ ในหัวข้อ ?South-East Asian Sub-regional Introductory Course on Conservation and Restoration of Underwater Archaeological Finds? (หลักสูตรเบื้องต้นด้านการอนุรักษ์และบูรณะโบราณวัตถุใต้น้ำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ระหว่างวันที่ 19 ? 29 มิถุนายน 2566 ณ กรุงเทพมหานคร จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดจันทบุรี นับเป็นการฝึกอบรมด้านการอนุรักษ์และบูรณะโบราณวัตถุครั้งแรกในภูมิภาคที่ครอบคลุมวัสดุหลากหลายประเภท ซึ่งมักพบในแหล่งมรดกวัฒนธรรมใต้น้ำ

ฟรังกา โคล นักโบราณคดี นักอนุรักษ์ด้านโบราณคดี และวิทยากรร่วมบรรยายจากพิพิธภัณฑ์ซาราวัค (Sarawak Museum ? JMS) กล่าวว่า ประเทศมาเลเซียงานโบราณคดีใต้น้ำมีความท้าทายอย่างมากต่อกิจกรรมโลจิสติกส์ แต่สภาพแวดล้อมใต้น้ำกลับช่วยรักษาวัสดุอินทรีย์และโบราณวัตถุในระดับที่พบได้น้อยมากหรือไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย หากอยู่บนบก การฝึกอบรมฯ ผู้เข้าร่วมจะได้รับความรู้จากการลงมือปฏิบัติจริงอย่างครอบคลุมตามหลักการและเทคนิคการอนุรักษ์และบูรณะวัสดุประเภทเครื่องดินเผาหรือเซรามิก แก้ว โลหะ ไม้ และวัสดุอินทรีย์อื่น ๆ ซึ่งช่วยพัฒนาทักษะสำคัญอันจะนำไปสู่การปกป้องและสงวนรักษาโบราณวัตถุล้ำค่าเหล่านี้ให้คงอยู่ต่อไป

ฟรังกา โคล กล่าวอีกว่า การวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อการอนุรักษ์เชิงคัดเลือกเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเพียงวิธีเดียวที่จะช่วยปรับเปลี่ยนเป้าหมายการวิจัยและการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมให้สมดุลกับสภาพความเป็นจริงทางเศรษฐกิจและขีดความสามารถที่มีอยู่

การฝึกอบรมครั้งนี้ ซีมีโอสปาฟา กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และยูเนสโก จะพัฒนาการอนุรักษ์และบูรณะ มรดกวัฒนธรรมใต้น้ำ โดยบูรณาการความรู้ความชำนาญและทรัพยากรต่างๆ ร่วมกัน รวมทั้งได้รับความอนุเคราะห์ด้านองค์ความรู้และทรัพยากรจำเป็นอื่น ๆ จากศูนย์นานาชาติว่าด้วยโบราณคดีใต้น้ำ (ศูนย์นานาชาติประเภท 2 ที่จัดตั้งขึ้นด้วยความอุปถัมภ์จากยูเนสโก) ณ เมืองซาดาร์ สาธารณรัฐโครเอเชีย หน่วยงานสำคัญทั้ง 4 แห่งนี้มุ่งมั่นที่จะปรับปรุงพัฒนาศักยภาพของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้พร้อมต่อการดำเนินงานเพื่อปกป้องคุ้มครองมรดกวัฒนธรรมใต้น้ำไว้ให้คนรุ่นหลังต่อไป

"เราตั้งความหวังไว้ว่าการฝึกอบรมนี้จะช่วยสร้างบุคลากรรุ่นใหม่จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความรู้ความชำนาญวิชาชีพด้านโบราณคดีใต้น้ำและด้านอนุรักษ์" นายเขมชาติ เทพไชย ผู้อำนวยการศูนย์ซีมีโอสปาฟากล่าว

การฝึกอบรมครั้งนี้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของอนุสัญญาองค์การยูเนสโกว่าด้วยการคุ้มครองมรดกวัฒนธรรมใต้น้ำ ค.ศ. 2001 ซึ่งรับรองในเดือนพฤศจิกายน 2544 ให้กำหนดกรอบกฎหมายร่วมและแนวปฏิบัติเพื่อให้แต่ละประเทศ สามารถดำเนินการที่เกี่ยวข้องทั้งการบ่งชี้มรดกวัฒนธรรมใต้น้ำ การวิจัย มาตรการปกป้อง และการอนุรักษ์มรดก วัฒนธรรมใต้น้ำ ให้เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นางสาวชิฮิโระ นิชิกาวะ ผู้เชี่ยวชาญโครงการของ ยูเนสโก ได้กล่าวว่า ยูเนสโกยินดีมากที่ได้กลับมาเปิดหลักสูตรฝึกอบรมด้านมรดกวัฒนธรรมใต้น้ำในประเทศไทยอีกครั้ง หลังจากเคยจัดฝึกอบรมในประเทศไทยมาแล้วหลายครั้งระหว่างปี 2552 ถึง 2554 นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญ โครงการของยูเนสโกยังมองภาพในอนาคตไว้ว่า อีกสิบปีข้างหน้า ทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีใต้น้ำและมีทักษะด้านการอนุรักษ์เพียงพอที่จะปกป้องและบริหารจัดการมรดกทาง วัฒนธรรมใต้น้ำได้อย่างยั่งยืนตามอนุสัญญายูเนสโก ปี ค.ศ. 2001


https://www.thaipost.net/news-update/395434/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 13-06-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


CAT ประเมินไทยติดกลุ่มแย่ ทำอุณหภูมิโลกสูง 4 องศาฯ

ไทยร้อนเพิ่ม 10 เท่า เสี่ยงเกิดภัยพิบัติทางอากาศอันดับ 9 ของโลก ติด 1 ใน 42 ประเทศเฝ้าระวังขาดแคลนอาหาร -เสี่ยงแห้งแล้งสูง



การเสวนาเรื่อง "นโยบายการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ กับการปรับตัวในภาคเกษตร? จัดขึ้นที่บ้านสวนซุมแซง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม เมื่อเร็วๆ นี้ มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าว


ไทยตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก40%

ดร.อัศมน ลิ่มสกุล ผอ.กลุ่มการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สส.) กล่าวว่า สภาพภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลงไม่ต่ำกว่า 30 ปี ช่วงแรกๆ อาจมองว่าไกลตัว ไม่เกิดขึ้นจริง หรือเกิดแค่บางพื้นที่ ต่อมาทราบว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดจากคน และการใช้พลังงาน ซึ่งมีส่วนสำคัญ เช่น การใช้เครื่องปรับอากาศ

ก๊าชที่ปล่อยออกไปอยู่บนบรรยากาศ 10-20 ปี แม้ต้นไม้ และทะเลจะช่วยดูดซับไว้ แต่ส่วนที่เหลืออยู่ก็มากพอที่จะทำให้โลกร้อนขึ้น และมีความเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นเข้ามาด้วย ทั้ง น้ำท่วม น้ำแล้ง

ดร.อัศมน กล่าวว่า ที่ผ่านมานานาชาติ มีการทำกรอบอนุสัญญาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของประเทศที่เป็นสมาชิก เพราะไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย จึงให้แต่ละประเทศกำหนดเป้าหมายว่าจะลดก๊าชเรือนกระจกเท่าใด ขณะที่ประเทศร่ำรวยมองว่า การลดก๊าชเรือนกระจกต้องลงทุนมาก จึงให้เงินกับประเทศกำลังพัฒนาไปซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อลดและทดแทน

ดร.อัศมน กล่าวว่า ไทยมีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก 20-25% ก่อนขยับขึ้นมา 40 % ในปัจจุบัน มีแผนแม่บทการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ครอบคลุมไปถึงปี ค.ศ.2050 มี 3 กรอบคือลดก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงาน อุตสาหกรรม ขยะหรือส่วนอื่นๆ การท่องเที่ยว และสิ่งแวดล้อม

"ปัจจุบันโลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ และวันที่ร้อนก็เพิ่มขึ้น เดิมคือเดือน มี.ค.-เม.ย. ตอนนี้ พ.ค.ก็ยังร้อน คาดอีก 20-30 ปี อุณหภูมิในช่วงที่ปลูกข้าวตั้งแต่ พ.ค.-ก.ค.จะขยับ 2-4 องศาเซลเซียส"

นับจากนี้จะมีข้าวหรือพืชบางชนิดอ่อนไหวต่ออุณหภูมิในการผสมเกสร ดังนั้นภาคเกษตร จึงเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย


ไทย-อินโดฯ ร้อนจัดแบบดอกเบี้ยทบต้น

นายประสาท มีแต้ม นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ผู้ที่ทราบว่า โลกร้อนขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปีพ.ศ.2520 คือ บริษัทขายน้ำมัน แต่ปกปิดข้อมูลไว้ 11ปี ระหว่างนั้นมีการตั้งงบประมาณ30 ล้านเหรียญฯ และเสนอข้อมูลที่ทำให้เกิดความสับสน ความจริง 75 % ของโลกร้อน เกิดจากพลังงาน สหรัฐอเมริกา ปล่อยคาร์บอนฯ 15 ตัน/คน/ปี คนไทยปล่อย 5 ตัน/คน/ปี หรือไฟฟ้า 1 หน่วย ปล่อยคาร์บอนครึ่งกิโลกรัม

ขณะที่ต้นไม้ขนาดใหญ่ ดูดซับได้แค่ 20 กก./ปี คำถามคือ ต้องปลูกต้นไม้มากเท่าใด และใช้พื้นที่ตรงไหน จึงจะดูดซับได้เท่ากับพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ถ้าเราไม่เปลี่ยนพลังงาน

นายประสาท กล่าวว่า โมเดลจากการศึกษา พบไทยจะเจอความร้อนเพิ่มขึ้น 10 เท่า ขณะที่บางประเทศเจอ 3 เท่า ข้อมูลปี 2563 พยากรณ์ว่า มีโอกาส 20 % ที่จะถึง 1.5 องศาฯ ภายใน 5 ปี และในปี 2565 เพิ่มโอกาสเป็น 50%

ล่าสุดปีนี้ความร้อนเพิ่มเป็น 66 % ขณะที่น้ำทะเลในแถบที่จะเกิดเอลนีโญ อเมริกาใต้ เปรู ฝั่งตรงข้ามกับอินโดนีเซีย และไทย ความร้อนเพิ่มเร็วแบบ "สูตรดอกเบี้ยทบต้น" จนนักวิทยาศาสตร์ตกใจ ความร้อนเป็นเหมือนโดมิโน ล้มทับกันเป็นทอดๆ ขยายใหญ่ขึ้น และไทยยังเป็น 1 ใน 42 ประเทศที่ถูกเตือนให้ระวังการขาดแคลนอาหาร และเสี่ยงเกิดความแห้งแล้ง


"ฤดูกาลอุตริ" ผลกระทบก๊าชเรือนกระจก

นักวิชาการอิสระคนเดิม ชี้ว่า ผลการประเมินขององค์กร CAT (Climate Action Tracker) 37 ประเทศ พบว่าทั้งหมดปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 90% ของทั้งโลก โดยกลุ่มประเทศที่ถูกจับว่า"แย่" มี 5 ประเทศ คือ รัสเซีย อิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย สิงคโปร์ และไทย ซึ่งทำให้อุณหภูมิโลกสูงถึง 4 องศาเซลเซียส และไทยยังถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 9 ของโลกที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติทางภูมิอากาศอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังพบอัตราส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าของไทยว่า มีการใช้ประมาณ 2 แสนล้านหน่วยทั่วประเทศ และหากนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ ก็จะลดค่าไฟฟ้า และลดโลกร้อนได้ แสงอาทิตย์มีมากกว่าที่มนุษย์ใช้ 10,000 เท่า

"หากทั้งโลก ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ทั้งปี เท่ากับใช้แสงอาทิตย์ที่ส่องถึงโลกเพียง 8 นาที แต่ปัญหาคือ เราไม่มีเทคโนโลยีที่จะไปเก็บพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้"

จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา ระบุว่า ไทยสามารถเป็นแหล่ง Super power ได้ เนื่องจากมีพลังงานจาก ลม แดด แบตเตอรี่ และหากลงทุนเพิ่มประมาณ 1% ของ GDP ติดต่อกัน 10 ปี จะมีพลังงานใช้เหลือเฟือ และปัญหาโลกร้อนจะจบลงภายในปี 2035 เพราะลดคาร์บอนได้ถึง 90 %


ใช้พลังงานหมุนเวียนหักดิบลดโลกร้อน

ด้าน ดร.กฤษฎา บุญชัย เลขาธิการสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา อธิบายว่า สาเหตุก๊าซเรือนกระจก ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน มาจากระบบทุนนิยม 2 กลุ่มใหญ่ที่เป็นฐานหลัก คือกลุ่มทุนนิยมพลังงานและกลุ่มทุนนิยมเกษตร หากโลกยังถูกขับเคลื่อนด้วยทุนนิยมและมีระบบผูกขาดขนาดใหญ่ของโลกจะแก้ไขได้ยาก

"ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนมีหลายมิติ เช่น แห้งแล้งสุดขั้ว ในช่วง 1-2 ปีนี้จะเกิดบ่อย ฤดูกาลอุตริ อยู่ดีๆ ฝนตกหนัก บางช่วงเกิดพายุ อุทกภัยรุนแรง ผลผลิตการเกษตรลด เกิดไฟป่า"

ผลกระทบด้านสุขภาพ ระบบนิเวศที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานถูกทำลายจากภัยธรรมชาติ การแพร่ระบาดของแมลงศัตรูพืช เชื้อโรค ความขัดแย้งเรื่องทรัพยากร การย้ายถิ่น มีผู้ลี้ภัยทั้งจากการสูญเสียการผลิต และลี้ภัยจากการทำลายของระบบนิเวศ น้ำสะอาด น้ำจืด ลดลง ความหิวโหย และความยากจน

ดร.กฤษดา ชี้ว่า หากต้องการลดผลกระทบโลกร้อน ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบหักดิบ อุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่พลังงานหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว เกษตรแปลงใหญ่ เกษตรเคมี เกษตรอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ก็เปลี่ยนไปสู่เกษตรเชิงนิเวศ และที่ผ่านมา มีงานวิจัยที่แสดงผลชัดเจนว่า คาร์บอนเครดิตไม่ได้ผลในการช่วยลดโลกร้อน

"แผนของไทยที่เสนอกับ UN ในการลดก๊าซเรือนกระจก คือ ภาคเกษตรควรจะเหลือราว 1 ล้านตัน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เกษตรกรมีสมรรถนะ แต่จากการประเมินของทีมวิชาการเรื่องการปรับตัวภาคเกษตร พบว่าคนรับรู้น้อยมาก แผนของประเทศยังมาไม่ถึงเกษตรกร"

ทั้งนี้ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยในมาเลเซีย ระบุว่า มี 5 ปัจจัยหลักที่เกษตรอาเซียนต้องเร่งปรับตัวคือ ระบบนิเวศน์ ดิน น้ำ พันธุ์พืชมั่นคง เกษตรกรมีอิสระในการผลิต มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ติดตามข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อนำมาสู่การวางแผนของตัวเอง ยืดหยุ่นในการปรับตัว และมีเครือข่ายทางสังคมแลกเปลี่ยนเรียนรู้


https://www.thaipbs.or.th/news/content/328711

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:36


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger