สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564

[สายน้ำ]

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว ส่วนภาคอื่นๆมีอากาศเย็นโดยทั่วไป กับมีลมแรง และอุณหภูมิ จะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนยังคงแผ่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลางของประเทศไทย และทะเลจีนใต้ ในขณะที่ลมตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมภาคเหนือ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาวะอากาศที่แปรปรวนในระยะนี้ไว้ด้วย

มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มมากขึ้น และคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและอันดามัน มีกำลังแรงขึ้น โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันเดินเรือด้วยความระมัดระวัง


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศเย็นในตอนเช้า กับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 21 -23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 19 - 21 ก.พ. 64 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ในขณะที่คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกเคลื่อนผ่านภาคเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีอากาศหนาวเย็นลงกับมีลมแรง โดยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว โดยอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีอากาศเย็นในตอนเช้า โดยอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส สำหรับภาคเหนือตอนบนมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 22-24 ก.พ. 64 บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้จะมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นกับมีหมอกในตอนเช้า สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อนลง ทำให้ภาคใต้มีฝนลดลงและคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 19 - 21 ก.พ. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง สำหรับชาวเรือบริเวณอ่าวไทยควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ

[สายน้ำ]

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


อพยพเต่านับพันตัว หนีอากาศหนาวสุดขั้วในรัฐเทกซัส



เจ้าหน้าที่เร่งช่วยอพยพเต่าทะเลนับพันตัวหนีอากาศหนาวเฉียบพลันในรัฐเทกซัส ของสหรัฐฯ โดยจะนำเต่ามาอยู่ในสถานที่อบอุ่น ก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติเมื่ออากาศอุ่นขึ้น

สภาพอากาศหนาวเย็นจัดเฉียบพลันในรัฐเทกซัสไม่ได้ส่งผลกระทบต่อมนุษย์เท่านั้น เพราะแม้แต่สัตว์ทะเลอย่างเต่า ก็ได้รับผลกระทบหนัก โดยมีเต่าจำนวนมากหนีหนาวมาเกยชายหาดบนเกาะ เซาท์ ปาเดร จนเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครต้องช่วยกันขนเต่าทะเลจำนวนถึง 4,700 ตัว ไปไว้ในอ่าง ภายในศูนย์การประชุมบนเกาะเซาท์ ปาเดร เพื่อหนีความหนาวเย็นชั่วคราว ก่อนที่จะปล่อยพวกมันกลับคืนสู่ธรรมชาติเมื่ออากาศอบอุ่นขึ้น


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2035145

[สายน้ำ]

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


สุดอันซีน เกาะแผนที่ประเทศไทยกลางน้ำที่ จ.ตรัง


ภาพโดยเฟซบุค Pakornkarn Tayansin

โลกโซเชียลเผยภาพเกาะกลางน้ำรูปแผนที่ประเทศไทยงดงามที่ ต.บางรัก อ.เมือง จ.ตรัง มีผู้แสดงความคิดเห็นและแชร์ต่อเป็นจำนวนมาก

เจ้าของเฟซบุคชื่อ Pakornkarn Tayansin โพสต์ภาพมุมสูงของเกาะกลางน้ำที่มีรูปร่างเหมือนแผนที่ประเทศไทย พร้อมข้อความว่า "แผนที่ประเทศไทย กลางน้ำ ผมไม่แน่ใจว่าเค้าเรียกตรงนี้ว่าอะไร เกาะก็คงไม่ใช่ เพราะขับรถเข้าไปได้ อยู่ในซอย อสมท ติดกับปั๊มเอสโซ่ ถนน ตรัง สิเกา ก่อนถึงโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย" โดยมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ต่างพูดไปในทางเดียวกันว่ามีความงดงามมาก พร้อมทั้งเข้ามาร่วมให้ข้อมูลว่า ที่นี่เป็นอ่างเก็บน้ำอยู่ในพื้นที่ อบต.บางรัก และเกาะกลางน้ำดังกล่าวตั้งใจทำให้เป็นรูปทรงแผนที่ประเทศไทย สามารถเดินทางเข้าไปได้โดยจากถนนตรัง-สิเกา ก่อนถึง รร.จุฬาภรณราชวิทยาลัยจะเจอปั๊มเอสโซ่ เลี้ยวเข้าไป ผ่าน อสมท. เข้าไปสุดทาง ก็จะพบอ่างเก็บน้ำดังกล่าว

อีกทั้งข้อมูลจากเว็บไซต์ pantip.com เมื่อปี 2553 ก็มีการพูดคุยสอบถามถึงเกาะกลางน้ำดังกล่าว โดยกล่าวว่าได้เห็นเกาะรูปแผนที่ประเทศไทยเมื่อนั่งเครื่องบินผ่าน และมีผู้เข้ามาแสดงความเห็นว่า ที่นี่เป็นอ่างเก็บน้ำที่ใช้เป็นน้ำประปา ขุดมาประมาณ 20 กว่าปีแล้ว และตั้งใจสร้างเป็นรูปแผนที่ประเทศไทย โดยเมื่อก่อนแถวนั้นจะเป็นป่ารก เวลาช่วงหน้าฝนน้ำจะท่วมบ่อย จึงขุดเป็นอ่างเก็บน้ำ 2 แห่ง ที่เป็นรูปแผนที่ประเทศไทย กับทางที่ซ้ายมือถัดจากนั้น จะเป็นที่เก็บน้ำไว้ระบายช่วงหน้าฝน


https://mgronline.com/travel/detail/9640000016118


*********************************************************************************************************************************************************


เทกซัสเร่งช่วย "เต่าทะเลหลายพัน" หนาวจนถูกซัดเกยฝั่ง



ลมหนาวที่พัดผ่านเทกซัสอย่างกะทันหัน ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่กับมนุษย์เท่านั้น แต่ยังทำให้เต่าหลายพันตัวถูกความเย็นจับถึงขั้วกระดูกอย่างไม่ทันตั้งตัวด้วยเช่นกัน

เต่าหลายพันตัวที่ไม่ได้เตรียมตัวรับการลดลงของอุณหภูมิถูกซัดเกยขึ้นชายหาดของเกาะพาร์เดร์ นอกชายฝั่งทางใต้ของเทกซัส กลุ่มอาสาสมัครจึงจับเต่าประมาณ 4,700 ตัวไปยังศูนย์ประชุมแห่งหนึ่งซึ่งพวกมันจะถูกใส่ในอ่างและคอกก่อนที่จะถูกปล่อยคืนธรรมชาติเมื่อน้ำอุ่นขึ้นแล้ว

"มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน" เวนดี ไนท์ ผู้อำนวยการของศูนย์วิจัยและอนุรักษ์ Sea Turtle Inc ซึ่งควบคุมปฏิบัติการนี้ กล่าว เขากล่าวอีกว่าปกติจะมีเต่าถูกซัดเกยขึ้นชายหาดทางใต้ของเทกซัสประมาณ 100-500 ตัวเท่านั้น

ชาวเทกซัสหลายล้านคนอยู่โดยไม่ได้รับความอบอุ่นเนื่องจากไฟฟ้าดับทั่วรัฐเพราะอากาศหนาว และทั้งอุณหภูมิอากาศ และน้ำลดต่ำลงกว่าระดับปกติมาก

คลิปวิดีโอที่ถ่ายโดย เอ็ด คูม ผู้อำนวยการสำนักงานการประชุมและนักท่องเที่ยวเกาะเซาท์พาร์เดร์ แสดงให้เห็นว่า อาสาสมัครหลายคนกำลังจับเต่าใส่รถเข็น และพื้นของศูนย์ประชุมเต็มไปด้วยเต่าหลายขนาด

คูม บอกว่า เต่าเหล่านั้น ?หนาวจนแข็ง? สภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อสัตว์เลือดเย็นเผชิญกับอุณหภูมิแวดล้อมที่ลดลงต่ำอย่างกระทันหัน

"เราพาพวกมันไปที่ศูนย์ประชุมเพื่อทำให้อุณหภูมิร่างกายมันอุ่นขึ้น" คูม กล่าว ขณะบรรยายหนึ่งในคลิปวิดีโอ

ในคลิปวิดีโอล่าสุดที่ถูกโพสต์ลงเฟสบุ๊คเมื่อวันพุธ (17) คูมอธิบายให้ฟังว่า เมื่อคืนไฟฟ้าและน้ำประปาของศูนย์แห่งนี้กลับมาใช้ได้ได้อย่างไร

"เราขยายทั้งสองปีก ความอบอุ่นกำลังกลับเข้ามาในอาคาร" คูท กล่าว ขณะที่คลิปวิดีโอเผยให้เห็นทางเดินเส้นหนึ่งเต็มไปด้วยเต่านอนเรียงติดกันบนผ้าใบสีฟ้า

"เราจับพวกมันมาจำนวนมาก และตอนนี้เราจะพยายามช่วยชีวิตพวกมัน" คูม กล่าว


https://mgronline.com/around/detail/9640000016258


*********************************************************************************************************************************************************


"มลพิษทางอากาศ" ทำคนตาย 160,000 คนในเมืองใหญ่เมื่อปีที่แล้ว



ภาวะมลพิษร้ายแรงทำให้มีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรประมาณ 160,000 รายในเมืองใหญ่ที่สุด 5 แห่งของโลกเมื่อปีที่แล้ว ถึงแม้ว่าคุณภาพอากาศจะดีขึ้นในบางพื้นที่เนื่องจากการล็อกดาวน์ช่วงโควิด-19 ก็ตาม กลุ่มสิ่งแวดล้อมระบุในวันพฤหัสบดี (18)

เมืองที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ นิวเดลี เมืองหลวงที่มีมลพิษมากที่สุดบนโลก ซึ่งมีผู้เสียชีวิตประมาณ 54,000 คนจากอนุภาคในอากาศ PM 2.5 อ้างอิงรายงานจากกลุ่ม Greenpeace Southeast Asia

ในกรุงโตเกียว ตัวเลขผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 40,000 ราย ส่วนที่เหลือกระจายอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้, เซาเปาโล และเม็กซิโกซิตี อ้างตามรายงาน ซึ่งตรวจสอบผลกระทบจากอนุภาค PM 2.5 ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล

"เมื่อรัฐบาลเลือกถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซมากกว่าพลังงานสะอาด สิ่งที่ต้องจ่ายคือสุขภาพของพวกเรา" อวินาช แชนชัล นักรณรงค์ด้านสภาพอากาศในกลุ่ม Greenpeace India

อนุภาค PM 2.5 ถูกพิจารณาว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพมากที่สุด มันสามารถทำลายหัวใจและปอด และเพิ่มโอกาสการเป็นโรคหอบหืด บางงานวิจัยระบุว่าการสัมผัส PM 2.5 ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโควิด-19



รายงานชิ้นนี้ใช้เครื่องมือออนไลน์ประเมินผลกระทบของ PM 2.5 ด้วยการรวบรวมข้อมูลคุณภาพอากาศจากเว็บไซต์เฝ้าติดตาม IQAir และรวมมันเข้ากับรูปแบบความเสี่ยงทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งข้อมูลประชากรและข้อมูลสุขภาพ

เครื่องมือดังกล่าวเป็นการร่วมมือระหว่าง Greenpeace , Greenpeace และศูนย์เพื่อการวิจัยด้านพลังงานและอากาศสะอาด (Centre for Research on Energy and Clean Air)


X


ถึงแม้ว่าจะมีตัวเลขการเสียชีวิตที่สูง แต่การล็อกดาวน์จากโควิด-19 ทั่วโลก ซึ่งทำให้ท้องถนนโล่งขึ้นและปิดโรงงานปล่อยมลพิษ ก็ได้ทำให้ท้องฟ้าเหนือเมืองใหญ่หลายเมืองสดใสขึ้นชั่วคราว

นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า การลดลงอย่างมหาศาลของมลพิษในช่วงการล็อกดาวน์มีส่วนทำให้การเสียชีวิตลดลง

ถึงกระนั้น กรีนพีซเรียกร้องให้บรรดารัฐบาลพิจารณาการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนเป็นหัวใจของแผนการฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจซบเซาหลังการแพร่ระบาด


https://mgronline.com/around/detail/9640000016182

[สายน้ำ]

ขอบคุณข่าวจาก มติชน


ฝุ่นพีเอ็ม2.5คร่าชีวิตประชาชน1.6แสนคน


แฟ้มภาพ ฝุ่นควันที่เมืองลาฮอร์ ประเทศปากีสถาน เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ (เอเอฟพี)

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า รายงานของกลุ่มกรีนพีซ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เปิดเผยเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์นี้ว่า มลพิษทางอากาศที่เลวร้าย ซึ่งมีสาเหตุมาจากฝุ่นขนาดเล็กพีเอ็ม 2.5 เป็นเหตุให้ประชาชนจำนวน 160,000 คนในหลายเมืองใหญ่เสียชีวิตก่อนวัยอันควรในปี 2020

ที่ผ่านมาแม้ว่าคุณภาพของอากาศจะดีขึ้นในบางพื้นที่เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19ก็ตาม โดยเมืองที่มีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศมากที่สุด ราว 54,000 คนคือกรุงนิวเดลีของอินเดียซึ่งถือเป็นเมืองที่มีอากาศเป็นพิษมากที่สุดในโลก ถัดมาคือกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น มีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศจำนวน 40,000 คน ส่วนผู้เสียชีวิตที่เหลือกระจายอยู่ในมหานครเซี่ยงไฮ้ของจีน นครเซาเปาโลของบราซิล และกรุงเม็กซิโกซิตี้ของเม็กซิโก

ทั้งนี้รายงานดังกล่าวระบุว่าฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ของพลังงานฟอสซิล สามารถทำลายหัวใจ ปอดและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหอบหืดอีกด้วย


https://www.matichon.co.th/foreign/news_2585534

[สายน้ำ]

ขอบคุณข่าวจาก คม ชัด ลึก


ชาวเน็ตสิงคโปร์แชร์ภาพซากสัตว์แปลก ทีแท้สัตว์ต่างถิ่นรุกราน ปลาอัลลิเกเตอร์



ภาพที่เรียกเสียงฮือฮาในโลกออนไลน์สิงคโปร์เมื่อสุดสัปดาห์ ซากสัตว์ริมอ่างเก็บน้ำ ผู้เชี่ยวชาญยืนยันเป็นปลาอัลลิเกเตอร์ สัตว์ต่างถิ่นรุกราน

ชาวสิงคโปร์ แชร์ภาพซากสัตว์แปลกรูปร่างหน้าตาคล้ายอัลลิเกเตอร์ หรือจระเข้ตีนเป็ดอยู่ริมฝั่งอ่างเก็บน้ำแมคริตชี สภาพกำลังเน่าเปื่อย อ้าปากเผยฟันซี่เล็กๆแหลมคม มองบางมุมเหมือนกับสัตว์ประหลาด ภาพนี้เรียกความสนใจและถกกันอย่างคึกคักบนเพจ Nature Society (Singapore) และมียอดแชร์เกือบ 2,000 บางคนเดาว่าเป็นอัลลิเกเตอร์ด้วยขนาดจากภาพที่เห็น แต่จำนวนมากที่เคยเห็นมาก่อนระบุว่ามันคือ ปลาอัลลิเกเตอร์ (alligator gar) หรือปลาปากจระเข้ ที่ไม่ใช่สัตว์พื้นถิ่นของสิงคโปร์ ซึ่งต่อมา คณะกรรมการอุทยานสิงคโปร์ยืนยันว่า มันเป็นสัตว์ต่างถิ่นรุกรานจริงๆ เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่รับผิดชอบเข้าไปเก็บซากปลาตัวนี้แล้วเมื่อวันพุธที่ผ่านมา

ปลาอัลลิเกเตอร์ เป็นปลาพื้นถิ่นอเมริกาเหนือ อาจเติบโตมีควาวยาวถึง 2.5-3 เมตร บางครั้งถูกเรียกว่าฟอสซิลมีชีวิต เพราะเป็นสายพันธุ์ปลาน้ำจืดโบราณ ที่ถือกำเนิดมากว่า 150 ล้านปี และมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก เชื่อว่าเจ้าของที่ซื้อมาเลี้ยง คงรับมือกับขนาดของมันไม่ไหวเมื่อเติบโต จึงนำไปปล่อยแหล่งน้ำธรรมชาติ คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติและ PUB หน่วยงานน้ำแห่งชาติของสิงคโปร์ ออกแถลงการณ์ร่วมระบุว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบประชาชนปล่อยสัตว์ต่างถิ่นผิดกฎหมายกว่า 20 ราย ซึ่งเป็นอันตรายต่อความหลากหลายทางชีวภาพพื้นถิ่น

ด้าน ดร.ตัน ฮก ฮุย นักมีนวิทยา หรือนักชีววิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับปลา พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ Lee Kong Chian กล่าวว่า ที่ผ่านมา เคยมีการจับปลาแอลลิเกเตอร์ได้แต่ครั้งเดียว แต่พบมีขายในร้านขายปลาทั่วไป ขณะยังเป็นปลารุ่นเยาว์ ขนาดเฉลี่ย 20 ซม.

แถลงการณ์ย้ำเตือนอีกครั้งว่า การปล่อยสัตว์ลงอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำอื่นๆเป็นความผิดมีโทษปรับ 3,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 6.8 หมื่นบาท) หากถูกจับได้ว่าปล่อยสัตว์ในสวนสาธารณะและแหล่งอนุรักษ์ธรรมชาติ จะถูกปรับ 5 หมื่นดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 1.13 ล้านบาท)


https://www.komchadluek.net/news/foreign/458798